ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 747 อานุภาพหนึ่งกระบี่
ตอนที่ 747 อานุภาพหนึ่งกระบี่
โดย
Ink Stone_Fantasy
ซาทงเทียนฝึกฝนสายกระบี่ด้วยความลำบาก ถึงทะลวงคอขวดเข้าสู่ระดับผลึกขั้นกลางได้เมื่อสองปีก่อน นับว่าเป็นผู้ที่ฝึกฝนได้รวดเร็วที่สุดในบรรดาผู้ฝึกฝนใหม่ในยอดเขากระบี่สวรรค์ในช่วงระยะเวลาใกล้ๆ นี้ ตอนนั้นก็เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันในนิกายอยู่พักหนึ่ง
ก่อนหน้านั้นไม่นาน ยังได้ระดมทรัพยากรจำนวนมากจากตระกูล ใช้ความตั้งใจจนหลอมกระบี่บินพลังจิตวิญญาณขึ้นมาได้ พูดได้ว่าพลังแท้จริงก้าวหน้าไปมาก
ตอนนี้แม้ว่าซาทงเทียนจะรู้สึกตกใจที่ไม่อาจรับรู้กลิ่นไอของหลิ่วหมิงได้ แต่ก็ยังเชื่อมั่นในพลังของตัวเองมากกว่า ด้วยเหตุนี้จึงท้าสู้โดยไม่ต้องคิดอะไรให้มาก
“ก็ดีเหมือนกัน ในเมื่อพี่ซาชอบเช่นนี้ ข้าน้อยก็จะรับคำท้าแล้ว” หลิ่วหมิงครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นก็ตอบรับโดยไม่ต้องพูดอะไรให้มาก
ศิษย์ยอดเขากระบี่สวรรค์คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ ก็กระซิบกระซาบกันอยู่ครู่หนึ่ง และมองดูหลิ่วหมิงด้วยสายตาที่แตกต่างกันไป
เพราะหลิ่วหมิงก็มีชื่อเสียงไม่น้อยในบรรดาศิษย์ใหม่ ตอนนี้ตอบรับคำท้าประลองของซาทงเทียนแล้ว ย่อมทำให้พวกเขารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
“ดีมาก! พวกเราก็ไม่ต้องไปไกลเกินไป ไปทำการประลองบนยอดเขาหยวนหมิงที่อยู่บริเวณนี้ก็พอ” พอซาทงเทียนเห็นหลิ่วหมิงตอบรับแล้ว เขาก็เผยรอยยิ้มออกมา และเอามือลูบถุงกระบี่บนเอว
หลิ่วหมิงย่อมไม่มีข้อขัดค้านแต่อย่างใด
ดังนั้นพอร่างของซาทงเทียนพร่ามัว ก็กลายเป็นแสงกระบี่สีขาวบริสุทธิ์พุ่งไปยังทิศทางบางแห่ง
คนอื่นๆ ที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ ก็ค่อยๆ กลายเป็นแสงหลบหลีกพุ่งตามไป
หลิ่วหมิงเองก็เผยรอยยิ้มจางๆ พอแสงสีดำม้วนตัวใต้เท้า เขาก็ค่อยๆ ตามพวกเขาไป
ไม่นาน พวกเขาก็มาถึงลานประลองบนยอดเขาขนาดใหญ่ลูกหนึ่ง
ขณะนี้เป็นเวลาเช้าตรู่พอดี ในลานประลองมีศิษย์สายในที่มาแลกมือกันจำนวนไม่น้อย พอซาทงเทียนและคนอื่นๆ มาถึง ก็ก่อให้เกิดความฮือฮาขึ้นมา
ประจักษ์ชัดว่า ซาทงเทียนมีชื่อเสียงในยอดเขานี้ไม่น้อย
ส่วนหลิ่วหมิงเดิมทีก็มีรูปร่างหน้าตาธรรมดาอยู่แล้ว นอกจากงานประลองใหญ่ในนิกายปีนั้นแล้ว หลายปีมานี้ก็ไม่ค่อยปรากฏตัวในนิกาย ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีคนจำเขาได้
