ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 76 อาวุธจิตวิญญาณ
ถุงหนังสองใบนั้นไม่เท่าไหร่ในนั้นมีแค่โอสถรักษาอาการบาดเจ็บกับของสัพเพเหระจำนวนหนึ่ง แต่ตลับหยกสีแดงที่ก้ามยักษ์หนีบมากลับดึงความสนใจของหลิ่วหมิงขึ้นมาทันที
เขาหยิบตลับหยกขึ้นมาด้วยความแปลกใจ และเปิดฝามันออก ไอเย็นสีขาวโพลนพุ่งออกมาจากในนั้นทำให้เขารู้สึกเย็นสะท้านจนสะดุ้ง
ไม่คาดคิดว่าในตลับนั้นจะมีมุกสีฟ้าแวววาวอยู่เม็ดหนึ่ง ดูเหมือนจะหนาวเย็นอย่างแปลกประหลาด ไม่รู้ว่ามันมาจากไหนกัน
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงเข้าใจว่าทำไมขายชุดเทาถึงออกมาจากทะเลเพลิงได้
ของชิ้นนี้ก็เป็นของล้ำค่าอย่างยิ่ง
หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ และรีบเก็บตลับหยกกับสิ่งของอื่นๆ ทั้งหมด แล้วสังเกตดูรอบด้านอีกครั้ง แล้วชูมือปล่อยลูกไฟออกไปชุดหนึ่ง จัดการทำลายร่องรอยการต่อสู้ในบริเวณนั้นโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้ หลังจากทำให้มันคล้ายๆ ทะเลเพลิงนั้นแล้วถึงเก็บแมงป่องกระดูกขาวเข้าไปในถุงหนัง จากนั้นขี่เมฆเหาะตรงไปยังนิกายปีศาจ
……
หลายวันต่อมา ตอนที่หลิ่วหมิงกลับถึงนิกายปีศาจทุกอย่างในนิกายยังคงเหมือนเดิม ราวกับไม่มีข่าวเกี่ยวกับมังกรแดงแพร่กระจายออกมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ไปที่หอดำเนินการทำเรื่องบันทึกการกลับเข้านิกายแล้วรีบกลับไปยังที่พักตรงเขาเก้าทารก จากนั้นก็เริ่มทานโอสถแล้วกลั่นพลังจากยาทุกวันไม่หยุด
พริบตาเดียวก็ผ่านไปเจ็ดแปดวันแล้ว
แต่ในวันนี้ ศิษย์นิกายสายนอกของสาขาเก้าทารกผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่ลานเล็กๆ และตะโกนบอกเขาว่ากุยหรูฉวนเรียกเขาให้ไปหา
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็ใจเต้นเล็กน้อย หยุดการฝึกฝนแล้วเดินออกจากที่พักไป
เวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป เขาก็มาปรากฏตัวบนหอใหญ่ตรงยอดเขา
ในหอนั้นนอกจากกุยหรูฉวนแล้ว เขายังเห็น ‘อาจารย์อาจาง’ นักพรตวัยกลางคนผู้นั้น
“ใช่เด็กคนนี้จริงๆ ด้วย!” นักพรตวัยกลางคนเห็นใบหน้าหลิ่วหมิงชัดเจนแล้วก็หัวเราะออกมา
กุยหรูฉวนได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด เพียงแค่หันไปถามหลิ่วหมิง
“หลายวันนี้ เจ้าได้ไปตลาดเว่ยโจวไหม? และตอนกลับได้ประสบกับมังกรชั่วร้ายตนนั้นหรือเปล่า?”
“ใช่แล้ว ศิษย์ไปตลาดเว่ยโจวจริงๆ” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างนอบน้อม
“เจ้ารู้ไหม นอกจากเจ้าและศิษย์สองคนที่อาจารย์อาจางช่วยชีวิตไว้แล้ว ศิษย์คนอื่นๆ ล้วนเสียชีวิตกันหมดไหม? ตอนที่อาจารย์อาจางของเจ้าหนีไปแล้วเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น แล้วเจ้าหนีรอดมาได้อย่างไร?” กุยหรูฉวนถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ
นักพรตวัยกลางคนได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าก็ฉายแววเก้อเขินเล็กน้อย
ตอนนั้นเขาไม่ได้ช่วยหลิ่วหมิงให้หนีไปพร้อมกัน ถึงแม้เรื่องนี้สามารถให้อภัยกันได้แต่ต่อหน้ากุยหรูฉวนผู้ที่เป็นอาจารย์ของหลิ่วหมิงผู้นี้ในตอนนี้ เขาย่อมรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
“กราบเรียนอาจารย์กุย นอกจากศิษย์พี่เฉียนและชุ่ยเอ๋อร์แล้ว ศิษย์เกรงว่ามีศิษย์ผู้เดียวที่ยังมีสติอยู่ ดังนั้นพอเรือเหาะถูกมังกรชั่วร้ายตัวนั้นใช้พลังมหาศาลสั่นสะเทือนจนเรือเหาะแตกกระจาย ศิษย์ก็แค่ได้วิธีบางอย่างในเอาตัวรอด…”
หลิ่วหมิงไม่ได้ปิดบังแต่อย่างใด เขาเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟังในทันที
