ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 753 เรื่องวุ่นวาย
ตอนที่ 753 เรื่องวุ่นวาย
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ศิษย์น้องไหนเลยจะกล้า เพียงแต่หลายวันก่อนได้ยินมาว่า ศิษย์พี่ถูกเลือกให้เข้าร่วมงานประตูสวรรค์ด้วย เวลานี้แล้วเหตุใดถึงยังมีเวลามาคุยเล่นกับข้าเล่า?” เจียหลานส่ายหน้ากล่าว
“สิ่งที่ต้องเตรียม ย่อมเตรียมเสร็จนานแล้ว ที่มาในครั้งนี้เพราะได้ยินข่าวลือในนิกายเรื่องหนึ่ง คิดว่าศิษย์น้องเจียหลานก็คงจะสนใจเช่นกัน” หลงเหยียนเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
“อ๋อ! ช่วงนี้ศิษย์น้องเก็บตัวอยู่ช่วงหนึ่ง ไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในนิกาย?” เจียหลานขมวดคิ้วกล่าว
“ศิษย์น้องเจียหลานเคยได้ยินไหมว่า ศิษย์น้องหลิ่วกลับนิกายมาได้ช่วงหนึ่งแล้ว ทั้งยังถูกประมุขเลือกให้เข้าร่วมงานประตูสวรรค์ในครั้งนี้ด้วย” หลงเฟยเหยียนปราดตามองเจียหลานทีหนึ่ง หลังจากจิบชาหอมกรุ่นแล้ว ก็กล่าวอย่างไม่รีบร้อน
“หรือว่า…ศิษย์พี่หลงหมายถึงหลิ่วหมิงหรือ?” เจียหลานได้ยินก็เผยแววตาประหลาดใจออกมา
“นอกจากศิษย์น้องหลิ่วหมิงผู้นี้แล้ว ยังจะมีใครอีก? หลายปีมานี้ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กนี่ไปแอบฝึกฝนอยู่ที่ใดกัน หนึ่งเดือนก่อนที่เพิ่งกลับมานิกาย ข้าเองก็บังเอิญได้ยินศิษย์ในยอดเขาหลายคนพูดถึงเรื่องนี้ ว่ากันว่าถูกศิษย์น้องซาทงเทียนพบโดยบังเอิญ จึงเกิดการท้าประลองในทันที หลังจากทั้งสองแลกมือกัน ศิษย์น้องซาก็พ่ายแพ้อย่างน่าอนาถ ดูเหมือนว่าหลายปีมานี้พลังของศิษย์น้องหลิ่วจะก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ว่ากันว่าได้บรรลุระดับผลึกขั้นปลายแล้ว” หลงเหยียนเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“แม้ว่าในนิกายจะเล่าลือกันว่าศิษย์พี่หลิ่วมีคุณสมบัติไม่ดี แต่ตอนที่เป็นศิษย์สายนอกก็สามารถกดดันสาขาทั้งแปดได้ ตอนนี้มีการฝึกฝนระดับนี้ ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใด สิ่งนี้ทำให้ข้าที่เข้านิกายมาพร้อมกับศิษย์พี่หลิ่ว รู้สึกละอายใจยิ่งนัก” เจียหลานเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นถึงตอบกลับด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“ศิษย์น้องเจียหลาน เจ้าเข้านิกายช้าเกินไป ดังนั้นงานประตูสวรรค์ในครั้งนี้ถึงไม่มีชื่อของเจ้า แต่ว่าด้วยวิชามายาสวรรค์ของเจ้า วันหน้าจะต้องโดดเด่นในแผ่นดินจงเทียนอย่างแน่นอน!” หลงเหยียนเฟยกะพริบตา และเริ่มพูดปลอบใจไปสองประโยค
