ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 754 ยั่วยุถึงที่
ตอนที่ 754 ยั่วยุถึงที่
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากดูดปราณจิตวิญญาณเข้าไปจำนวนมากเช่นนี้ ยันต์พลังผ้าเหลืองที่มีขนาดเท่าฝ่ามือก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้นมา หลังจากยืดตัวให้สูงเท่าคนหนึ่งคนแล้ว ถึงหยุดขยายตัวลง และลอยอยู่กลางอากาศ
หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็มีอารมณ์ฮึกเหิมขึ้นมา และอ้าปากพ่นพลังเวทบริสุทธิ์ใส่ยันต์นักรบพลังผ้าเหลือง
ยันต์นักรบพลังผ้าเหลืองเปล่งแสงสีทองอร่าม เงาร่างมนุษย์สลัวๆ เงาหนึ่งค่อยๆ ปรากฏออกมา
“เร็ว!” หลิ่วหมิงเพ่งตามอง และปล่อยพลังลึกลับลงบนยันต์สีทองอร่าม แสงสีเขียวถูกห่อหุ้มอยู่ในนั้นอย่างลางๆ จากนั้นก็กะพริบหายเข้าไประหว่างคิ้วของเงาร่างมนุษย์
เงาร่างมนุษย์สั่นสะท้านอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นแสงสีทองเจิดจ้าก็เปล่งประกายในฉับพลัน หลังจากแสงสีทองดับลง ใบหน้าที่ดูพร่ามัวก็สั่นสะท้านสองสามที จากนั้นก็เผยนิสัยของมนุษย์ออกมา
หลิ่วหมิงมองดูและปล่อยพลังลึกลับออกไปอีกหลายสาย
ผลลัพธ์คือพอเงาร่างมนุษย์ดูดซับพลังไปแล้ว ร่างก็ดูชัดเจนขึ้นมา เมื่อหลิ่วหมิงหยุดปล่อยพลังออกมานั้น เงาร่างก็กลายเป็นกึ่งโปร่งแสง และใบหน้าก็มีส่วนคล้ายกับหลิ่วหมิงแปดเก้าส่วน เพียงแต่ว่ามันหลับตาทั้งคู่ และยืนนิ่งอยู่กลางอากาศ ผิวเป็นสีทองอร่ามทั้งตัว แลดูเหมือนจริงเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็เผยแววตาดีใจออกมา เขาเดินวนดูร่างแบ่งของยันต์พลังผ้าเหลืองไปหนึ่งรอบ หลังจากครุ่นคิดอย่างรวดเร็วแล้ว ก็ปล่อยพลังใส่เข้าไปบนตัวนักรบยันต์พลังผ้าเหลือง
ครู่ต่อมา แสงสีทองก็เปล่งประกายบนตัวนักรบยันต์พลังผ้าเหลือง มันลืมตาทั้งคู่ขึ้นมาทันที ใบหน้าเย็นยะเยือก ไร้ซึ่งความรู้สึก เพียงแต่ว่าในส่วนลึกของแววตามีพลังจิตวิญญาณปรากฏอยู่รำไร
หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่ลง รู้สึกถึงภาพลวงตาอยู่ลางๆ นักรบยันต์ผ้าเหลืองในตอนนี้ ดูเหมือนจะเชื่อมผนึกกับตัวเองอย่างแปลกประหลาด
ภายใต้การคิดพิจารณาเล็กน้อย เขาก็กระตุ้นพลังนักรบพลังผ้าเหลืองตามที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ทันที
ร่างแบ่งพลังผ้าเหลืองทำเสียงฮึดฮัดทันที มือเท้าพร่ามัวอยู่ครู่หนึ่ง กำปั้นทั้งคู่ชกผ่านอากาศไปทางผนังถ้ำ
ท่ามกลางไอดำที่แผ่กระจาย มีเสียงมังกรร้องพยัคคำรามดังอยู่ไม่หยุด มังกรหมอกตัวห้าตัวกับพยัคฆ์หมอกดำห้าตัวก่อตัวขึ้นมาจากแขนทั้งสองข้างของนักรบยันต์พลังผ้าเหลืองอย่างรวดเร็ว และพุ่งใส่ผนังถ้ำพร้อมกัน
“โครมคราม!”
