ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 748 อานุภาพระดับดาราพยากรณ์
ตอนที่ 748 อานุภาพระดับดาราพยากรณ์
โดย
Ink Stone_Fantasy
ซาทงเทียนในขณะนี้ บนใบหน้าเต็มไปด้วยขี้เถ้า จิตรับรู้ก็ดูเหมือนจะตกอยู่ในภวังค์เล็กน้อย ภายใต้การพยุงของศิษย์ยอดเขากระบี่สวรรค์ทั้งสอง ถึงฝืนลุกขึ้นมาได้
“ออมมือแล้ว!” หลิ่วหมิงกุมมือคารวะแล้วกล่าวไปหนึ่งประโยค จากนั้นก็กระโดดลงจากแท่นประลองแล้วเดินออกไป
คนที่ล้อมดูอยู่ต่างก็รีบพากันหลีกทางให้กับเขา ชายชุดขาวมองดูเงาร่างของหลิ่วหมิงด้วยแววตาครุ่นคิดเล็กน้อย
หนึ่งชั่วยามต่อมา แสงสีดำลำหนึ่งก็ร่วงลงบนยอดเขาลั่วโยว พอแสงสีดำเปล่งประกาย เงาร่างของหลิ่วหมิงก็ปรากฏออกมา
หน้าวิหารใหญ่ของยอดเขาลั่วโยว มีศิษย์ชุดดำที่ดูแปลกหน้าสองคนยืนรักษาการณ์อยู่ พอเห็นหลิ่วหมิงเดินเข้ามา ก็รีบเดินออกไปรับทันที
“ศิษย์พี่ผู้นี้มาเยือนยอดเขาลั่วโยว มีเรื่องอันใดให้ช่วยเหลือหรอกหรือ?” แม้ว่าทั้งสองจะไม่รู้จักหลิ่วหมิง แต่ว่าแรงกดดันจิตวิญญาณที่หลิ่วหมิงแผ่ออกมา เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ฝึกฝนระดับผลึกเลย ทั้งสองจึงรับรู้ได้ทันที และกล่าวอย่างนอบน้อม
หลิ่วหมิงเอามือลูบจมูกและยิ้มอย่างขมขื่น
เขาเป็นศิษย์ยอดเขาลั่วโยว แต่เวลาส่วนมากจะฝึกฝนอยู่ด้านนอก ศิษย์ที่เฝ้าประตูไม่รู้จักก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
“ข้าหลิ่วหมิง เป็นศิษย์ยอดเขาลั่วโยวเช่นกัน วันนี้ตั้งใจมาคารวะและเยี่ยมเยียนอาจารย์ที่เป็นผู้ควบคุมยอดเขา” หลิ่วหมิงยักไหล่แล้วแสดงออกถึงสถานะของตนเอง
“ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่หลิ่ว ได้ยินชื่อเสียงของศิษย์พี่มานานแล้ว เป็นเกียรติอย่างยิ่ง เป็นเกียรติอย่างยิ่ง! พวกข้าเป็นศิษย์ที่มาผลัดเปลี่ยนเวรบนยอดเขาลั่วโยวเมื่อไม่นานมานี้” ศิษย์เฝ้าประตูทั้งสองเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา พวกเขารีบคารวะหลิ่วหมิง และแอบสังเกตดูอยู่ไม่หยุด
หลิ่วหมิงรับคารวะ จากนั้นก็ถามเรื่องเกี่ยวกับอินจิ่วหลิง
“ศิษย์พี่ช่างไม่บังเอิญเลยเสียจริง! ท่านผู้ควบคุมยอดเขาประกาศเก็บตัวฝึกฝนเมื่อหลายเดือนก่อนอย่างกะทันหัน ตอนนี้นับดูแล้ว อาจจะต้องรออีกครึ่งค่อนเดือนถึงจะออกจากการเก็บตัว” หนึ่งในศิษย์ที่เฝ้าระตูกล่าวอย่างนอบน้อม
“อ๋อ! เป็นเช่นนี้หรอกหรือ เช่นนั้นอีกครึ่งเดือนให้หลังข้าค่อยมาเยี่ยมเยียนใหม่” หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าช่วงเวลาที่เขากลับมานั้นจะโชคร้ายเล็กน้อย ดังนั้นจึงรีบกล่าวคำอำลา และออกไปจากบนยอดเขา
“เขาก็คือศิษย์พี่หลิ่วที่ร่ำลือกันหรือ ได้ยินมาว่าไม่ได้เข้ามาเป็นศิษย์สายในเพราะผู้อาวุโสท่านใดชอบใจในตัวเขา แต่กลับฝ่าด่านทดสอบของเจดีย์ซวีหลิงเข้ามา”
“ว่ากันว่าศิษย์พี่หลิ่วผู้นี้มีพลังน่าตกใจมาก เคยช่วยอินจิ่วหลิงผู้ควบคุมยอดเขาทำงานใหญ่สำเร็จ ด้วยเหตุนี้จึงถูกรับเป็นศิษย์สายตรง หลังจากนั้นไม่นานก็บรรลุเข้าสู่ระดับผลึก แต่ได้ยินมาว่าในช่วงยี่สิบปีมานี้ ล้วนไปฝึกฝนอยู่ภายนอก ไม่รู้ว่าตอนนี้เข้าสู่ระดับใดแล้ว!”
