ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 749 ประตูทองคำกับน้ำในแม่น้ำมืด
ตอนที่ 749 ประตูทองคำกับน้ำในแม่น้ำมืด
โดย
Ink Stone_Fantasy
ขณะเดียวกัน แสงสีดำบนตัวหลิ่วหมิงก็เปล่งประกายขึ้นมา ไอหมอกสีดำพวยพุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง และก่อตัวเป็นมังกรหมอกดำห้าตัวกับพยัคฆ์หมอกดำห้าตัว หลังจากส่งเสียงคำรามออกมาแล้ว ก็พุ่งขึ้นฟ้าทันที
“ตู๊ม!”
ภายใต้การเปล่งประกายของกระบี่ยักษ์สีทอง มันก็ฟันลงบนมือยักษ์สีม่วงอย่างแน่นหนา ทันใดนั้นแสงสีทองกับสายฟ้าก็ประสานกันไปมาจนเกิดประกายระยิบระยับ แต่ว่าฟันเข้าไปได้เล็กน้อย ก็ต้องถูกสั่นสะเทือนจนแตกกระจายกลายเป็นแสงสีทองร่วงลงไปราวกับสายฝน
มังกรหมอกกับพยัคฆ์หมอกกลับพุ่งชนใส่พร้อมเสียงคำราม ไอดำม้วนตัวพวยพุ่งออกมา มือยักษ์สีม่วงค่อยๆ ถูกยกขึ้น
แต่ครู่ต่อมา ปีศาจสายฟ้ากลับส่งเสียงคำราม และงอนิ้วทั้งห้าลง
เสียงฟ้าร้องดังขึ้นบนมือยักษ์ทันที สายฟ้าสีม่วงขนาดใหญ่เส้นหนึ่งพวยพุ่งออกมา พริบตาเดียวก็สั่นสะเทือนจนมังกรหมอกกับพยัคฆ์หมอกแตกกระจาย จากนั้นก็กดลงไปด้านล่างพร้อมเสียงดังโครมคราม
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หดรูม่านตาลง พอขยับแขน กำปั้นสองลูกที่มีเกล็ดสีม่วงปกคลุมเต็มไปหมดก็ปรากฏออกมา พอแสงสีเงินเปล่งประกาย ปลอกแขนสีเงินก็ปรากฏออกมาห่อหุ้มกำปั้นทั้งสองไว้ในพริบตา
เกิดเสียงดังก้องฟ้า!
เงากำปั้นสีเงินแน่นขนัดพุ่งออกไปราวกับสายฝนกระหน่ำ และโจมตีแขนยักษ์สีม่วงจนสั่นสะเทือนอยู่ไม่หยุด
แต่ทว่าสายฟ้าขนาดใหญ่ประสานกันไปมาบนมือยักษ์สีม่วงอยู่ครู่หนึ่ง ก็กดดันจนเงากำปั้นด้านล่างสลายไปได้อย่างง่ายดาย และกะพริบแค่ทีเดียว ก็ฉีกทึ้งหลิ่วหมิงที่อยู่ด้านล่างจนกลายเป็นสายฝนโลหิต
พอมีแสงเปล่งประกายตรงหน้า หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวในห้องว่างเปล่าลึกลับอีกครั้ง สีหน้าของเขาดูซีดขาวเล็กน้อย
“เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน ด้วยพลังในตอนนี้ไม่อาจต่อสู้ซึ่งๆ หน้ากับผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ได้…….” เขายกมือทั้งสองขึ้นมาดูทีหนึ่งและพูดพึมพำออกมา
หลายปีมานี้ เขาใช้ดวงตามายาปีศาจจำลองสถานการณ์ตามล่าสังหารของปีศาจสายฟ้าอยู่หลายครั้ง และค่อยๆ ทำความเข้าใจพลังแห่งแม่เหล็กดารากับการเปลี่ยนแปลงมหัศจรรย์ของเคล็ดเกราะอสูร ซึ่งความแข็งแกร่งในนี้ตอนนี้ ไม่เหมือนกับตอนที่อยู่ระดับผลึกขั้นกลางแล้ว