“ศิษย์พี่เข้าใจผิดแล้ว พลังของศิษย์น้องเปราะบาง ไหนเลยจะกล้าเปรียบเทียบศิษย์พี่คนอื่นๆ ในนิกาย” เจียหลานหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวออกมา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ แต่จะว่าไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าศิษย์น้องเจียหลานจะประเมินค่าศิษย์น้องหลิ่วหมิงสูงเช่นนี้ จะว่าไปเจ้าเด็กนี่ก็บรรลุระดับเร็วมาก ภายในระยะเวลาสั้นๆ ก็เข้าสู่ระดับผลึกขั้นปลายแล้ว เป็นเรื่องที่พบเจอได้ยาก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การที่ศิษย์หลิ่วเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ ยังเป็นเรื่องที่ฝืนไปหน่อย อย่างที่รู้ว่า ผู้เข้าร่วมงานประตูสวรรค์นั้นแข็งแกร่งมาก ศิษย์ที่แต่ละสำนักแต่ละนิกายส่งมา ล้วนเป็นผู้ที่โดดเด่นในนิกาย ดูเหมือนต่างก็มีพลังเหนือกว่าระดับเดียวกัน แม้กระทั่งอาจมีศิษย์ระดับแก่นเสมือนปรากฏอยู่ไม่น้อย!” หลงเหยียนเฟยถอนหายใจและกล่าวออกมา
นางย่อมมีสิทธิ์พูดเช่นนี้ ก่อนหน้านั้นไม่นานนางได้บรรลุระดับแก่นเสมือนแล้ว มีพลังในการต่อสู้กับระดับแก่นแท้ขั้นต้นโดยทั่วไปได้
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ จากการคาดการณ์จากงานประตูสวรรค์ที่ผ่านมา พลังของนางในงานประตูสวรรค์ก็อยู่ในระดับกลางถึงสูงเท่านั้น ไม่อาจเทียบกับผู้มีพรสวรรค์แท้จริงเหล่านั้นได้
“ศิษย์พี่หลงไม่มีความเชื่อมั่นศิษย์พี่หลิ่วเลย ศิษย์น้องกลับคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่จะทำให้คนในงานประตูสวรรค์จำนวนมากรู้สึกตกใจได้ ไม่แน่อาจจะเข้าสู่สิบอันดับแรกก็เป็นไปได้” เจียหลานกล่าวด้วยสีหน้าสงบ แต่มีความหนักแน่นในน้ำเสียง
“สิบอันดับแรก?” หลงเหยียนเฟยเบิกตาค้าง จนเกือบจะพ่นชาที่ดื่มเข้าไปออกมา
“หากศิษย์พี่หลงไม่เชื่อ ก็ลองเดิมพันกับศิษย์น้องได้ ถ้าศิษย์พี่หลิ่วได้สิบอันดับแรกในงานประตูสวรรค์จริงๆ ศิษย์พี่ก็แค่รับปากศิษย์น้องเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งก็พอ แต่หากศิษย์น้องแพ้ล่ะก็ จะมอบสร้อยข้อมือทางช้างเผือกนี้ให้กับศิษย์พี่!” เจียหลานหัวเราะเบาๆ และนำสร้อยข้อมือสีเงินแวววาวออกมาหนึ่งเส้น มันดูคล้ายกับทางช้างเผือกย่อส่วน และยังเปล่งแสงแวววับจับตา แค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดทั่วไป
“เอาล่ะ! ข้าตกลงเดิมพันในครั้งนี้ ข้าเป็นศิษย์พี่ย่อมไม่อาจเอาเปรียบเจ้าได้ หากเจ้าชนะ ศิษย์พี่ไม่เพียงแต่รับปากเจ้าหนึ่งเรื่อง ทั้งยังจะมอบกำไลตั๊กแตนหยกให้เจ้าด้วย” หลงเหยียนเฟยขยับกำไลหยกสีขาวบนข้อมือแล้วกล่าวออกมา
เจียหลานได้ยินก็เผยรอยยิ้มพราว แต่กลับไม่พูดอะไรออกมา
“ไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าถึงเชื่อมั่นศิษย์น้องหลิ่วเช่นนี้ ได้ยินมาว่าศิษย์น้องหลิ่วกับศิษย์น้องเจียหลานมาจากสถานที่เดียวกัน พวกเจ้าทั้งคงไม่ได้มีความสัมพันธ์อื่นกันหรอกนะ” เจียหลานยิ้มแต่ไม่พูดอะไรออกมา คิดไม่ถึงว่าหลงเหยียนเฟยจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงชวนหัวเราะ
นางย่อมมองออกว่าเมื่อครู่เจียหลานกำลังแหย่นางอยู่ แต่ว่านางไม่ได้ถือหางหลิ่งหมิงเลยจริงๆ
“ศิษย์พี่พูดเหลวไหลแล้ว!” เจียหลานได้ยินก็หน้าแดงเล็กน้อย
“เอาล่ะ! เอาล่ะ! ไม่ล้อเจ้าเล่นแล้ว! แต่จะว่าไปแล้ว งานประตูสวรรค์ในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นศิษย์น้องหลิ่วหรือข้า ก็ล้วนเป็นแต่ผู้โดดเด่นธรรมดาเท่านั้น” หลงเหยียนเฟยเปลี่ยนหัวข้อสนทนาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“อ๋อ! ศิษย์พี่หมายถึง…”
“ยอดเขาสวรรค์ลี้ลับที่เป็นยอดเขาอันดับหนึ่งในนิกาย หลายปีก่อนได้ปรากฏตัวผู้มากพรสวรรค์ที่มีชื่อว่า ‘หลัวเทียนเฉิง’ มีร่างจิตวิญญาณตูเทียนในตำนาน ว่ากันว่ามีอานุภาพอันน่าหวาดกลัวมาก ตอนนี้คนผู้นี้เพิ่งจะบรรลุระดับผลึกขั้นต้น ได้ยินมาว่าเคยแลกมือกับผู้ฝึกฝนสายปีศาจระดับแก่นแท้มาก่อน ผลลัพธ์คือทั้งคู่เสมอกัน ตอนนี้เขาถูกผู้อาวุโสหลายคนในนิกายให้ความสำคัญ และระบุเป็นที่แน่นอนว่าจะให้เป็นศิษย์ลับแล้ว และก็เป็นศิษย์ที่เพิ่งพาได้มากที่สุดในการเข้าร่วมงานประตูสวรรค์” หลงเหยียนเฟยกล่าวด้วยสีหน้าหนักแน่น
“หลัวเทียนเฉิง!”
เจียหลานฟังจบ ก็ไม่ได้พูดต่อแต่อย่างใด แต่แววตาของนางเปล่งประกายผิดปกติอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่ากำลังคิดใคร่ครวญเรื่องอะไรอยู่
……
ขณะเดียวกัน ภายในถ้ำบางแห่งบนเทือกเขาหมื่นวิญญาณ
ภายในถ้ำที่พักเป็นสีแดงไปทั้งแถบ มีเปลวไฟสีแดงพวยพุ่งอยู่ทุกหนแห่ง ปรานจิตวิญญาณอัคคีก่อตัวเป็นมังกรไฟ และอสรพิษไฟ พวกมันต่างก็ส่งเสียงคำรามอยู่กลางอากาศอย่างต่อเนื่อง แม้แต่พื้นและผนังต่างก็มีแนวโน้มที่จะละลายขึ้นมา ห่างออกไปค่อนข้างไกล ยังรู้สึกได้ถึงคลื่นลมร้อนที่พัดเข้ามาปะทะหน้า
ภายในห้องลับที่อยู่ส่วนลึกของถ้ำที่พัก ชายหนุ่มผมแดง สวมชุดสีแดงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะที่ดูคล้ายกับกองไฟ เสียงหายใจของเขาดังเป็นอย่างมาก ทำให้เปลวไฟโดยรอบเกิดการแปรปรวนขึ้นมา
ทันใดนั้น มีเสียงดังหวึ่งๆ บนเอวของคนผู้นี้ ชายหนุ่มผมแดงขมวดคิ้วขึ้นมาทันที เขาพลิกฝ่ามือนำแผ่นค่ายกลออกมา ส่วนมืออีกข้างก็ปล่อยพลังเข้าไปในนั้น