หลิ่วหมิงย่อมไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ เพียงแค่เดินตามซาทงเทียนเข้าไปรอคอยอยู่ใต้แท่นประลองที่ใหญ่ที่สุดกลางลานประลองอย่างเงียบๆ
ศิษย์ที่เดิมทีกระจัดกระจายอยู่เห็นเช่นนี้ ย่อมเข้าใจอะไรขึ้นมา พวกเขาจึงมารวมตัวกัน ไม่นานแท่นประลองแห่งนี้ก็ถูกล้อมรอบจนแน่นขนัด มีเสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นมาเป็นระลอกๆ พวกเขาต่างก็ทำการคาดเดากันอยู่ว่า ผู้ฝึกกระบี่ที่มีชื่อเสียงในนิกายผู้นี้ กำลังจะลังจะประลองกับผู้ใดกันแน่
ไม่นาน สายรุ้งสีขาวสายหนึ่งก็พุ่งมาจากขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ
ฝูงชนยังไม่ทันรู้ตัว สายรุ้งสีขาวก็ร่วงลงตรงหน้าซาทงเทียนและคนอื่นๆ หลังจากแสงสีขาวดับลง ก็เผยให้เห็นชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีขาวผู้หนึ่ง
เจี๊ยวจ๊าวที่ดังอยู่รอบๆ เงียบลงในฉับพลัน
“ผู้อาวุโสหลง!” ซาทงเทียนและคนอื่นๆ โค้งตัวคารวะทันที ท่าทีของพวกเขาดูนอบน้อมเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงเองก็ทำการคารวะไปหนึ่งที
ชายชุดขาวผู้นี้เป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ คงเป็นผู้อาวุโสบนยอดเขาหยวนหมิงแห่งนี้ ซึ่งถูกซาทงเทียนและคนอื่นๆ เชิญมาเป็นผู้ตัดสิน
กลุ่มคนที่ยืนอยู่ในแถวเดียวกับซาทงเทียน มีคนออกไปอธิบายสถานการณ์ให้กับชายชุดขาวเบาๆ พอชายชุดขาวได้ยินก็พยักหน้าให้ซาทงเทียนกับหลิ่วหมิงเล็กน้อย และกล่าวออกมา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ในเมื่อศิษย์หลานทั้งสองต้องการประลอง ข้าจะเป็นผู้ดำเนินการเอง แต่ว่าจำไว้ให้ดีว่า การแลกมือระหว่างศิษย์สายในด้วยกัน ให้สิ้นสุดลงในช่วงที่สำคัญ อย่าได้ตั้งใจทำร้ายคู่ต่อสู้เป็นอันขาด” ชายชุดขาวเตือนด้วยสีหน้าจริงจัง
“ย่อมเป็นเช่นนั้น”
“ทราบ!”
หลิ่วหมิงและซาทงเทียนตอบรับไปทีหนึ่ง จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปบนแท่นประลอง และจ้องมองกันอยู่ไกลๆ
ชายชุดขาวเห็นเช่นนี้ ก็ยกแขนเสื้อเปิดเกราะป้องกันครึ่งวงกลมสีขาวปกคลุมแท่นประลองไว้
ศิษย์ที่อยู่ด้านล่างแท่นประลองเห็นเช่นนี้ ก็ฮือฮากันอยู่พักหนึ่ง และพากันมองดูด้วยความสนใจ
ขณะที่ชายชุดขาวกวาดสายตาลงบนตัวหลิ่วหมิงนั้น แววตาของเขาก็เผยความประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
เขาย่อมค้นพบว่ากลิ่นไอบนตัวหลิ่วหมิงขาดๆ หายๆ และไม่อาจสืบดูระดับการฝึกฝนได้ แต่ย่อมไม่คิดว่าหลิ่วหมิงก็เป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้อย่างแน่นอน เพียงแต่คิดว่ามีสมบัติวิเศษบางอย่างช่วยปิดบังไว้เท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก
“ตั้งแต่ข้าทราบว่าพี่หลิ่วบรรลุระดับผลึกแล้ว ข้าก็รอคอยที่จะได้ประลองกับท่านอย่างสมใจอยากสักครั้ง น่าเสียดายที่ตอนนั้นตระกูลข้ามีเรื่องรัดตัว และพี่หลิ่วก็ออกไปนอกนิกายอย่างเงียบๆ การประลองนี้จึงยืดเยื้อมาถึงตอนนี้” ซาทงเทียนที่อยู่บนแท่นประลองกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น
“อ๋อ! หรือว่าพี่ซายังติดใจเรื่องของศิษย์น้องจินในปีนั้นอยู่?” หลิ่วหมิงเลิกคิ้วถามกลับไป
“เรื่องของศิษย์น้องจิน ข้าลืมไปหมดแล้ว ศึกกับท่านในครั้งนี้ เพียงแค่อยากวัดฝีมือกับพี่หลิ่วเท่านั้น” ซาทงเทียนกล่าวอย่างราบเรียบ พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง กลิ่นไอกระบี่บนตัวก็พุ่งขึ้นฟ้า
ศิษย์ที่ล้อมดูอยู่เห็นเช่นนี้ ก็พากันกระซิบกระซาบขึ้นมาอีกครั้ง
“คำพูดของพี่ซาดูมั่นใจเหลือเกิน หรือว่าอาศัยกระบี่บินพลังจิตวิญญาณเพียงเล่มเดียว ก็คิดว่าจะเอาชนะได้แล้วหรือ?” หลิ่วหมิงถามด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
ขณะที่พูด สายตาของเขาก็เหลือบไปมองถุงกระบี่สีขาวบนเอวซาทงเทียนโดยมิได้ตั้งใจ
“ถึงแม้ว่าจะมีถุงกระบี่กั้นอยู่ พี่หลิ่วยังสามารถรับรู้ถึงกระบี่บินพลังจิตวิญญาณของข้าได้ ดูท่าการฝึกฝนสายกระบี่ของท่านคงรุดหน้าไปมาก ถ้าอย่างนั้นก็คุ้มค่าที่จะประลองกันแล้ว” ซาทงเทียนมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย และรีบกล่าวออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
พอเขาตบถุงกระบี่บนเอวอย่างรวดเร็ว แสงกระบี่สีขาวบริสุทธิ์ลำหนึ่งก็พุ่งขึ้นฟ้า บงกชสีขาวขนาดใหญ่ดอกหนึ่งเบ่งบาน และแผ่กลิ่นไอที่ทำให้รู้สึกเย็นสะท้านไปถึงวิญญาณ
“พี่หลิ่ว ลงมือเถอะ!” ซาทงเทียนปล่อยกระบี่บินพลังจิตวิญญาณออกมา ความมั่นใจของเขาเพิ่มขึ้นเป็นทวี และกล่าวด้วยรอยยิ้มอันเยือกเย็น
ด้านล่างแท่นประลอง ศิษย์ที่ล้อมดูอยู่ก็ส่งเสียงกู่ร้องให้กำลังใจขึ้นมา
“ดูเหมือนว่าระดับการฝึกฝนของศิษย์พี่ซาจะเพิ่มขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว ข้าว่าใกล้เข้าสู่จุดสูงสุดของระดับผลึกขั้นกลางแล้ว”
“ศิษย์พี่ซามีความสามารถในการฝึกฝนเป็นอย่างมาก พวกเราไหนเลยจะเทียบติด!”
“เทียบกับการแลกมือกับศิษย์พี่ลั่วแห่งยอดเขาเมฆาเขียวเมื่อครึ่งปีก่อนแล้ว ดูเหมือนว่ากระบี่บินกระจกน้ำแข็งจะมีลวดลายจิตวิญญาณเพิ่มขึ้นมา อานุภาพก็คงเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย คิดว่าครั้งนี้พี่ซาจะต้องล้างความอัปยศได้อย่างแน่นอน!”
