ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 757 พอฟัดพอเหวี่ยง
ตอนที่ 757 พอฟัดพอเหวี่ยง
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ย่อมไม่กล้าประมาทแต่อย่างใด เขากระตุ้นเคล็ดเกราะอสูรในทันที หมึกแปดขาที่แนบติดหน้าอกส่งเสียงร้องออกมา พริบตาเดียวก็กลายเป็นเกราะอสูรสีเงินปกคลุมทั่วร่างของหลิ่วหมิง
เคล็ดเกราะอสูรนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้อสูรจิตวิญญาณกลายเป็นเกราะหนังเพื่อทำการป้องกันเท่านั้น ยังมีผลต่อกายเนื้อของเขาเป็นทวี ตอนนี้ปีศาจอสูรสมุทรแปดขามีการฝึกฝนอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นปลายแล้ว จึงเพิ่มทวีความแข็งแกร่งของกายเนื้อให้กับเขาได้ถึงสามส่วน
ขณะเดียวกัน พอหลิ่วหมิงยื่นแขนทั้งสองไปด้านหน้า มังกรพยัคฆ์หมอกที่อยู่ด้านหลังก็ขยายใหญ่ในพริบตา และพุ่งลงด้านล่างพร้อมกับส่งเสียงคำราม
การที่หลิ่วหมิงใช้เคล็ดเกราะอสูรเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬนี้ ทำให้หลัวเทียนเฉิงเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา แต่ก็ทำเสียงฮึดฮัดอย่างรวดเร็ว ท่ามือของเขาเปลี่ยนแปลงอยู่ครู่หนึ่ง มังกรพยัคฆ์สีเงินพากันระเบิดออกมาทีละตัว และกลายเป็นแสงสีทองม้วนตัวขึ้นไป
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมลง มังกรหมอกดำห้าตัวกับพยัคฆ์หมอกส่งเสียงระเบิดออกมาเช่นกัน “ปังๆ!” จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีดำพุ่งลงไป
“ตู๊ม!” แสงสีดำกับสีเงินปะทะกันกลางอากาศ หลังจากหมุนติ้วๆ รวมตัวกันแล้ว ก็กลายเป็นลูกแสงสีเงินกับสีดำอย่างละหนึ่งลูก และปะทะเข้าหากันราวกับดวงอาทิตย์สองดวงพุ่งชนกัน
ท่ามกลางเสียงดังโครมครามกลางอากาศ ทำให้ท้องฟ้าบริเวณนั้นบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง
การประลองระหว่างหลิ่วหมิงกับหลัวเทียนเฉิงก่อให้เกิดเสียงดังเช่นนี้ ย่อมดึงดูดความสนใจของศิษย์แต่ละกลุ่มที่ผ่านบริเวณนั้นให้หยุดมองจากที่ไกลๆ
ขณะนี้ ลูกแสงยักษ์กลางอากาศสองลูกขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้การปัดแข้งปัดขากัน มันก็ค่อยๆ รวมกันเป็นหนึ่ง ดูจากที่ไกลๆ แล้ว มันเหมือนกับลูกแสงยักษ์ที่ครึ่งหนึ่งเป็นสีดำ อีกครึ่งหนึ่งเป็นสีเงิน แต่กลับมีเส้นแบ่งเขตตรงกลางชัดเจน และกลิ่นไอที่แผ่ออกจากในนั้นมันน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ที่ใช้จิตสำรวจดู ล้วนมีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
“ตู๊ม!” เกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น!