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พอเขาหมุนตัวรับมือกับปีศาจสายฟ้าในแดนมายาโดยตรง ก็จะถูกฝ่ามือสังหารในทันที
แต่หลังจากผ่านสถานการณ์จำลองในแดนมายามาหลายครั้ง หลิ่วหมิงก็เก็บเกี่ยวมาได้ไม่น้อย โดยเฉพาะในด้านจิตรับรู้ หลังจากผ่านการฝึกฝนมาหลายครั้ง เมื่อต้องเผชิญกับกลิ่นไอกดดันอันน่ากลัวของระดับดาราพยากรณ์ เขาก็ไม่ถูกสั่นสะเทือนจนพลังลดลงเหมือนในตอนแรก
แม้กระทั่งยังทำให้พลังจิตของเขาเพิ่มทวีขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด พูดได้ว่าเป็นเรื่องน่ายินดีที่คาดไม่ถึงมาก่อน
หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิลงในทันที พอปิดตาทั้งคู่ลง สมองของเขาก็เริ่มนึกถึงรายละเอียดการต่อสู้อย่างดุเดือดกับเลี่ยเจิ้นเทียนในแดนลึกลับ และครุ่นคิดเกี่ยวกับข้อผิดพลาดในการรับมือ
แต่พอชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที และลืมตาทั้งคู่ด้วยความตกใจ
จะเห็นว่าศิลาหุนเทียนตรงหน้าสั่นสะท้านโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย พอเกิดเสียงดัง “ฟิ้ว!” ลายเส้นสีทองเจิดจ้าก็หมุนวนขึ้นมาจากใต้ศิลาหุนเทียนราวกับเถาวัลย์
บนลายเส้นเหล่านี้มีอักขระจางๆ หมุนวนอยู่ไม่หยุด แลดูน่าทึ่งเป็นอย่างมาก
ผ่านไปไม่นาน ลายเส้นสีทองก็ปกคลุมเต็มศิลาหุนเทียน
ขณะที่หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมากนั้น แสงสีทองเจิดจ้าแต่ละลำก็เปล่งประกายออกจากลายเส้นจิตวิญญาณ ภายใต้การรวมตัวของแสงสีทองจำนวนมาก ทำให้คำจารึกค่อยๆ ลอยออกมาจากศิลาหุนเทียน
แต่ครู่ต่อมา พอมีเสียงภาษาสันสกฤตดังขึ้น คำจารึกสีทองก็ยังคงทะยานไปมาอยู่ไม่หยุด และเริ่มหมุนรอบแท่นศิลาอย่างรวดเร็ว
ห้องว่างเปล่าลึกลับที่เป็นสีเทาสลัวๆ ถูกแสงสีทองส่องจนสว่างไสวราวกับเวลากลางวัน ขณะเดียวกัน ปราณจิตวิญญาณอันอบอุ่นก็แผ่ออกมาในอากาศ
ขณะนี้หลิ่วหมิงมองดูคำจารึกสีทองเหล่านี้ตาไม่กะพริบ
คำจารึกลึกลับเหล่านี้ ทำให้ผู้ที่มีความรู้อย่างเขาไม่อาจวินิจฉัยอะไรออกมาได้เลย
หลังจากผ่านไปไม่กี่อึดใจ คำจารึกสีทองนับร้อยก็รวมตัวกันตรงหน้าแท่นศิลา พอแสงสีทองเปล่งประกาย มันก็กลายเป็นอักขระสีทองขนาดใหญ่ที่ไม่รู้จัก
อักขระตัวนี้มีขนาดหนึ่งจั้งกว่าๆ พื้นผิวของมันเกิดจากคำจารึกเล็กๆ จำนวนมากก่อตัวขึ้นมา และเปล่งประกายเป็นจังหวะอย่างต่อเนื่อง
หลิ่วหมิงเห็นปรากฏการณ์เช่นนี้ ก็รีบร่นถอยออกไปสิบกว่าจั้ง
เกือบจะในเวลาเดียวกัน พลันมีเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น “ตู๊ม!”