ผนังถ้ำอันแข็งแกร่งสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ภายใต้ไอดำอันพวยพุ่ง มีก้อนหินและเศษทรายร่วงลงมาราวกับแผ่นดินไหว
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย พอเอามือข้างหนึ่งแตะระหว่างคิ้ว กระบี่เล็กสีทองจางๆ เล่มหนึ่งก็ปรากฏออกมา พอสั่นไหวตามลม มันก็กลายเป็นกระบี่ที่ยาวสองฉื่อแปดชุ่นและหมุนอยู่กลางอากาศ มันแผ่แสงสีทองจางๆ ออกมา
หลิ่วหมิงดูดกระบี่บินเข้ามาในมือ และแทงกระบี่ออกไปอย่างไม่ใส่ใจ “ฟิ้ว!” แสงกระบี่ลำหนึ่งพุ่งยิงออกมา และยิงใส่คอหอยของร่างแบ่งพลังผ้าเหลารวดเร็วดุจสายฟ้า
ตอนที่หลิ่วหมิงลงมือนั้น ไม่มีลางบอกเหตุเลยแม้แต่น้อย พอร่างแบ่งพลังผ้าเหลืองเผชิญหน้ากับกระบี่อย่างไม่ทันได้ตั้งตัวเช่นนี้ กลับหดหัวกลับไปด้านหลัง “ตุ๊บๆ!” และร่นถอยไปหลายก้าว พริบตาเดียวก็หลบกระบี่ที่จ่อคอหอยนี้ได้ ขณะเดียวกันพอแสงสีทองเปล่งประกายบนแขน แขนทั้งท่อนก็กลายเป็นโล่สีทองต้านทานแสงกระบี่ตรงหน้าไว้
“ฟิ้ว!”
ภายใต้การเปล่งประกายของแสงกระบี่ ทำให้โล่สีทองกลายเป็นสองส่วนอย่างรวดเร็ว
โล่นี้สร้างขึ้นมาจากพลังเวท ย่อมต้านทานความแหลมคมของกระบี่ว่างเปล่าไม่ได้ ร่างแบ่งยันต์พลังผ้าเหลืองถือโอกาสนี้เคลื่อนไหวออกไปหนึ่งจั้งกว่าๆ
“เต๊ง!” โล่ที่ถูกฟันขาดครึ่งหนึ่งเพิ่งจะร่วงลงถึงพื้น
“ไม่เลว มีพลังของข้าอยู่บ้างจริงๆ ปฏิกิริยาตอบสนองก็รวดเร็วมาก!” หลิ่วหมิงหัวเราะฮ่าๆ และไม่ได้ไล่โจมตีต่อ แสงสีทองเปล่งประกายบนมือเล็กน้อย และกระบี่บินว่างเปล่าก็ถูกเก็บเข้าไป
ร่างแบ่งยันต์พลังผ้าเหลืองโค้งตัวให้หลิ่วหมิงเล็กน้อย โล่ครึ่งหนึ่งที่อยู่บนพื้นเปล่งแสงประกาย และกลายเป็นแสงสีทองลำหนึ่ง จากนั้นก็กะพริบหายไปบนแขนซ้าย
ดูเหมือนว่าของเหลวสีทองในร่างจะขยับตัวขยุกขยิกอยู่ครู่หนึ่ง และกลับกลายเป็นแขนข้างที่มีสภาพสมบูรณ์อีกครั้ง
หลิ่งหมิงเห็นฉากเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ตอนนี้เขาเผยสีหน้าดีใจออกมาจริงๆ แล้ว
จะว่าไปแล้วในระหว่างที่ทำการปรับแต่ง ร่างแบ่งนี้ เขาได้ทำตามบันทึกในคัมภีร์ โดยใส่วัสดุล้ำค่าในหนวนฮวงที่มีชื่อเรียกว่า เรียกว่า ‘ทรายคุนจิน’ เข้าไปด้วย ทำให้ร่างกายสามารถเปลี่ยนแปลงได้ดั่งใจราวกับของเหลว
และตามการคาดการณ์ของเขา ร่างแบ่งพลังผ้าเหลืองนี้ จะมีพลังเวทของเขาราวๆ หกส่วน นี่เพิ่งปรับแต่งเสร็จเท่านั้น จิตส่วนหนึ่งที่ใส่เข้าไปในร่างแบ่งยังไม่สามารถควบคุมร่างกายได้โดยสมบูรณ์ รอเวลาผ่านไปนานเข้า พลังการต่อสู้คงจะถูกยกระดับขึ้นมาไม่น้อย