ศิษย์เฝ้าประตูทั้งสองกระซิบกันเบาๆ สองประโยค จากนั้นก็เก็บอาการบนใบหน้า และทำการพิทักษ์วิหารใหญ่ต่อ
เพราะศิษย์สายในที่มีชื่อเสียงระดับหลิ่วหมิง อยู่ห่างจากศิษย์สายนอกที่ยังต้องผลัดเปลี่ยนมาอยู่เวรเพื่อแลกแต้มคุณูปการอย่างพวกเขามาก แม้ว่าในใจจะรู้สึกอิจฉา แต่ก็ไม่อาจมีความคิดอื่นๆ ได้
หลิ่วหมิงไปจากด้านบนยอดเขาลั่วโยวด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย ไม่นานก็กลับมาถึงถ้ำที่พักของตัวเอง
ประตูหินค่อยๆ เปิดออก ทุกอย่างภายในถ้ำที่พักยังคงเป็นเหมือนเดิม ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ เลยแม้แต่น้อย
เพียงแต่ว่าไม่มีคนอยู่มานานขนาดนี้ บนพื้นและตามสถานที่ต่างๆ จึงเต็มไปด้วยฝุ่น
เขาถอนหายใจเบาๆ จากนั้นก็ครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว พอตบถุงหนังบนเอว เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์ก็ถูกเรียกออกมา หลังจากสั่งให้ทั้งสองทำความสะอาดแล้ว ตนเองก็เข้าไปหลับในห้องนอนเป็นการใหญ่
การเดินทางติดต่อกัน ทั้งยังทำการประลองกับซาทงเทียนไปอีกรอบ ทำให้จิตใจเขารู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก
หนึ่งคืนผ่านไปโดยไม่มีเรื่องใดๆ เกิดขึ้น
เช้าตรู่วันที่สอง พอหลิ่วหมิงตื่นขึ้นมา ก็รู้สึกเต็มไปด้วยพลัง
ตอนนี้นับดูแล้ว อีกครึ่งเดือนอินจิ่วหลิงถึงจะออกจากการเก็บตัว ช่วงเวลาเหล่านี้เขาไม่อาจทำตัวให้ว่างได้
หลังจากเขาคิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้ว ก็เดินเข้าไปในห้องลับ และเข้าไปในห้องว่างเปล่าลึกลับอีกครั้ง
ตั้งแต่ช่วยเขาประทับสายฟ้าเทพสวรรค์เก้าชั้นฟ้าแล้ว หลัวโหวก็ไม่ปรากฏตัวมาช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว
สำหรับการปรากฏตัวผลุบๆ โผล่ๆ ของหลัวโหวนั้น หลิ่วหมิงเองก็นับว่าเคยชินแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้คิดอะไรมาก
เขาค่อยๆ ก้าวไปด้านหน้าศิลาหุนเทียน พอยื่นมือข้างหนึ่งวางลงบนแท่นศิลา พลังจิตก็ทะลักเข้าไปในนั้นอย่างต่อเนื่อง