ลูกแสงครึ่งวงกลมสองลูกระเบิดออกมาทันที ลำแสงสีเงินผสมปนเปกับสีดำพุ่งออกไปทั่วทิศ
หลิ่วหมิงรู้สึกถึงพลังสะท้อนกลับที่โจมตีเข้ามา ร่างของเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรงอยู่ครู่หนึ่ง พอกระตุ้นเคล็ดเกราะอสูร โล่สีเงินชิ้นหนึ่งก็ต้านทานอยู่ตรงหน้า
จากนั้นร่างของเขาก็ถูกพลังมหาศาลที่ส่งผ่านมาจากโล่กระแทกจนกระเด็นออกไปร้อยกว่าจั้ง และชนใส่ยอดเขาเล็กๆ ที่อยู่บริเวณนั้นอย่างรุนแรง
แผ่นดินสั่นสะเทือนอยู่ครู่หนึ่ง เกิดรอยขนาดเท่าปากถ้วยบนยอดเขา
ขณะที่เขาคิดจะกระตุ้นพลังให้พุ่งออกไปนั้น ร่างของเขากลับหยุดชะงักลง และกระอักเลือดออกมา
และหลัวเทียนเฉิงก็ถูกพลังสะท้อนกลับจนมีสภาพไม่แตกต่างกันมากนัก จะเห็นว่าพื้นด้านนอกวิหารไท่เจิน มีหลุมสีดำขนาดสิบกว่าจั้ง และลึกหนึ่งจั้งกว่าๆ ปรากฏออกมาหลุมหนึ่ง
ในส่วนลึกของหลุมสีดำ หลัวเทียนเฉิงกำลังนอนหงายหลังอยู่ในนั้นด้วยใบหน้าซีดขาว มีบาดแผลปกคลุมเต็มตัว โลหิตไหลออกจากมุมปาก ผ่านไปสักพัก ถึงค่อยๆ ลุกขึ้นมา และมองดูหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าประหลาดใจเป็นอย่างมาก
ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ที่มุงดูอยู่ ไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกล พอเห็นฉากอันน่าตกใจในก่อนหน้า ต่างก็รู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง แม้แต่ผู้ที่ทำการกระซิบกระซาบกันอยู่ ต่างก็ลืมคำพูดของตัวเองไปชั่วคราว ทำให้บรรยากาศรอบด้านเงียบไปทั้งแถบ
หลังจากหลัวเทียนเฉิงออกจากหลุมมาแล้ว ก็สูดหายใจลงเข้าลึกๆ สองสามทีแสงสีเงินหมุนวนรอบตัวอยู่ครู่หนึ่ง บาดแผลบนตัวก็สมานกันอย่างรวดเร็ว กลิ่นไอบนตัวค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ ราวกับว่าไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกใจเย็นสะท้าน ตอนนี้ถึงนึกขึ้นได้ว่าฝ่ายตรงข้ามมีร่างจิตวิญญาณตูเทียนในตำนาน ร่างกายเกือบจะเป็นอมตะ แม้ว่าเขาจะต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามด้วยพลังทั้งหมด สุดท้ายแล้วจะชนะหรือแพ้ล้วนเป็นเรื่องที่พูดได้ยาก
แต่ว่าหลัวเทียนเฉิงเพียงแค่มองดูหลิ่วหมิงอย่างลึกซึ้งทีหนึ่ง จากนั้นก็หายวับมาปรากฏตัวอยู่ด้านข้างฟ่านเจิ้งที่ยังคงหมดสติอยู่ หลังจากอุ้มเขาขึ้นมาแล้ว ก็หมุนตัวทะยานขึ้นฟ้า และกลายเป็นแสงสีเงินพุ่งจากไป พริบตาเดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง เขารีบนำโอสถจินหยวนจากแหวนย่อส่วนมาทานอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีทองพุ่งหนีไป
มิเช่นนั้นหากเขาหนีไปช้าแล้วถูกคนของหอคุมกุฎจับตัวได้ล่ะก็ อาจจะมีปัญหาตามมาเล็กน้อย