ด้านนอกแท่นประลอง พอชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีขาวมองเห็นบงกชหิมะกำลังเบ่งบานอยู่รอบตัวซาทงเทียน แววตาของเขาก็ดูชมเชยเล็กน้อย
หลิ่วหมิงกลับส่ายหน้าและหัวเราะเบาๆ บงกชที่กลายร่างมาจากปราณกระบี่นี้ คือวิธีการหนึ่งในการเปลี่ยนรูปร่างของปราณกระบี่ในวิชาขี่กระบี่ และซาทงเทียนก็สามารถทำให้กระบี่บินกลายเป็นมังกรได้นานแล้ว คุณสมบัติของเขาช่างไม่เลวเลยจริงๆ
แต่ว่าการปล่อยปราณกระบี่ออกมาเช่นนี้ เมื่อแสดงความสุดยอดของวิชาขี่กระบี่ออกมาโดยไม่เก็บไว้เลยแม้แต่น้อย ไหนเลยจะสามารถแสดงการจู่โจมของกระบี่บินพลังจิตวิญญาณในทีเผลอได้
หลิ่วหมิงยังไม่รู้ตัวว่า ตอนนี้สายตาและความรอบรู้ของเขาอยู่เหนือกว่าระดับผลึกไปนานแล้ว สำหรับเรื่องความเข้าใจในการฝึกฝน ก็เปลี่ยนจากภายนอกที่เรียบง่ายค่อยๆ เข้าไปถึงแก่นแท้ ผู้ฝึกฝนระดับผลึกธรรมดาอย่างซาทงเทียน ไหนเลยจะเปรียบได้
หลังจากแอบทอดถอนหายใจเบาๆ เล็กน้อยแล้ว หลิ่วหมิงก็ทำท่าเคล็ดกระบี่แล้วชี้ไปที่ระหว่างคิ้ว เงากระบี่สีทองเจิดจ้าลำหนึ่งเปล่งประกายออกมา และลอยอยู่ตรงหน้าเขา
ครู่ต่อมา เกิดเสียงดังโครมคราม!
แสงสีทองเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง แสงกระบี่สีทองพุ่งยิงออกไปราวสายฟ้าแลบ ปราณกระบี่สีทองจำนวนมากกวาดไปทั่วแท่นประลองภายในพริบตา
การโจมตีแบบง่ายสุดของวิชาขี่กระบี่ คือการแทงออกไปตรงๆ ในกระบี่เดียว ไม่มีการพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงใดๆ โดยการใส่พลังเวทเข้าไปในร่างของกระบี่บินว่างเปล่า และอาศัยพลังเดียวทำลายหมื่นวิธีการ
แสงกระบี่อันเจิดจ้าดูราวกับอสูรโหดร้ายในดินแดนทางตอนใต้ และพุ่งเข้าหาซาทงเทียนโดยตรง
ซาทงเทียนรู้สึกตกใจมาก คิดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงจะหลอมกระบี่บินพลังจิตวิญญาณสำเร็จเหมือนกัน ทั้งยังระเบิดอานุภาพการโจมตีเช่นนี้ด้วย
เมื่อครู่ที่หลิ่วหมิงเพิ่งลงมือ เขาก็ส่งเสียงคำรามออกมา มือทั้งสองทำท่ามืออย่างรวดเร็ว พอบงกชสีขาวกลางอากาศดับลง กระบี่ที่ดูคล้ายกับอสรพิษจิตวิญญาณก็พุ่งออกมา และกลายเป็นแสงสีขาวเย็นสะท้านพุ่งไปรับมือกับแสงกระบี่สีทอง
เกิดเสียงดังโครมคราม!
แสงกระบี่สีขาวกับสีทองปะทะกันทันที
อากาศบนแท่นประลองเกิดเสียงดังติดต่อกันอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แสงจิตวิญญาณสีทองกับสีขาวประสานกันไปมา จนดูเจิดจ้าแสบตายิ่งนัก!