บรรยายกาศรอบด้านพร่ามัวทีหนึ่ง จากนั้นหลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวท่ามกลางภูเขาที่แห้งแล้งในยามค่ำคืน ด้านหลังที่อยู่ห่างออกไปไกลๆ เงาร่างที่มีแสงสีม่วงเปล่งประกายกำลังพุ่งเข้ามา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ทำท่ามือโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง แสงสีทองเจิดจ้าลำหนึ่งม้วนตัวออกไป มันยกร่างของเขาขึ้นมา และพุ่งออกไปไกลๆ
เขากำลังจำลองฉากที่ถูกปีศาจสายฟ้าล่าสังหารในดินแดนทางตอนใต้ แต่ว่าท้องฟ้ากลับกลายเป็นเวลากลางคืนที่มืดสนิท
แต่พอได้ยินเสียงสายฟ้าที่ผสมปนเปกับแสงสีแดงดังขึ้นด้านหลัง ความเร็วของปีศาจสายฟ้าก็เพิ่มขึ้นมามาก
หลิ่วหมิงปล่อยพลังเวทเข้าไปในกระบี่บินว่างเปล่า ทำให้ความเร็วของมันก็เพิ่มขึ้นมาไม่น้อย แต่ไม่มีเคล็ดวิชาเกราะอสูรที่กลายเป็นปีกสีเงินคอยช่วย แม้ว่าจะเข้าสู่ระดับผลึกขั้นปลายแล้ว ยังไม่อาจเทียบกับปีศาจสายฟ้าได้
แต่ว่าเขาทำท่ามือด้วยมือทั้งสองอย่างมีแผนในใจ พลังเวทบริสุทธิ์เป็นสายๆ พุ่งเข้าไปในสายรุ้งสีทองที่ห่อหุ้มร่างไว้
“ฟิ้ว!”
พอแสงสีทองปรากฏตัวที่ใต้เท้า เงากระบี่ขนาดใหญ่ก็ปรากฏออกมา แต่ครู่ต่อมา แสงทรงกลดสีขาวก็แผ่ออกจากเงากระบี่ และกลายเป็นไหมแสงสีขาวจางๆ ก่อนโบกสะบัดอย่างบ้าคลั่ง
มันคือพลังแม่เหล็กที่แฝงมากับกระบี่บินว่างเปล่านั่นเอง
ครู่ต่อมา ดูเหมือนว่าบนท้องฟ้าสีดำจะมีดวงดาวเปล่งประกายอยู่หลายดวง จากนั้นเงากระบี่ยักษ์รอบด้านก็มีสะเก็ดดาวสีขาวน้ำนมเป็นจุดๆ ค่อยๆ ร่วงลงมาจากท้องฟ้า
กระบี่บินพลังจิตวิญญาณเล่มนี้อาศัยพลังแม่เหล็กดารา และดวงดาวที่อยู่ใกล้ที่สุดเพื่อสร้างพลังลึกลับบางอย่าง และดึงแสงดาวจำนวนมากลงมา
ดวงดาราบนท้องฟ้ายามค่ำคืนสาดแสงลงมาเรื่อยๆ และค่อยๆ ร่วงลงบริเวณเงากระบี่ยักษ์
เดิมทีแสงดาราก็เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ แต่พอหล่นลงบนแสงแห่งแม่เหล็กดาราที่อยู่รอบๆ กระบี่บิน ก็ดูเหมือนว่าทั้งสองจะมีการขานรับกัน แสงอันรุ่งโรจน์แต่ละลำมารวมตัวกันที่ใต้เท้าของหลิ่วหมิงอย่างต่อเนื่อง ทำให้เงากระบี่ยักษ์สว่างขึ้นกว่าก่อนหน้านั้นเท่าตัว
“ฟิ้ว!”
สายรุ้งสีทองที่หลิ่วหมิงกลายร่างมามีแสงสีขาวเป็นจุดๆ ขณะเดียวกันความเร็วก็เพิ่มขึ้นหนึ่งเท่ากว่าๆ ทำให้ปีศาจสายฟ้าที่อยู่ด้านหลังอยู่ห่างกันด้วยระยะที่ไกลขึ้นกว่าเดิม
แม้ว่าปีศาจสายฟ้าที่อยู่ด้านหลังจะส่งเสียงคำรามอยู่ไม่หยุด แต่ก็ต้องอยู่ห่างจากสายรุ้งสีทองตรงหน้าไกลขึ้นเรื่อยๆ
“ตู๊ม!”