หลังจากหลิ่วหมิงจากไปแล้ว ฝูงชนที่มุงดูอยู่ถึงได้สติจากความตกใจ ทันใดนั้นก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา โดยเฉพาะหนึ่งในผู้ที่ทำการแลกมือในครั้งนี้ เป็นหลัวเทียนเฉิงที่ผู้คนในนิกายต่างก็รู้จัก จึงทำให้คนจำนวนมากรู้สึกสนใจไม่น้อย
และสถานะของหลิ่วหมิงก็ถูกคนมองออกอย่างรวดเร็ว ยิ่งทำให้เกิดความฮือฮามากขึ้นกว่าเดิม
ไม่นาน ภายในวิหารใหญ่ของยอดเขาเมฆาหยก เฮ่าเยวี่ยที่ดูเหมือนเด็กอายุสิบสองสิบสามปี กำลังเก็บแผ่นค่ายกลส่งสารด้วยสีหน้าที่ดูไม่ได้เป็นอย่างมาก
“ศิษย์น้องเฮ่าเยวี่ย เกิดเรื่องอะไรขึ้น ตรวจสอบปราณจิตวิญญาณที่สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงในเมื่อครู่ได้แล้วหรือ? หรือว่ามีข่าวร้ายอะไร?” ชายวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมยาวสีขาวถามด้วยความเป็นห่วง เขาก็คือผู้ควบคุมยอดเขาที่แซ่หลูนั่นเอง
ทารกเฮ่าเยวี่ยส่ายหน้า หลังจากถอนหายใจเบาๆ แล้ว ก็เอ่ยปากออกมา
“ไม่ทราบว่าศิษย์พี่หลูยังจำเด็กที่ชื่อหลิ่วหมิงได้หรือไม่? เมื่อครู่ข้าเพิ่งได้รับข่าวมาว่า เป็นเพราะเรื่องสิทธิ์ในการเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ ครึ่งชั่วยามก่อน เขากับหลัวเทียนเฉิงและฟ่านเจิ้งลงมือกันด้านนอกวิหารไท่เจิน” เฮ่าเยวี่ยหยุดไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ กล่าวออกมา
“เช่นนี้ก็หมายความว่า ที่เกิดเคลื่อนจิตวิญญาณสั่นสะเทือนในก่อนหน้า มันเกิดจากการลงมือของพวกเขา แม้ว่าหลัวเทียนเฉิงจะอายุยังน้อย ทั้งยังมีการฝึกฝนแค่ระดับผลึกขั้นต้น แต่ความแข็งแกร่งของพลังกลับเป็นที่ประจักษ์แจ้งกันทั่วทุกคน หรือว่าเขาจะยั้งมือไม่ทันจนทำร้ายหลิ่วหมิงเข้า?” ชายชุดคลุมสีขาวได้ยินก็ขมวดคิ้วถาม
“หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ มันก็สมเหตุสมผลอยู่หรอก แต่ตามข่าวที่ข้าได้รับมา การปะทะกันระหว่างหลิ่วหมิงกับหลัวเทียนเฉิง ทั้งสองฝ่ายต่างก็ใช้เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ สุดท้ายกลับเสมอกันโดยที่ไม่อาจตัดสินแพ้ชนะได้” เฮ่าเยวี่ยเผยแววตาประหลาดใจ และอุทานออกมาเบาๆ
“ศิษย์น้องมั่นใจหรือว่าไม่ได้เข้าใจผิด? หลัวเทียนเฉิงผู้นั้นมีร่างจิตวิญญาณตูเทียนโดยกำเนิด เป็นเพราะคุณสมบัติของเขา เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬที่แสดงออกมา ก็มีการเปลี่ยนแปลงเป็นพิเศษ อานุภาพที่แสดงออกมาจึงเพิ่มทวีไม่น้อย แม้ว่าเจ้าเด็กหลิ่วหมิงจะใช้เคล็ดวิชาเดียวกัน แต่ด้วยร่างสามชีพจรจิตวิญญาณของเขา ไหนเลยจะสามารถเปรียบเทียบได้?” ผู้ควบคุมยอดเขาแซ่หลูกล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