ครู่ต่อมา แสงแวววาวก็หมุนวนอยู่บนแผ่นค่ายกล อักขระเล็กๆ ปรากฏออกมาแถวหนึ่ง พอชายผมแดงกวาดสายตามองดูแล้ว สีหน้าของเขาก็ดูเยือกเย็นขึ้นมาทันที
“หลิ่วหมิง…” ชายผมแดงพูดพึมพำออกมาหนึ่งที หลังจากส่งเสียงหัวเราะอย่างเยือกเย็นแล้ว ก็เงียบลงไปอย่างรวดเร็ว
ฉากเดียวกัน ได้เกิดขึ้นบนยอดเขาลูกอื่นๆ เพียงแต่ว่าบางคนก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา บ้างก็ค่อนข้างรู้สึกตื่นตระหนกมาก บ้างก็รู้สึกโกรธแค้น…
ภายในห้องว่างเปล่าลึกลับแห่งหนึ่งในนิกายยอดบริสุทธิ์ ท้องฟ้าสีครามเต็มไปด้วยชั้นเมฆสีเทาที่เคลื่อนไหวเล็กน้อย ซึ่งมองไม่เห็นดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เลย แต่กลับมีแสงสาดส่องลงมาจากช่องว่างในก้อนเมฆ
ใต้ท้องฟ้าเป็นผิวน้ำนิ่งสงบที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ใจกลางผิวน้ำมีเกาะรูปพระจันทร์เสี้ยวอยู่แห่งหนึ่ง
ภายในศาลาที่ตั้งอยู่บนเกาะอย่างโดดเดี่ยว ชายหนุ่มสวมชุดผ้าแพรสีทองกับชายวัยกลางคนชุดสีเหลืองที่มีมงกุฎหยกติดอยู่บนศีรษะ กำลังนั่งเผชิญหน้ากันอยู่ ซึ่งโต๊ะที่อยู่ตรงกลางก็มีกระดานหมากสีดำวางอยู่ด้วย
ชายชุดคลุมสีทองมีใบหน้าหล่อเหลา แม้ว่าจะมีการฝึกฝนแค่ระดับแก่นแท้ขั้นต้น แต่กลิ่นไอที่แผ่ออกมาจากตัวก็ดูทรงพลังมาก หากหลิ่วหมิงอยู่ที่นี่ด้วย จะต้องจำได้ว่าเขาคือจินเทียนชื่อที่มีวาสนาพบเจอกับเขาอยู่หลายครั้ง
และชายวัยกลางคนสวมมุงกฎหยกที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ดูสง่างามและน่าเกรงขาม เขาก็คือเทียนเกอเจินเหริน ประมุขนิกายยอดบริสุทธิ์ที่หลิ่วหมิงเคยเจอบนยอดเขาลั่วโยวนั่นเอง
“จะว่าไปแล้ว ที่ผ่านมาเจ้าไม่เคยสนใจเรื่องแบบมาก่อนมิใช่หรือ? เหตุใดครั้งนี้ถึงตั้งใจออกหน้าให้ศิษย์ของยอดเขาลั่วโยวผู้นั้นเข้าร่วมงานประตูสวรรค์? ข้าได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับหลิ่วหมิงผู้นั้นแล้ว แต่ก่อนตอนที่เป็นศิษย์สายนอกนั้น ก็มีชื่อเสียงอยู่บ้าง ในการประลองใหญ่ของศิษย์สายนอก ยังเคยแลกมือกับเจ้าหนึ่งครั้ง แต่นี้คงไม่ใช่เหตุผลที่เจ้าแนะนำเขาหรอกนะ” เทียนเกอเจินเหรินค่อยๆ วางหมากลงบนกระดาน และมองดูจินเทียนชื่อที่นั่งนิ่งเป็นภูเขา จากนั้นค่อยๆ ถามออกมา
จินเทียนชื่อคีบหมากสีขาวด้วยสีหน้าจดจ่ออยู่ และค่อยๆ วางลง จากนั้นก็แหงนหน้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “การประลองจิตวิญญาณในวันนั้น ข้ารู้สึกถึงอกถึงใจมาก”
เทียนเกอเจินเหรินเผยสีหน้าเหนื่อยหน่ายออกมา และกล่าวต่อ “เรื่องนี้ข้าเคยได้ยินคนพูดถึงมาก่อน จะว่าไปแล้ว เหตุใดเจ้าถึงวิ่งไปเข้าร่วมงานประลองใหญ่ของศิษย์สายนอกในครั้งนั้น?”