ผ่านไปไม่นาน ทะเลสาบขนาดใหญ่ก็ปรากฏตรงหน้าหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงดวงตาเป็นประกาย สายรุ้งสีทองเปลี่ยนแปลงทิศทางในฉับพลัน และทิ่มลงไปในทะเลสาบ
ไม่นาน ปีศาจสายฟ้าก็มาถึงริมทะเลสาบ หลังจากส่งเสียงคำรามออกมาแล้ว ก็ขี่สายฟ้ามุดลงไปในทะเลสาบเช่นกัน
ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงก็เก็บวิชากระบี่บินเหินเวหา และใช้พลังเวทในร่างกระตุ้นเคล็ดเกราะอสูร
เป็นผลให้ปราณจิตวิญญาณขยายตัวด้านหลัง “ฟู่!” ปีกสีเงินครู่หนึ่งยื่นออกมา ไหมและอักขระสีเงินจำนวนมากเปล่งประกายอยู่บนนั้น
พอปีกคู่นี้สัมผัสกับน้ำในทะเลสาบ แสงสีฟ้าก็เปล่งประกาย ชั้นของไอหมอกสีฟ้าค่อยๆ โผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำ จากนั้นไอหมอกสีฟ้าก็รวมตัวเป็นไหมน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว และปีกวิหคถูกห่อด้วยขนวิหคสีฟ้าแวววาว
ปีกสีเงินกลายเป็นปีกวิหคสีฟ้าคู่หนึ่ง
พอหลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง ปีกวิหคสีฟ้าก็กระพือเบาๆ น้ำทะเลสาบบริเวณนี้แยกออกจากกันเป็นสองฝั่งอย่างเงียบๆ โดยไม่มีแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย
พอแสงสีฟ้าเปล่งประกาย หลิ่วหมิงก็กลายเป็นเงาสีฟ้าจางๆ พุ่งออกไปร้อยกว่าจั้ง และยังคงแล่นต่อไปด้วยความเร็วที่น่าอัศจรรย์มาก
บนผิวทะเลสาบ ปีศาจสายฟ้ามีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ประจักษ์ชัดว่า เขาคิดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงจะมีความสามารถในการควบคุมน้ำเช่นนี้ด้วย
เพราะปีกสีเงินกลายร่างมาจากอสูรสมุทรแปดขา และปีศาจสมุทรแปดขาก็เป็นเทพอสูรของเผ่าเจ้าสมุทร เมื่อโตเต็มวัยแล้ว ย่อมสามารถควบคุมน้ำได้โดยธรรมชาติ และหลังจากดูดซับโลหิตปีศาจสวรรค์ไปแล้ว พรสวรรค์ทางด้านนี้ก็เพิ่มขึ้นมาสิบกว่าเท่า
ด้วยเหตุนี้ หลังจากหลิ่วหมิงกระตุ้นเกราะอสูรให้กลายเป็นปีกคู่หนึ่งแล้ว ทำให้เขาจัดการกับพลังปราณวารีได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าจะไม่แสดงวิชาขี่กระบี่ ความเร็วก็ไม่ด้อยไปกว่าตอนที่ยืมใช้พลังแห่งดาราเลยแม้แต่น้อย
ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมพลังแม่เหล็กดาราของกระบี่บินว่างเปล่า หรือการควบคุมพลังปราณวารีของเคล็ดเกราะอสูร ล้วนเกิดจากการที่เขาฝึกฝนในแดนมายาอย่างยากลำบากในช่วงหลายปีมานี้ และค่อยๆ ถูกค้นพบขึ้นมา
หากตอนนี้เขาเผชิญกับปีศาจสายฟ้าในตอนนั้น แม้ว่าจะไม่อาจต่อกรได้ แต่หากจะสลัดตัวให้หลุดพ้น ก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว
ที่น่าเสียดายเพียงหนึ่งเดียวก็คือ การแสดงผลของทั้งสองมีข้อจำกัดบางประการ
อย่างแรกจำเป็นต้องทำในเวลากลางคืน มีดวงดาวบนท้องฟ้าถึงจะยืมพลังแห่งแสงดารามาได้ อย่างหลังก็จำเป็นต้องทำในบริเวณทะเลสาบ ถึงจะแสดงอานุภาพที่สมบูรณ์ได้
ขณะนั้นเอง ปีศาจสายฟ้าที่อยู่ด้านหลังก็มีแสงสีเลือดจางๆ ปรากฏในแววตา พออ้าปากก็พ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมาทันที
แสงโลหิตลำหนึ่งห่อหุ้มปีศาจสายฟ้าไว้ในนั้น ความเร็วของมันเพิ่มขึ้นมาครึ่งหนึ่ง และพุ่งตามหลิ่วหมิงไปอย่างบ้าคลั่ง
หลิ่วหมิงเผยแววตาประหลาดใจออกมา ปีกสีฟ้าบนหลังหดเข้าไปในร่างทันที พอระลอกคลื่นส่งเสียงดัง เขาก็พุ่งออกจากทะเลสาบ และหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศก่อนหมุนตัวกลับมา
ผ่านไปสักพัก เกิดเสียงฟ้าผ่าบนผิวทะเลสาบด้านหลัง แสงโลหิตกลุ่มหนึ่งพุ่งตามมา ซึ่งก็คือปีศาจสายฟ้าที่มีสีหน้าดุร้ายเป็นอย่างมาก
พอเห็นหลิ่วหมิงยืนอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน ก็หัวเราะขึ้นมาทันที แต่ไม่เห็นว่าเขาจะมีความเคลื่อนไหวใดๆ เลยแม้แต่น้อย แสงโลหิตบนตัวสลายออกไป แต่กลับถูกแสงสีม่วงห่อหุ้มไว้ ขณะเดียวกัน แรงกดดันระดับดาราพยากรณ์ก็ถูกปล่อยออกมาอย่างไม่ปิดบัง
ราวกับว่าอากาศรอบด้านแข็งตัวขึ้นมา ท้องฟ้าบนยอดเขาก็เหมือนจะกลายเป็นภูเขาขนาดใหญ่ และกดดันลงมา
แรงกดดันจิตวิญญาณอันมหาศาลนี้ ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นกลางและขั้นปลายโดยทั่วไป ก็ไม่อาจแบกรับได้ ภายใต้สถานการณ์ที่จิตถูกระงับไว้ เกรงว่าวิชาและพลังวิเศษใดๆ ต่างก็ถูกลดพลังไปมาก
หลิ่วหมิงแบกรับแรงกดดันจิตวิญญาณนี้ซึ่งๆ หน้า ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก แต่พลังจิตอันแข็งแกร่งทะลักออกไปในทันที หลังจากร่างกายโงนเงนสองสามทีแล้ว ก็พอที่จะยืนตั้งหลักได้อีกครั้ง
ขณะนี้ กลิ่นไอที่ปีศาจสายฟ้าปล่อยออกมาน่ากลัวมากขึ้นเรื่อยๆ แสงสายฟ้าสีม่วงพุ่งออกจากร่างของเขา พอเขาขยับแขน มือข้างหนึ่งก็คว้าไปด้านหน้าทันที
“ตู๊ม!”
สายฟ้าประสานกันไปมาเหนือศีรษะของหลิ่วหมิง ฝ่ามือยักษ์ขนาดหลายหมู่รวมตัวกันออกมาจากแสงสายฟ้า และกดลงด้านล่าง
เมื่อเผชิญหน้ากับฝ่ามือสายฟ้ายักษ์ที่บดบังท้องฟ้าและดวงตะวันเช่นนี้ หลิ่วหมิงก็ไม่คิดจะหลบหลีกแต่อย่างใด พออ้าปาก ก็พ่นกระบี่บินออกมา หลังจากชี้ไปบนอากาศแล้ว มันก็ขยายตัวตามลมจนมีขนาดใหญ่สิบกว่าจั้ง
“ฟัน!”
หลิ่วหมิงส่งเสียงตะคอกออกมา เขานำพลังเวทในร่างทั้งหมดใส่ลงไปในกระบี่ยักษ์ และฟันใส่มือยักษ์สายฟ้าสีม่วงที่ร่วงลงมาอย่างโหดเหี้ยม
………………………………