ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 752 วังสวรรค์กับงานประตูสวรรค์
ตอนที่ 752 วังสวรรค์กับงานประตูสวรรค์
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ดีมาก ได้!” ชายชุดเหลืองเห็นเช่นนี้ก็เผยรอยยิ้มออกมา หลังจากหันไปพยักหน้าให้กับอินจิ่วหลิงแล้ว ก็เดินออกไปจากวิหารใหญ่
พอได้ยินคำพูดที่ไม่มีต้นสายปลายเหตุของอินจิ่วหลิง ในใจหลิ่วหมิงก็เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าที่ประมุขนิกายยอดบริสุทธิ์ลงมือทดสอบเขา มีวัตถุประสงค์ใดกันแน่
แต่ดูจากสีหน้าของอินจิ่วหลิงในเมื่อครู่แล้ว เห็นได้ชัดว่าอาจารย์รู้ต้นสายปลายเหตุเป็นอย่างดี
ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังมองดูทิศทางที่เทียนเกอเจินเหรินจากไปด้วยสีหน้าครุ่นคิดนั้น น้ำเสียงของอินจิ่วหลิงก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“เมื่อครู่ท่านประมุขเพียงแค่ทำทดสอบเล็กน้อยเท่านั้น งานประตูสวรรค์ในอีกสองปีข้างหน้า ทางนิกายตัดสินใจให้เจ้ากับศิษย์นิกายสายในอีกหลายคนที่มีการฝึกฝนต่ำกว่าระดับแก่นแท้เข้าร่วม หากเจ้าสามารถสร้างผลงานในงานประตูสวรรค์ได้ ถึงเวลานั้นทางนิกายย่อมตบรางวัลให้อย่างงาม”
“งานประตูสวรรค์!” หลิ่วหมิงหันตัวกลับมาด้วยใจที่เต้นแรง และกล่าวด้วยความประหลาดใจ
เรื่องราวเกี่ยวกับงานประตูสวรรค์ เขาไม่รู้ที่มาของมันเลยแม้แต่น้อย จำได้ว่านอกวังมายานภาหยกในปีนั้น ชายหนุ่มเผ่าปีศาจเคยพูดถึงงานประตูสวรรค์อยู่ แต่ว่าตอนนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจในเรื่องนี้ คิดไม่ถึงว่าตอนนี้กลับได้เป็นตัวแทนนิกายยอดบริสุทธิ์ไปร่วมงานนี้
แม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกฉงนเป็นอย่างมาก แต่ในเมื่อเป็นคำสั่งของนิกาย ทั้งยังมีการอนุญาตจากอาจารย์อินจิ่วหลิง เขาย่อมไม่อาจปฏิเสธได้ หลังจากคิดไตร่ตรองอย่างรวดเร็วแล้ว ก็ตอบกลับไปอย่างนอบน้อม
“ได้เข้าร่วมงานประตูสวรรค์ ถือว่าเป็นโชคดีของศิษย์ ศิษย์จะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อนิกายของเรา”
“ดีมาก! แต่ว่าในระยะเวลาสั้นๆ แค่ยี่สิบกว่าปีที่ไม่ได้เจอกัน เจ้าสามารถทะลวงระดับได้ถึงสองขั้น มันก็เหนือความคาดหมายของข้าไปมากแล้ว เดิมทีคิดว่าหากเจ้ายังมีการฝึกฝนที่ระดับผลึกขั้นต้นล่ะก็ ข้าอาจจะลังเลเรื่องนี้เล็กน้อย เพราะแม้ว่าการเข้าร่วมงานประตูสวรรค์จะได้ประโยชน์ไม่น้อย แต่ก็อันตรายไม่เบาเช่นกัน เพียงแค่ไม่ระวัง ก็อาจจะเสียชีวิตในนั้นได้ แต่ถ้าเป็นตอนนี้ล่ะก็ ข้าก็วางใจเป็นอย่างมากแล้ว หลายปีมานี้เจ้าสามารถบรรลุระดับผลึกขั้นปลายได้ ดูท่าคงจะมีโอกาสดีไม่น้อย” อินจิ่วหลิงเห็นหลิ่วหมิงตอบรับอย่างเต็มปากเต็มคำ เขาก็ค่อนข้างรู้สึกพอใจมาก หลังจากสังเกตดูอีกสองทีแล้ว ก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที
“บอกอาจารย์อย่างไม่ปิดบัง หลายปีมานี้ศิษย์ได้พบโอกาสอันดีในหนานฮวงค่อนข้างมาก” หลิ่วหมิงอธิบายไปสองประโยค
ก่อนมาที่นี่เขาได้เก็บเคล็ดวิชาภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนเข้าไปแล้ว เพราะหากจงใจปิดบังระดับการฝึกฝนต่อหน้าอาจารย์ อาจจะปล่อยไก่ออกมาได้
แม้ว่าเคล็ดวิชาภาพสัญลักษณ์นี้จะสามารถปิดบังการรับรู้ของระดับดาราสวรรค์ทั่วไปลงมาได้ แต่ว่าอินจิ่วหลิงมีสถานะเป็นหนึ่งในผู้ควบคุมยอดเขาของนิกายยอดบริสุทธิ์ ไหนเลยที่ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ทั่วไปจะสามารถเทียบได้ แม้จะบอกว่าสามารถสังหารผู้ฝึกฝนอิสระระดับดาราพยากรณ์ได้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเลยแม้แต่น้อย
“ในเมื่อมีโอกาสอันดีเช่นนี้ ก็เป็นความโชคดีของเจ้า ข้าเพียงแค่อยากจะเตือนสักหน่อย หากอาศัยโอสถเพิ่มพลังเวทอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า อาจส่งผลกระทบต่อการบรรลุระดับในภายหน้าของเจ้าเป็นอย่างมาก นอกจากนี้หากเจ้าพบปัญหาอะไรในการฝึกฝน ก็สามารถมาให้ข้าชี้แนะได้ตลอดเวลา” อินจิ่วหลิงได้ยินกลับกล่าวด้วยเสียงหัวเราะ
“ขอบคุณอาจารย์ ศิษย์เข้าใจแล้ว” หลิ่วหมิงตอบกลับอย่างนอบน้อม
ต่อมาหลิ่วหมิงก็สอบถามเรื่องราวเกี่ยวกับงานประตูสวรรค์อีกสองสามประโยค จากนั้นก็กล่าวลาอินจิ่วหลิงอย่างรีบร้อน และขี่เมฆไปยังหอเก็บคัมภีร์
ครึ่งวันต่อมา ภายหอเก็บคัมภีร์ หลิ่วหมิงค่อยๆ ปิดคัมภีร์เล่มหนึ่งลง และนำกลับไปวางไว้บนชั้นไม้
หลังจากตรวจสอบไปหนึ่งรอบ เขาถึงเข้าใจว่างานประตูสวรรค์คืออะไรกันแน่
ที่แท้งานประตูสวรรค์ที่พูดถึง เป็นงานประลองใหญ่ที่กลุ่มอิทธิพลลึกลับที่เรียกว่า ‘วังสวรรค์’ ที่มีมาแต่บรรพกาล เป็นผู้ดำเนินการ
ตามที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ ทุกๆ แปดร้อยปี ‘วังสวรรค์’ จะเปิดแดนลึกลับแห่งหนึ่งที่เรียกว่าประตูสวรรค์ และส่งเทียบเชิญไปยังนิกาย และตระกูลใหญ่ต่างๆ ในแผ่นดินจงเทียนตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพัน ให้เข้าร่วมทำการประลองแย่งชิงโอกาสอันดีและชะตาชีวิต
และผู้ที่เข้าไปในแดนลึกลับประตูสวรรค์ จะต้องเป็นศิษย์ระดับแก่นแท้ลงมาที่มีอายุไม่เกินหนึ่งร้อยปีเท่านั้น
ว่ากันว่าในแดนลึกลับประตูสวรรค์มีสมบัติและวัตถุจิตวิญญาณชนิดต่างๆ มากมาย แม้กระทั่งยังมีซากของนิกายในสมัยบรรพกาลกับผนึกสืบสานอยู่ในนั้นด้วย และผู้ชิงสมบัติยิ่งมีมาก ก็จะได้รับโชคมากขึ้นด้วย
ใครก็ตามที่สามารถคว้าโชคในแดนลึกลับได้มาก นิกายที่สังกัดก็จะรับความรุ่งเรืองในระยะเวลาหนึ่งพันปีด้วย และนิกายที่คว้าโชคได้น้อย ก็จะเกิดภัยพิบัติในช่วงระยะเวลาหนึ่งพันปีหลังจากนี้อยู่ไม่หยุด ทำให้อิทธิพลลดลงไปมาก