แต่ทว่าหลังจากผ่านไปสองสามอึดใจ ปราณกระบี่สีขาวก็ค่อยๆ สลายไป แสงสีทองเจิดจ้าลำหนึ่งพุ่งออกจากปราณกระบี่สีขาวที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ หลังจากกะพริบแค่ทีเดียว ก็มาปรากฏตัวตรงหน้าซาทงเทียน และหยุดชะงักลงทันที จากนั้นก็กลายเป็นกระบี่บินสีทองที่ยาวสองฉื่อ
จะเห็นว่าแสงเย็นสะท้านบนปลายกระบี่บินว่างเปล่าสั่นสะท้านอยู่ไม่หยุด แต่อยู่ห่างจากระหว่างคิ้วของซาทงเทียนแค่สามชุ่นเท่านั้น
และซาทงเทียนก็เพียงแค่รู้สึกเย็นระหว่างคิ้ว จากนั้นโลหิตบริสุทธิ์ก็ไหลลงมา แม้ว่ากระบี่บินว่างเปล่าจะไม่ทันได้สัมผัสกับผิวหนังของเขาจริงๆ แต่ปราณกระบี่ไร้รูปยังคงทิ้งบาดแผลลึกหนึ่งชุ่นกว่าๆ ไว้บนระหว่างคิ้วของเขา
“เจ้า…”
ใบหน้าของซาทงเทียนซีดขาวขึ้นมา แววตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ เขายกแขนขึ้นอย่างสั่นๆ หลังจากชี้ไปทางหลิ่วหมิงที่อยู่ไม่ไกลแล้ว ก็อ้าปากกระอักเลือดออกมา
“เต๊ง!”
กระบี่สีขาวหิมะเล่มหนึ่งร่วงลงมาจากบนอากาศ และปักเอียงอยู่บนพื้น หลังจากดิ้นราวกับปลายว่ายน้ำไปสองสามทีแล้ว ก็สงบลงในที่สุด
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้กลับเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา พอโบกมือข้างหนึ่ง กระบี่บินกลางอากาศก็เปล่งประกาย และกลายเป็นแสงสีทองม้วนตัวกลับไป จากนั้นก็กะพริบเข้าไปในแขนเสื้อของเขา
ด้านล่างแท่นประลองในขณะนี้ ได้เงียบเป็นเป่าสากไปตั้งนานแล้ว ศิษย์ที่ล้อมดูอยู่ต่างก็จ้องมองจนปากอ้าตาค้าง
โดยเฉพาะศิษย์ยอดเขากระบี่สวรรค์เหล่านั้น ต่างก็อ้าปากค้างจนแทบจะยัดไข่ไก่เข้าไปได้สองสามฟองแล้ว
ก่อนหน้านั้นซาทงเทียนยังมีท่าทีมั่นใจอยู่เลย เหตุใดเพิ่งจะแลกมือกัน ก็พ่ายแพ้อย่างถึงที่สุดแล้ว
“หลิ่วหมิงชนะ!”
ชายชุดขาวที่เป็นผู้ตัดสินก็เผยแววตาประหลาดจนยากจะปิดได้มิด หลังจากประกาศออกมาแล้ว ก็ปล่อยแสงสีขาวลงบนแท่นประลอง และเกราะคุ้มกันรอบๆ ก็ค่อยๆ สลายไป
ศิษย์ยอดเขากระบี่สวรรค์สองคนรีบเหาะขึ้นไปบนแท่นประลอง และนำโอสถออกมาให้ซาทงเทียนทาน
แม้ว่าซาทงเทียนจะไม่ได้ถูกวิชากระบี่ของหลิ่วหมิงโจมตีโดยตรง แต่จิตของเขาเชื่อมต่อกับกระบี่บินพลังจิตวิญญาณ ซึ่งก่อนหน้านั้นถูกกระบี่บินว่างเปล่าโจมจีจนหล่นลงไป ไม่เพียงแต่จะทำให้เขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น แม้แต่พลังจิตวิญญาณของกระบี่บินก็ได้รับความเสียหายเล็กน้อยด้วย
เขาย่อมไม่รู้ว่า หลิ่วหมิงได้ตั้งใจยั้งมือให้แล้ว
มิเช่นนั้น ด้วยพลังเวทที่หนาแน่น และความแหลมคมของกระบี่บินว่างเปล่าในตอนนี้ ภายใต้การโจมตีด้วยพลังทั้งหมดของวิชาขี่กระบี่ ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถทำให้กระบี่บินพลังจิตวิญญาณของเขาหักเป็นสองท่อนได้
………………………………