“ตอนนั้นศิษย์ที่รายงานเรื่องนี้ ก็อยู่บริเวณวิหารไท่เจินด้วย และเห็นการแลกมือนี้กับตา จะต้องไม่มีอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอน ไม่รู้ว่าหลิ่วหมิงผู้นี้มีความสามารถระดับใดกันแน่ ชั่วระยะเวลาสั้นๆ แค่ยี่สิบกว่าปี ก็มีการเปลี่ยนแปลงมากมายถึงเพียงนี้ ได้ยินมาว่ายังทะลวงระดับผลึกขั้นปลายแล้วด้วย ดูท่าตอนนั้นข้ากับท่านคงจะมองข้ามเขาไปจริงๆ” เฮ่าเยวี่ยส่ายหน้าอีกครั้ง และกล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
ผู้ควบคุมหลูฟังจบ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ครู่หนึ่ง
ในเวลาเดียวกัน ภายในห้องลับค่อนข้างกว้างขวางในเทือกเขาที่ยอดเขาทองคำตั้งอยู่ ชายวัยกลางคนอายุสี่สิบกว่าปี กำลังถือป้ายส่งสารของนิกายไว้แน่น สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจและฉงนสนเท่ห์
คนผู้นี้ก็คือจางเม่า หนึ่งในผู้อาวุโสยอดเขาทองคำที่เข้าพบหลิ่วหมิงหลังงานประลองใหญ่ของศิษย์สายนอกในครั้งนั้น
“วันนั้นไม่ได้รับเจ้าเด็กนี้เข้ามา ตอนนี้ดูท่าคงจะพลาดต้นกล้าดีไปต้นหนึ่งแล้ว ช่างน่าเสียดายจริงๆ ตอนนั้นเด็กผู้นี้เอาชนะซือหม่าชงอย่างง่ายดาย ตอนนี้ยังตัดสินแพ้ชนะกับหลัวเทียนเฉิงไม่ได้ พลังแฝงของเขายากที่จะหยั่งถึงจริงๆ” ผ่านไปสักพัก ชายวัยกลางคนก็เรียกสติกลับมา และพูดพึมพำด้วยความเสียดาย จากนั้นก็หลับตาทั้งคู่ลงเพื่อทำการฝึกฝนต่อ
ครึ่งวันผ่านไป ภายในห้องข้างห้องโถงแห่งหนึ่งบนยอดเขาลั่วโยว อินจิ่วหลิงกับชายชุดคลุมสีเทาที่มีผมสีขาวเทา กำลังนั่งเล่นหมากอยู่ตรงหน้ากระดานหมากสีดำ
“ศิษย์พี่ ได้ยินมาว่าที่หลิ่วหมิงได้เข้าร่วมงานประตูสวรรค์ในอีกสองปีหน้านั้น ท่านประมุขเป็นคนคัดเลือกเอง มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือ?” พอชายชุดคลุมสีเทาลูบมือข้างหนึ่งเบาๆ หมากสีดำเม็ดหนึ่งก็พุ่งไปยังมุมขวาบนของกระดาน แล้วเขาก็ถามออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
“มีเรื่องเช่นนี้จริงๆ หลายวันก่อนท่านประมุขมาทดสอบที่ยอดเขาลั่วโยว ถึงได้รับปากด้วยตนเอง” ดูเหมือนอินจิ่วหลิงจะกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม ขณะเดียวกันก็ตบมือข้างหนึ่งเบาๆ เม็ดหมากสีขาวพุ่งขึ้นมา และค่อยๆ ร่วงลงในมุมเฉียงของหมากดำในเมื่อครู่
“ในเมื่อท่านประมุขระบุชื่อด้วยตนเอง คงไม่มีปัญหาอะไรแล้ว” ชายชุดคลุมสีเทาพยักหน้า และแสดงสีหน้าสบายใจออกมา