แม้ว่าสี่ยอดนิกายใหญ่ และผู้ทรงพลังในกลุ่มอิทธิพลชั้นนำต่างๆ จะค่อนข้างรู้สึกประหลาดใจและฉงนสนเท่ห์กับเรื่องนี้มาก จนลงมือตรวจสอบเส้นสนกลในของวังสวรรค์อยู่หลายครั้ง แต่ทั้งหมดก็กลับมาอย่างไร้ประโยชน์ รู้แค่ว่าวังสวรรค์ที่ลึกลับเป็นพิเศษนี้ ก็มีผู้ทรงพลังระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ประจำการอยู่เช่นกัน ทั้งยังไม่ได้มีแค่คนเดียว จะต้องไม่ใช่เรื่องที่สามารถดูถูกได้
ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่าก็คือ คนของวังสวรรค์จะปรากฏตัวในการเปิดแดนลึกลับประตูสวรรค์ในแต่ละครั้ง และก็หายไปอย่างลึกลับหลังจากแดนลึกลับประตูสวรรค์ปิดลง แม้ว่านิกายต่างๆ จะใช้วิชาเสี่ยงทายตามผังปากว้าตรวจสอบเรื่องนี้ ก็ไม่อาจทำนายออกมาได้
เวลานานเข้า เมื่อเห็นว่าผู้เข้าร่วมงานประตูสวรรค์ไม่มีผลกระทบอันใดต่อนิกายต่างๆ การส่งคนเข้าร่วมในทุกๆ แปดร้อยปีจึงกลายเป็นเรื่องที่ต้องทำสำหรับกลุ่มอิทธิพลใหญ่ต่างๆ มิเช่นนั้นต่อให้จะเป็นนิกายใหญ่ หากโชคร้ายติดต่อกันหลายปี ก็รู้สึกรับไม่ไหวเช่นกัน
งานประตูสวรรค์ในครั้งที่แล้ว นิกายยอดบริสุทธิ์ชิงมาได้แค่อันดับสามเท่านั้น อยู่อันดับหลังของนิกายเทียนกง นิกายปีศาจลี้ลับ ซึ่งอยู่หน้าสำนักเฮ่าหรานเท่านั้น
จากคำพูดของอินจิ่วหลิง งานประตูสวรรค์ในครั้งนี้ สถานการณ์ของนิกายยอดบริสุทธิ์แย่กว่าครั้งก่อนมาก เพราะงานประตูสวรรค์ตรงกับช่วงที่ศิษย์สายในของนิกายยอดบริสุทธิ์ขาดแคลน ศิษย์เก่งกาจหลายคน หากไม่อายุเกิน ก็เพิ่งบรรลุระดับแก่นแท้ ซึ่งล้วนแต่ไม่อาจเข้าร่วมได้
มิเช่นนั้นเรื่องนี้คงมาไม่ถึงมือหลิ่วหมิงที่เพิ่งกลายเป็นศิษย์สายในในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เช่นนี้
เพราะการที่ได้เข้าร่วมงานประตูสวรรค์ แม้ว่าจะมีอันตรายเป็นอย่างมาก แต่ว่าแดนลึกลับประตูสวรรค์ก็มีโอกาสอันดีมากมานเช่นกัน อีกอย่างหากช่วยนิกายคว้าโชคมาได้ล่ะก็ ทางนิกายจะต้องตอบแทนให้อย่างงามแน่นอน
“อายุไม่เกินหนึ่งร้อยปี ระดับแก่นแท้ลงมา!” หลิ่วหมิงพูดพึมพำออกมา และรู้สึกโล่งใจขึ้นมามาก
ด้วยพลังของเขาในตอนนี้ หากลงมือด้วยพลังทั้งหมด แม้แต่ระดับแก่นแท้ขั้นกลางก็อาจจะสังหารได้ ต่อให้จะเผชิญกับศิษย์ร้ายกาจของนิกายอื่นในงานประตูสวรรค์ คงเอาตัวรอดได้อย่างไม่มีปัญหา
ขณะนี้อยู่ห่างจากเวลาที่งานประตูสวรรค์เริ่มแค่สองปีเท่านั้น เวลากระชั้นชิดมาก หากจะยกระดับพลังเวทก็ไม่อาจทำได้ และหากจะออกนิกายไปหาโอกาสอันดี ก็จะต้องเร่งรีบในเรื่องของเวลาอย่างเห็นได้ชัด อีกอย่างเขาเพิ่งกลับมาจากด้านนอก เรื่องนี้จึงไม่อาจทำได้
“นักรบยันต์พลังผ้าเหลือง!”
หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ตัดสินใจได้ นี่ก็เป็นเรื่องที่เขาวางแผนไว้เมื่อหลายวันก่อนแล้ว เขาเชื่อว่าหากปรับแต่งนักรบยันต์พลังผ้าเหลืองให้แยกร่างได้สำเร็จ มันจะต้องกลายเป็นอาวุธทรงพลังในการรักษาชีวิตจนกระทั่งเอาชนะในงานประตูสวรรค์ได้
หลังจากวางแผนไว้ในใจแล้ว หลิ่วหมิงก็กลับที่พักอย่างไม่รอรี และเข้าสู่สถานะเก็บตัวอย่างจริงจัง
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป ภายในห้องลับภายในถ้ำ
หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะกลมๆ สีเหลืองผืนหนึ่ง ดวงตาทั้งคู่ค่อยๆ ปิดลง เขากลั้นลมหายใจและตั้งสติ มือทั้งคู่ทำท่ามือที่ดูลึกลับอย่างรวดเร็ว
ขณะที่เขาทำท่ามือ ปรานจิตวิญญาณฟ้าดินที่อยู่รอบด้านก็เริ่มมารวมตัวบนท่ามือของหลิ่วหมิงอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่หมุนท่ามือ ปราณจิตวิญญาณก็รวมตัวจนกลายเป็นกระแสน้ำวนปราณจิตวิญญาณสีขาวสลัวๆ ที่มีขนาดเท่าแผ่นโม่
และด้านล่างของกระแสน้ำวนปราณจิตวิญญาณ มีบาตรเงินที่เปล่งแสงสีขาววางอยู่หนึ่งใบ ในบาตรมียันต์สีทองอร่ามที่เปล่งแสงสีม่วงจางๆ วางอยู่
ขณะนี้ยันต์พลังผ้าเหลืองได้ดูดซับของเหลวจิตวิญญาณสีม่วงจางๆ ในบาตรไปพอประมาณแล้ว พื้นผิวของมันเปล่งแสงสีทองเจิดจ้า ประจักษ์ชัดว่าได้รับการฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์แล้ว
“ได้เวลาแล้ว!”