อักขระสีทองขนาดใหญ่ระเบิดออกมาในฉับพลัน หมอกสีทองจางๆ พุ่งขึ้นมา คำจารึกจำนวนมากระเบิดตัวกลายเป็นจุดแสงในทันที และรวมตัวกับหมอกสีทองจนกลายเป็นทะเลแสงสีทอง
ท่ามกลางทะเลสีทอง ประตูยักษ์สีทองที่กว้างสี่จั้ง สูงห้าจั้ง ค่อยๆ โผล่ขึ้นมาจากผิวทะเล ลายเส้นจิตวิญญาณหลากสีแต่ละเส้นผสานกันไปมาในแนวนอน จนเกิดเป็นภาพประหลาดๆ ภาพหนึ่ง
หลิ่วหมิงย่อมจ้องมองจนปากอ้าตาค้าง ขณะที่กำลังจะมองดูรูปภาพอย่างละเอียด และทำการจดจำนั้น ภาพตรงหน้าก็มืดลงในทันที ทะเลจิตรับรู้ของเขาเจ็บปวดราวกับระเบิดออกมา จากนั้นก็ตามด้วยเสียงร้องอย่างเจ็บปวด “อ๊ากก!” ประตูยักษ์สีทองพังทลายลงมา และกลายเป็นจุดแสงสีทองก่อนสลายไปในทะเลทองคำอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากหลิ่วหมิงรวบรวมสติ และมองเห็นภาพตรงหน้าอย่างชัดเจนนั้น กลับค้นพบว่าแสงสีทองบนศิลาหุนเทียนได้มืดลงไปนานแล้ว และกลับมาสู่สภาพเดิมแล้ว
“ที่แท้ก็ยังไม่ได้หรอกหรือ? ดูท่าข้าคงจะใจร้อนไปหน่อย!” ขณะที่หลิ่วหมิงยังคงรู้สึกประหลาดใจอยู่นั้น กลับมีน้ำเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นมาจากด้านหลัง
เขารีบหันกลับไปมองทันที ชายหนุ่มชุดเขียวอายุราวๆ สิบสามถึงสิบสี่ปีกำลังยืนเอามือไขว้หลังอยู่ เขาก็คือหลัวโหวนั่นเอง เพียงแต่ว่าใบหน้าของเขาในตอนนี้ดูแปลกๆ ดูเหมือนจะมีความคาดหวัง และความโล่งใจเล็กน้อย
“ผู้อาวุโสหลัวโหว เมื่อครู่นี้คือ……” หลิ่วหมิงประสานมือคารวะ และถามขึ้นมาทันที
“เรื่องอื่นๆ ข้ายังไม่อาจบอกเจ้าในตอนนี้ได้ บอกได้แค่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับศิลาหุนเทียน และอาจจะเป็นโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ของเจ้า และก่อนถึงเวลานั้น เจ้าเพียงแค่พยายามยกระดับการฝึกฝนของตนเองให้สูงขึ้นก็พอ มิเช่นนั้นโอกาสอันดีก็อาจจะกลายเป็นโชคไม่ดีได้” เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของหลิ่วหมิง หลัวโหวกลับโบกมือด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก และตัดคำพูดที่เหลือของเขาจนหมดสิ้น
หลิ่วหมิงยังไม่ทันได้ถามอะไร แสงสีเขียวก็เปล่งประกายรอบตัวหลัวโหว จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีเขียวสลัวๆ ก่อนหายไปจากตรงหน้าหลิ่วหมิง
สำหรับการปรากฏตัวอย่างลึกลับซับซ้อนของหลัวโหวนี้ หลิ่วหมิงคุ้นชินจนกลายเป็นเรื่องปกติแล้ว
แต่ว่าคำพูดก่อนไปของเขา กลับทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้านเป็นอย่างมาก!
หลิ่วหมิงรู้ว่าหลัวโหวจะไม่พูดออกมาโดยไม่มีเหตุมีผลอย่างแน่นอน ขณะเดียวกันก็รู้สึกหนักใจเล็กน้อยด้วย
เขายืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้ว ก็หลับตาทั้งคู่ลง และกลับเข้ามาในห้องลับภายในถ้ำ
หลิ่วหมิงหลับตาทั้งคู่ลง และใช้จิตรับรู้สำรวจดูศิลาหุนเทียนภายในร่าง
แท่นศิลานี้ยังคงลอยอยู่ในทะเลจิตรับรู้อย่างเงียบๆ เหมือนเดิม
หลังจากสำรวจดูอย่างเงียบๆ เกือบครึ่งวันแล้ว ก็ยังไม่ค้นพบความผิดปกติแต่อย่างใด ภายใต้สถานการณ์ที่ครุ่นคิดอย่างหนักแต่ยังคงไม่ได้ผลลัพธ์ เขาจึงได้แต่ละทิ้งเรื่องนี้ไปชั่วคราว
ต่อมา พอหลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อเบาๆ แผ่นหยกสีดำชิ้นหนึ่งก็ร่วงลงมาบนฝ่ามือ มันคือเคล็ดวิชากระดูกดำหกขั้นหลังนั่นเอง