“เมื่อครู่ข้าเพิ่งได้รับข่าวมา ว่ากันว่าศิษย์สองคนที่ประลองกันหน้าประตูวิหารไท่เจินในเช้าวันนี้ ก็คือหลิ่วหมิงกับหลัวเทียนเฉิงของยอดเขาสวรรค์ลี้ลับ ได้ยินมาว่าไม่สามารถตัดสินแพ้ชนะได้ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ลำพังแค่คะแนนการต่อสู้ในครั้งนี้ ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมงานประตูสวรรค์ ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว” อินจิ่วหลิ่วหัวเราะเหอะๆ แล้วกล่าวออกมา
“แน่นอน! ศิษย์หลานหลิ่วสามารถรับมือกับการโจมตีด้วยพลังทั้งหมดของหลัวเทียนเฉิงได้โดยที่ไม่ตกเป็นรอง ลำพังแค่คุณสมบัติในการเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ก็เหลือเฟือแล้ว แต่จะว่าไปแล้ว หากแลกมือกันอย่างจริงจัง เกรงว่าศิษย์หลานหลิ่วคงจะแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย แม้ว่าเขาจะมีกระบี่บินพลังจิตวิญญาณอยู่ในมือ แต่หากจะกรีดร่างจิตวิญญาณตูเทียนนั้น ยังคงเป็นไปไม่ได้ และพอการต่อสู้ยืดเยื้อนานเข้า ก็ไม่มีโอกาสที่จะเอาชนะได้อีก เพราะเดิมทีร่างจิตวิญญาณตูเทียน ก็มีชื่อเสียงในการป้องกันและความทรหดอันน่าตกใจอยู่แล้ว ผู้ที่มีร่างจิตวิญญาณนี้ จะมีการฟื้นฟูรวดเร็วอย่างน่าตกใจ เพียงแค่พลังเวทไม่ถูกใช้จนหมด ก็ดูเหมือนว่าจะไม่อาจเอาชนะได้”
ชายชุดคลุมสีเทาตอบกลับด้วยรอยยิ้ม และดีดหมากขาววางลงบนมุมที่หมากดำอยู่กองกัน
พอหมากเม็ดนี้ร่วงลงไป กระดานหมากก็เปล่งประกายแวววาว หมากดำหลายสิบเม็ดที่อยู่มุมหนึ่งของกระดานหายไปในฉับพลัน
“เฮ่อๆ! เรื่องของผู้น้อย ก็ให้พวกผู้น้อยจัดการเองเถอะ พวกเราทำเรื่องของตนเองให้ดีก็พอ ว่าแต่ศิษย์น้องเถียน ข้าเองก็ตั้งใจศึกษาหมากล้อมมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะยังห่างชั้นกับเจ้าเช่นนี้” อินจิ่วหลิงมองดูกระดานหมากทีหนึ่ง จากนั้นก็ปรบมือหัวเราะเป็นการใหญ่
“ท่านผู้ควบคุม เป็นเพราะท่านไม่มีสมาธิ ถึงทำให้ข้าฉวยโอกาสได้ ออมมือแล้ว!” ชายชุดคลุมสีเทากล่าวอย่างนอบน้อม
……
การต่อสู้อันตื่นตะลึงของหลิ่วหมิงกับหลัวเทียนเฉิง ย่อมถูกบอกเล่ากันปากต่อปาก จนสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งนิกายยอดบริสุทธิ์
หลิ่วหมิงที่เคยเป็นที่ฮือฮาในนิกายยอดบริสุทธิ์เมื่อสามสิบปีก่อน ถูกผลักดันไปสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง ชื่อเสียงดังกระฉ่อนกว่าเมื่อก่อนสิบกว่าเท่า แม้แต่ยอดเขาแต่ละแห่งในนิกายยอดบริสุทธิ์ ยังพูดถึงเขาอย่างออกรส
และขณะที่ผู้คนในนิกายต่างก็พากันพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของเขานั้น หลิ่วหมิงกลับนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับ เพื่อฟื้นฟูพลังเวทอย่างเงียบๆ และสีหน้าซีดขาวของเขาก็กลับมามีเลือดฝาดแล้ว กลิ่นไอที่ดูไม่มั่นคงเล็กน้อย ก็ค่อยๆ สงบขึ้นมา
………………………………