ทันใดนั้น หลิ่วหมิงก็ลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา มือทั้งคู่เปลี่ยนท่ามือในทันที จะเห็นว่าแสงสีทองเปล่งประกายบนยันต์พลังผ้าเหลืองอย่างรุนแรง จากนั้นก็ส่งเสียงดังอยู่ครู่หนึ่ง ของเหลวสีม่วงจางๆ บนผิวยันต์ก็ถูกแสงสีทองแผดเผา จนระเหยเป็นหมอกจิตวิญญาณสีม่วง
พอหลิ่วหมิงชี้มือข้างหนึ่งออกไป ยันต์พลังผ้าเหลืองที่อยู่ท่ามกลางหมอกสีม่วงก็หมุนวนขึ้นฟ้า และพุ่งเข้าไปในกระแสน้ำวนปราณจิตวิญญาณสีขาวสลัวๆ ที่อยู่กลางอากาศโดยตรง
ยันต์พลังผ้าเหลืองสั่นสะท้านอยู่กลางกระแสน้ำวนปราณจิตวิญญาณเบาๆ มันเปล่งแสงสีทองออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และโจมตีปราณจิตวิญญาณสีขาวที่สั่นสะเทือนอยู่รอบๆ อย่างต่อเนื่อง
แสงสีทองกับแสงสีขาวโจมตีประสานกันไปมา กระแสน้ำวนปราณจิตวิญญาณก็เริ่มไม่มั่นคงเล็กน้อย
หลิ่วหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา เขากัดลิ้นและพ่นโลหิตใส่ยันต์พลังผ้าเหลืองทันที
ขณะเดียวกันก็ปล่อยพลังออกไปติดต่อกันหลายครั้ง หลังจากยันต์พลังผ้าเหลืองส่งเสียงดังหวึ่งเบาๆ มันก็หมุนวนอยู่ในกระแสน้ำวนปราณจิตวิญญาณ ทั้งยังหมุนวนเร็วขึ้นเรื่อยๆ
หลิ่วหมิงเห็นว่ายันต์พลังผ้าเหลืองอยู่ในกระแสน้ำวนอย่างมั่นคงแล้ว ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา แต่ต่อมาเขาก็ดีดนิ้วกระชั้นชิดขึ้นเรื่อยๆ และก็เริ่มร่ายคาถา
……
เรื่องราวเกี่ยวกับหลิ่วหมิงที่เคยมีชื่อเสียงในนิกายกลับมาที่ยอดเขา และยังถูกกำหนดให้เข้าร่วมงานประตูสวรรค์ในครั้งนี้ ได้แพร่กระจายในนิกายยอดบริสุทธิ์อย่างรวดเร็ว ซึ่งสร้างความตกใจให้กับผู้ที่สนใจเป็นอย่างมาก
……
บนยอดเขาเลื่อนลอยที่มีเมฆหมอกรายล้อม ภายในถ้ำแห่งหนึ่งที่อยู่ติดกับยอดเขา
การตกแต่งภายในถ้ำไม่ค่อยหรูหรามาก ส่วนใหญ่จะใช้สีฟ้าเป็นหลัก แลดูสะอาดและงดงามเป็นอย่างมาก ใจกลางห้องโถงมีโต๊ะหินอยู่หนึ่งตัว บนโต๊ะมีกาน้ำชาหยกวางอยู่หนึ่งใบ ด้านข้างมีถ้วยชาสีฟ้าหยกวางอยู่สองใบ
ขณะนี้ มือเรียวเล็กข้าวหนึ่งกำลังยกกาหยกขึ้นมา และเทชาสีเขียวเข้มลงในถ้วยทั้งสอง จากนั้นก็ยื่นถ้วยชาให้กับหญิงที่อยู่ตรงหน้า
หญิงสาวที่ชงชาผู้นี้สวมชุดสีฟ้าทั้งตัว ผมยาวปะบ่า ใบหน้างดงามดูมีเสน่ห์และไร้เดียงสา ดวงตาสีฟ้าทั้งคู่เป็นประกาย นางก็คือเจียหลานนั่นเอง
และหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้ามีผิวขาวราวกับหิมะ ชุดสีเขียวที่งดงามและสุภาพ ขับให้รูปร่างที่อ่อนช้อยของนางดูเด่นขึ้นมา นางคือหลงเหยียนเฟยจากยอดเขากระบี่สวรรค์นั่นเอง
หลังจากทั้งสองรู้จักกันที่เจดีย์ซวีหลิงแล้ว ก็กลายเป็นสหายที่ดีต่อกันมาโดยตลอด
“ศิษย์พี่หลง เหตุใดวันนี้ถึงมีเวลามาหาศิษย์น้องได้?” เจียหลานรวบผมข้างใบหูแล้วกล่าวอย่างราบเรียบ
“ทำไมล่ะ! หรือว่าศิษย์น้องเจียหลานไม่อยากต้อนรับข้า?” หลงเหยียนเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
………………………………