เมื่อใช้จิตรับรู้กวาดผ่านอย่างรวดเร็ว เขาก็ต้องเผยรอยยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
จะว่าไปแล้ว เคล็ดวิชากระดูกดำหกขั้นหลังนี้ หลังจากเข้าสู่ระดับผลึกขั้นปลายแล้ว หลายปีที่อยู่ในหนานฮวง หลิ่วหมิงก็อ่านดูไม่รู้ตั้งกี่รอบ และก็ทำความเข้าใจไปพอประมาณแล้ว แต่ตามที่บรรยายในนั้น ตอนนี้เขาไม่อาจฝึกฝนได้เลย
เพราะการฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำหกขั้นหลัง ต้องอาศัยน้ำจากแม่น้ำมืดมาล้างตัว ถึงจะฝึกฝนสำเร็จ
และแม่น้ำมืดเป็นแม่น้ำที่มีแค่ในแดนปรโลกในตำนาน ซึ่งเขาไม่อาจไปหาได้ในตอนนี้
ตามตำนานที่เล่ามาทั้งหมด น้ำจากแม่น้ำมืดแห่งนี้ไหลผ่านดินแดนปรโลกทั้งเก้า น้ำในแม่น้ำไม่เพียงแต่หนักอย่างหาที่เปรียบมิได้ แต่ยังเย็นจนเสียดกระดูก ไม่ว่าจะเป็นคนหรือวิญญาณที่ลงไปในนั้น ต่างก็จมลงไปในพริบตา และไม่อาจลอยขึ้นมาได้เลยแม้แต่น้อย
ตอนนี้ไม่ว่าดินแดนปรโลกจะเป็นอย่างไร หรือต่อให้หลิ่วหมิงจะเข้าสู่ระดับดาราพยากรณ์แล้ว แต่ก็เกรงว่าต้องใช้โอกาสอันดีเล็กน้อย ถึงจะมีความเป็นไปได้ในการเข้าไปได้
ดูท่าข้อตกลงที่ทำกับชิงหลิงในวันนั้น เขาเสียเปรียบไปไม่น้อย แต่เขาทำได้แค่แอบตำหนิอยู่สองสามประโยค และปลอบใจตัวเองแล้ว
เพราะว่าต่อหน้าผู้ทรงพลังระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์อย่างชิงหลิง ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจทำข้อตกลงกับนาง ก็ไม่มีผลต่อผลลัพธ์ในตอนท้ายเลยแม้แต่น้อย
พอคิดมาถึงจุดนี้ เขาก็ได้แต่ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น และเก็บแผ่นหยกเข้าไป จากนั้นก็พลิกฝ่ามือนำบาตรสีเงินออกมาใบหนึ่ง
พอหลิ่วหมิงใช้นิ้วดีดฝาบาตรเบาๆ “เต๊ง!” กลิ่นหอมของโอสถก็แผ่กระจายไปทั่วห้องลับ
แต่จะเห็นว่าภายในบาตรสีเงินมีของเหลวจิตวิญญาณสีม่วงบรรจุอยู่หนึ่งในสามส่วน และภายในของเหลวก็มียันต์สีทองอร่ามแช่อยู่ มันคือยันต์นักรบพลังผ้าเหลืองนั่นเอง
เขากวาดสายตามองดูยันต์ผืนนี้ จากนั้นก็หยิบคัมภีร์ยันต์ผ้าเหลืองโบราณที่ชิงหลิงมอบให้เขาในวันนั้นมาแปะไว้บนหน้าผาก และอ่านดูอย่างละเอียด
ขณะที่อ่านไปด้วย ก็สังเกตดูสิ่งที่บรรจุอยู่ในบาตรอย่างละเอียด ดูเหมือนว่ากำลังทำการเปรียบเทียบอะไรบางอย่างอยู่
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป หลิ่วหมิงถึงค่อยๆ นำคัมภีร์ลงมา และเก็บเข้าไปอีกครั้ง
จะว่าไปแล้ว หลายปีก่อนที่เขาอ่านคัมภีร์เล่มนี้ ก็ค้นพบว่าในคัมภีร์มีบันทึกเคล็ดวิชายันต์นักรบพลังผ้าเหลืองอยู่จำนวนหนึ่งจริงๆ แต่ว่าวัสดุหลักสำหรับสร้างยันต์นักรบพลังผ้าเหลืองที่หาได้โดยทั่วไปในสมัยบรรพกาล กลับมีน้อยมากในปัจจุบันนี้ ต่อให้เขาอยากจะสร้างยันต์นักรบพลังผ้าเหลืองตัวที่สองขึ้นมา หากไม่มีโอกาสดีเป็นพิเศษ คงไม่อาจทำได้สำเร็จ
และยันต์นักรบของนิกายใหญ่ต่างๆ ในตอนนี้ แตกต่างจากยันต์นักรบพลังผ้าเหลืองในสมัยบรรพกาลโดยสิ้นเชิง อย่างหลังต้องตั้งอกตั้งใจบ่มเพาะให้มีจิตวิญญาณเป็นของตัวเอง และอาจจะมีพลังแฝงขนาดใหญ่ให้ขุดค้น อย่างแรกกลับเป็นแค่หุ่นไร้ชีวิตที่อาศัยจิตควบคุมเท่านั้น
แต่ว่าในสองสามหน้าสุดท้ายของคัมภีร์ กลับบันทึกเคล็ดวิชาพิเศษในการพลิกแพลงใช้นักรบพลังผ้าเหลืองอยู่สองสามรูปแบบ หนึ่งในนั้นเป็นเคล็ดวิชาที่ทำให้นักรบยันต์พลังผ้าเหลืองสามารถแบ่งร่างได้ สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก
………………………………