แน่นอนว่าร่างแบ่งยันต์พลังผ้าเหลืองไม่อาจสืบทอดความแข็งแกร่งของกายเนื้อของร่างจริง และพลังของกระบี่บินว่างเปล่ารวมไปถึงพลังของสมบัติติดตัวชิ้นอื่นๆ ได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มันก็เพียงพอที่จะทำให้เขารู้สึกรอคอยขึ้นมาแล้ว
หลิ่วหมิงระงับความดีใจไว้ พองอนิ้วชี้ออกไป นักรบยันต์พลังผ้าเหลืองก็กลายเป็นยันต์พลังผ้าเหลือง และถูกเขาเก็บเข้าไปในร่าง
การปรับแต่งร่างแบ่งในครั้งนี้ ทำให้เขาสูญเสียพลังไปไม่น้อย โดยเฉพาะวิธีการปรับแต่งจำเป็นต้องแบ่งวิญญาณออกมาส่วนหนึ่ง แม้ว่าเขาจะมีหนอนพลังจิตคอยช่วย แต่ก็รู้สึกแบกรับไม่ไหวเช่นกัน
เวลาต่อมา เขานั่งขัดสมาธิลงพื้นทันที และเริ่มเก็บตัวเข้าฌาน เพื่อเตรียมฟื้นฟูพลังที่สูญเสียไป
สองเดือนต่อมา ประตูห้องลับที่ปิดสนิทมานานถูกเปิดออกในฉับพลัน หลิ่วหมิงค่อยๆ เดินออกมาจากในนั้น
หลังจากเข้าฌานฟื้นฟูพลังไปรอบหนึ่งแล้ว พลังของเขาก็ฟื้นฟูกลับมาในที่สุด ทันใดนั้นเขาคิดจะไปที่วิหารลี้ลับ เพื่อตรวจสอบดูข่าวคราวเกี่ยวกับอสูรว่างเปล่า
เขาทักทายหญิงสาวกับเด็กชายทีหนึ่ง หลังจากนำทั้งสองเข้าไปในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณแล้ว ก็เดินตรงไปที่ประตูใหญ่ทันที
พอหลิ่วหมิงออกจากถ้ำที่พัก และกำลังจะทะยานขึ้นฟ้านั้น เขาก็ต้องหันไปมองท้องฟ้าอีกด้านด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที
ผ่านไปสักพัก ลำแสงก็เปล่งประกายตรงขอบฟ้า มีแสงหลบหลีกสองลำพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หรี่ตาทั้งคู่ลงทันที ดูจากทิศทางแล้วแสงหลบหลีกนี้กำลังพุ่งมายังถ้ำที่พักของเขา
“ฟิ้วๆ!”
แสงหลบหลีกสองลำร่วงลงราวกับฝนดาวตก ซึ่งห่างจากด้านหน้าหลิ่วหมิงไปหลายจั้ง ทำให้เกิดกระแสอากาศสั่นสะเทือนอยู่ครู่หนึ่ง และร่างของชายหนุ่มสองคนก็ปรากฏออกมา
คนที่อยู่ด้านหน้าสวมชุดคลุมยาวสีแดงเพลิง อายุราวๆ ยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี ใบหน้าหล่อเหลา มีแสงสีแดงพุ่งออกมาระหว่างคิ้วอยู่รำไร ทำให้รู้สึกราวกับเป็นภาพลวงตาว่า ที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ใช่มนุษย์คนหนึ่ง แต่เป็นลูกไฟที่ร้อนแรงหนึ่งลูก
แม้ว่าชายอีกคนจะมีรูปร่างผอมสูง แต่ว่าบนตัวล้วนเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ซึ่งดูราวกับเหล็กดำ ดูเหมือนว่าจะมีพลังระเบิดที่รุนแรงแฝงอยู่ในนั้น
“ศิษย์พี่ทั้งสองคือ?” หลิ่วหมิงมองดูผู้ที่ไม่ได้มาดีทั้งสองด้วยสีหน้าปกติ และค่อยถามๆ ออกมา
“ข้าคือกู่อวี้จากยอดเขาเฉาหยวนเฟิง ด้านข้างนี้คือซือหม่าชงจากยอดเขาแสงทองคำ” ชายชุดแดงสังเกตดูหลิ่วหมิงสองที และหัวเราะก่อนกล่าวออกมา