จินเทียนชื่อเอามือแตะคางทำราวกับไม่ได้ยิน สายตายังคงจดจ่ออยู่กับกระดานหมาก
เทียนเกอเจินเหรินถอนหายใจ และหยิบหมากสีดำวางลงอีกด้านหนึ่ง และกล่าวต่อ “หลังจากหลิ่วหมิงผู้นั้นบรรลุระดับผลึกขั้นปลายแล้ว ก็ยังไม่ได้ทำอะไรที่น่าทึ่ง หลายปีมานี้ก็แอบฝึกฝนอยู่นอกนิกาย สามารถพูดได้ว่าไม่ได้มีชื่อเสียงในบรรดาศิษย์สายในเลยแม้แต่น้อย”
“แม้จะบอกว่านิกายเรามีความขาดแคลนเล็กน้อย แต่ว่าผู้ที่มีอายุน้อยกว่าหนึ่งร้อยปี และผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ลงไปก็มีไม่น้อย ในนั้นมีผู้ที่มีการต่อสู้อันน่าตกใจมากมาย แม้กระทั่งผู้ที่เคยทำเรื่องบางอย่างที่สร้างความตกใจให้กับคนในนิกาย ข้าก็ได้ทดสอบไปหมดแล้วในก่อนหน้า ดูจากการฝึกฝนของเขาแล้ว มันอยู่ที่ระดับผลึกขั้นปลายจริงๆ แม้ว่าพลังเวทจะบริสุทธิ์มาก ซึ่งไม่เหมือนกับการบรรลุระดับที่อาศัยการฉวยโอกาสตามที่เล่าลือแต่อย่างใด แต่หากคิดที่จะช่วงชิงผลประโยชน์ในงานประตูสวรรค์ให้นิกายอย่างเพียงพอ เกรงว่าคงยังมีพลังไม่ถึง?”
“ท่านประมุขคิดมากไปแล้ว ข้าก็แค่ไม่รู้สึกขัดหูขัดตาเขา ก็เลยแนะนำกับท่านเท่านั้น” จินเทียนชื่อหาวและกล่าวออกมา หลังจากนั้นก็วางหมากลงบนกระดานอีกเม็ด
“ในเมื่อเจ้าไม่อยากพูด ก็ช่างเถอะ! แต่ว่าในบรรดาศิษย์ที่เดิมทีถูกคาดหวังว่าจะได้รับคัดเลือก หากรู้ว่ามีคนที่ไม่มีชื่อเสียงมาครอบครองตำแหน่งสำคัญไปเช่นนี้ ย่อมรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เป็นเพราะข้อเสนอของเจ้า ข้าถึงระงับไว้ได้ แต่หากศิษย์เหล่านี้ไปหาเรื่องเจ้าเด็กนี่ ให้เขาละทิ้งการเข้าร่วมงานครั้งนี้ไปล่ะก็ ข้าก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปแทรกแซงแล้ว” พอเทียนเกอเจินเหรินกล่าวมาถึงจุดนี้ ก็ละสายตาลงบนตัวของจินเทียนชื่อ
“เช่นนี้ก็ดี หากใครไม่ยอมรับ ก็ไปหาหลิ่วหมิงเพื่อทำการประลองก็พอ เดิมทีนิกายเราก็อาศัยพลังในการพูดคุยกัน หากสามารถโจมตีหลิ่วหมิงจนพ่ายแพ้ได้ ก็เปลี่ยนจากหลิ่วหมิงเป็นพวกเขาไปเข้าร่วมงานประตูสวรรค์แทน ซึ่งเรื่องราวควรจะเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว!” จินเทียนชื่อได้ยินกลับหัวเราะออกมา ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจในเรื่องนี้เลย
แม้ว่าเทียนเกอเจินเหรินจะรู้สึกหมดคำพูดเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ของจินเทียนชื่อ แต่ก็ไม่อาจพูดอะไรมากได้ ทันใดนั้นเขาจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาพูดคุยเล่นไปด้วย และเล่นหมากไปด้วย
สามเดือนต่อมา ห้องลับภายในถ้ำที่พักบนยอดเขาลั่วโยว
หลิ่วหมิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นมีสีหน้าเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก มือทั้งสองทำท่ามืออยู่ไม่หยุด ไอสีขาวสลัวๆ ที่หมุนวนอยู่ค่อยๆ จางลง และถูกแทนที่ด้วยหมอกขาวเป็นเส้นๆ ที่พุ่งไปรวมตัวกับยันต์พลังผ้าเหลือง
………………………………