ซือหม่าชง ชายที่สวมชุดดำก็จ้องตาหลิ่วหมิงด้วยสายตาที่ดูราวกับคมดาบ และไม่ได้พูดอะไรออกมา
“อ๋อ! ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่กู่กับศิษย์พี่ซือหม่า ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว! ท่านทั้งสองมาหาข้าน้อยถึงที่ มิทราบว่ามีอะไรจะชี้แนะ?” หลิ่วหมิงทำราวกับมองไม่เห็นสายตาของทั้งสอง ยังคงถามออกไปอย่างสงบ
“เจ้าก็คือหลิ่วหมิงแห่งยอดเขาลั่วโยวหรือ?” ในที่สุดซือหม่าชงก็เผยรอยยิ้มวออกมาอย่างเยือกเย็น
“คือข้าน้อยเอง” หลิ่วหมิงตอบกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ดีมาก! ไม่ทำให้ข้ารอเสียเวลาเปล่า พวกข้าทั้งสองมาหาเจ้าเพราะจะบอกกับเจ้าว่า มอบสิทธิ์ในการเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ในครั้งนี้มาซะ” ซือหม่าชงพูดออกมาอย่างเยือกเย็น
หลิ่งหมิงได้ยินก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย แต่ก็ค่อยๆ ยกมุมปากขึ้นมา และใช้สายตาแปลกประหลาดสังเกตดูทั้งสองใหม่อีกครั้ง
“ทำไมล่ะ! ยังต้องให้ข้าพูดใหม่อีกรอบหรือ? เรื่องใหญ่อย่างงานประตูสวรรค์นี้ ด้วยระดับการฝึกฝนของเจ้า ถึงไปก็ไร้ประโยชน์ และงานประตูสวรรค์เกี่ยวพันถึงความเจริญรุ่งเรืองและเสื่อมโทรมของนิกายเราในหลายร้อยปีหน้า ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะสามารถรับผิดชอบได้ ทางที่ดีศิษย์น้องไปพูดกับอินจิ่วหลิงผู้ควบคุมยอดเขาสักหน่อย และยอมถอนตัวออกไปซะ” พอเห็นหลิ่วหมิงมีท่าทีเช่นนี้ กู่อวี้กลับทำเสียงฮึดฮัด และกล่าวออกมา
หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกอยากขำเล็กน้อย!
จากความเข้าใจงานประตูสวรรค์ของเขา เขาก็คาดเดาได้ตั้งนานแล้วว่าอาจจะมีคนรู้สึกไม่พอใจที่เขาเข้าร่วมงานใหญ่ในครั้งนี้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะมีคนมาหาถึงถ้ำที่พัก และให้เขามอบสิทธิ์ในการเข้างานประตูสวรรค์ให้ด้วย
พอนึกถึงจุดนี้ หลิ่วหมิงก็กล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
“เกรงว่าคงจะต้องทำให้ศิษย์พี่ทั้งสองผิดหวังแล้ว การเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ของข้าน้อยในครั้งนี้ ท่านประมุขเป็นคนกำหนดเอง ข้าน้อยไม่อาจถอนตัวเองได้ หากศิษย์พี่ทั้งสองไม่มีธุระอื่นแล้ว เชิญกลับไปเถอะ! ข้าน้อยยังมีเรื่องสำคัญบางอย่าง ต้องขอลาก่อนแล้ว” หลิ่วหมิงประสานมือคารวะเล็กน้อย จากนั้นก็เดินผ่านด้านข้างของทั้งสองไป
กู่อวี้กับซือหม่าชงได้ยินเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก
“หยุดนะ! ยังพูดไม่ทันจบก็คิดจะไปแล้ว! และอย่าคิดที่จะเอานิกายมาข่มขู่พวกเรา แต่ไหนแต่ไรมานิกายยอดบริสุทธิ์ล้วนใช้พลังในการพูดจา เพียงแค่โจมตีเจ้าจนคลานอยู่บนพื้น ข้าไม่เชื่อว่าทางนิกายจะยังให้เจ้าไปเข้าร่วมงานประตูสวรรค์อีก ข้าจะพูดแค่ประโยคเดียว จะมอบสิทธิ์ของเจ้าออกมาหรือไม่!” ชายชุดแดงหัวเราะอย่างเยือกเย็น พอร่างของเขาเคลื่อนไหว ก็มาขวางอยู่ด้านหน้าของหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะพูดอะไรออกมานั้น ชาวชุดแดงกลับพุ่งขึ้นฟ้า พอทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง อักขระแปลกประหลาดที่ดูราวกับโลหิตก็ปรากฏออกมาบนหน้าผาก เปลวไฟบนตัวคุโชนอย่างรุนแรง ไอร้อนแผ่ออกมา อากาศบริเวณรอบๆ ก็เริ่มมีลายคลื่นสีแดงจางๆ ปรากฏออกมา
เกิดเสียงโครมครามรอบด้าน คลื่นอัคคีอันร้อนแรงก่อตัวขึ้นมา ครู่เดียวก็กลายเป็นเมฆอัคคียักษ์ปกคลุมพื้นที่ในระยะสิบกว่าจั้ง และร่างของกู่อวี้ก็จมหายเข้าไปในนั้น ขณะเดียวกันกลิ่นไออันน่าตกใจก็พุ่งลงจากฟ้า และพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงอย่างบ้าคลั่ง
“ร่างสุริยาแผดเผา มิน่าล่ะถึงได้หยิ่งผยองเช่นนี้” หลิ่วหมิงแหงนหน้าหรี่ตาทั้งคู่ลง และพยักหน้าเล็กน้อย เขายังยืนอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน ดูเหมือนเขาจะรู้สึกเฉยๆต่อแรงกดดันจิตวิญญาณอันน่าตกใจที่กู่อวี้แผ่ออกมา
กู่อวี้ที่อยู่กลางอากาศเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกโมโหมาก เขาส่งเสียงคำรามออกมาทันที นิ้วทั้งสิบปล่อยลำแสงสีแดงใส่เมฆอัคคีติดต่อกัน
ภายใต้สถานการณ์ที่มีปราณจิตวิญญาณเปลวไฟกระพือฮือโหมอย่างต่อเนื่อง เมฆอัคคีก็ขยายตัวอย่างบ้าคลั่งจนมีขนาดหนึ่งหมู่กว่าๆ สีของมันก็เปลี่ยนจากสีส้มจนกลายเป็นสีแดงเข้ม แสงสีขาวบริสุทธิ์เปล่งประกายเจิดจ้าตรงขอบ
เกิดเสียงฟ้าผ่าฟ้าร้องดังขึ้นมา!
เมฆอัคคีพวยพุ่งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นอสรพิษเพลิงตัวหนึ่งก็พุ่งออกมาจากในนั้น
อสรพิษยักษ์ยาวสามสิบกว่าจั้ง มีเกล็ดสีแดงเข้มปกคลุมทั้งตัว มีเปลวไฟเผาไหม้อยู่บนนั้น บนหัวมีเขาปะการังอยู่หนึ่งคู่ ดวงตาทั้งคู่ดูราวกับมีเปลวไฟเผาไหม้อยู่ และดูโหดเหี้ยมเป็นอย่างมาก
ซือหม่าชงเห็นเช่นนี้ ก็ร่นถอยออกไปไกลๆ อย่างรวดเร็ว สายตาที่มองดูหลิ่วหมิงก็เต็มไปด้วยความเยือกเย็น
เขารู้ดีว่าเคล็ดวิชาของกูอวี้แตกต่างจากเคล็ดวิชาควบแน่นเปลวไฟเป็นอสูรทั่วไปมาก ร่างของอสรพิษเพลิงที่สร้างขึ้นมาเต็มไปด้วยเปลวไฟบริสุทธิ์ พอพ่นเปลวไฟอันร้อนแรงออกมา แม้แต่อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอด ก็อาจจะละลายขึ้นมาได้ เขาไม่เชื่ออย่างเด็ดขาดว่าหลิ่วหมิงจะสามารถต้านทานอสรพิษเพลิงตัวนี้ได้
………………………………