แต่เรื่องเกี่ยวกับแมงป่องกระดูกขาวกับเรื่องชายปล้นสดมภ์ และอาวุธจิตวิญญาณอย่างกระบี่สั้นที่ได้มานั้น เขาย่อมไม่ได้เล่าออกมา เพียงแค่บอกว่าตนเองซื้อยันต์คุ้มกันมาหลายผืนถึงได้โชคดีหนีออกมาจากทะเลเพลิงได้
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ตอนหลังข้ากลับไปยังที่เดิมแต่กลับหาศพศพของศิษย์คนอื่นๆ ไม่เจอ ไม่คาดคิดว่าจะถูกมังกรชั่วร้ายนั้นมันเผาจนหมดสิ้น แต่ศิษย์หลานไป๋กลับโชคดีไม่ใช่น้อยที่ซื้อยันต์คุ้มกันจากตลาดพอดี มิเช่นนั้นเกรงว่าก็คงไม่อาจหนีรอดมาได้ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าข้าไปตรวจดูรายชื่อศิษย์ที่กลับเข้านิกายตรงหอดำเนินการ แล้วเจอรายชื่อของเจ้าเข้า ก็คงไม่รู้ว่ายังมีศิษย์อีกคนที่รอดชีวิตกลับมา”
“ศิษย์น้องจางไม่ต้องกล่าวโทษตนเอง ใครจะไปรู้ว่าเดิมทีแค่คิดที่จะวางกับดักล่อพวกโจรปล้นสดมภ์ที่ชอบออกมาก่อความวุ่นวายให้ออกมา แต่กลับล่อมังกรร้ายตนนี้ให้ออกมาด้วย และในบรรดาอาจารย์จิตวิญญาณทั้งสามก็มีแค่ศิษย์น้องจางคนเดียวที่รอดชีวิตมาได้ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว” กุยหรูฉวนหันมาปลอบใจ
“ข้าเองก็เป็นเพราะว่าผู้อาวุโสชื่อหยางจากนิกายวาตอัคคีโผล่มาพอดี จึงทำให้เจ้ามังกรร้ายตนนั้นตกใจจนหนีไป มังกรตัวนี้ร้ายกาจกว่าที่ร่ำลือไว้มาก ถึงแม้จะได้รับบาดเจ็บสาหัสอาจารย์จิตวิญญาณอย่างพวกเราก็ไม่อาจยุแหย่มันได้ น่าเสียดายที่ได้ยินมาว่าผู้อาวุโสชื่อหยางตามไล่มังกรตัวนี้ได้สองวันก็ตามมันไม่ทันเสียแล้ว” นักพรตวัยกลางคนหัวเราะอย่างขมขื่นแล้วกล่าวออกมา
“นี่ก็เป็นผลลัพธ์ที่ไม่เลวแล้ว ผ่านไปอีกสักระยะอาจารย์อาเยี่ยนคงจะออกการการเก็บตัวแล้ว พอถึงเวลานั้นนิกายเรายังมีความหวังที่จะได้ประโยชน์จากมังกรร้ายตนนี้” กุยหรูฉวนกลับกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น ใช่สิ! ศิษย์หลานไป๋ เจ้ากลับไปได้แล้วล่ะ อีกอย่างห้ามแพร่งพรายเรื่องเกี่ยวกับมังกรชั่วร้ายตนนี้และเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตลาดโดยเด็ดขาด ถ้าฝ่าฝืนจะใช้กฎนิกายจัดการ” นักพรตวัยกลางคนพยักหน้าแล้วกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ทราบ ศิษย์เข้าใจแล้ว” หลิ่วหมิงรู้สึกเย็นยะเยือก เขารีบตอบรับแล้วถอยออกไป
“ศิษย์ผู้นี้ไม่เลว ไม่คาดคิดว่าตอนที่มังกรชั่วร้ายแผดเสียงร้องเขายังสามารถรักษาสติไว้ได้ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ศิษย์ทั่วไปสามารถทำได้” พอหลิ่วหมิงไปจากหอใหญ่แล้วนักพรตวัยกลางคนก็เอ่ยปากชมเชยออกมา
“อือ! ศิษย์ผู้นี้ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกหรือสติปัญญาล้วนดีงามเป็นอย่างมาก น่าเสียดายเพียงอย่างเดียวคือมีคุณสมบัติแค่สามชีพจรจิตวิญญาณเท่านั้น มิเช่นนั้นข้าคงรับเขาเป็นศิษย์ติดตามนานแล้ว” กุยหรูฉวนพยักหน้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ที่แท้ก็มีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณ ช่างน่าเสียดายจริงๆ แต่ถ้าเขาสามารถเข้าสู่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายได้ล่ะก็ ก็มีโอกาสที่จะชิงตำแหน่งศิษย์แกนนำมาได้” นักพรตวัยกลางคนได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกเสียดายเช่นกัน
“ใช่สิ! ข้ายังไม่ได้แสดงความยินดีกับศิษย์พี่เลยสักคำ ได้ยินมาว่าศิษย์พี่จูกับศิษย์น้องจงไปตลาดเผ่าเจ้าสมุทรมา และได้แลกเหล็กแสงเย็นสะท้านจากใต้ทะเลลึกมาได้ จุ๊ๆ! ของชิ้นนี้เป็นหนึ่งในวัสดุในการหลอมสร้างกระบี่บิน เกรงว่าอีกไม่นานทางนิกายจันทราสวรรค์คงส่งคนมาหาศิษย์พี่แล้วล่ะ” นักพรตวัยกลางคนนึกเรื่องอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงกล่าวออกมาด้วยความยินดี
“เฮ่อๆ ความโชคดีของศิษย์น้องทั้งสองได้มาถึงแล้ว แต่ถึงแม้สิ่งของนี้จะใช้ทำกระบี่ได้ก็หลอมสร้างได้แค่กระบี่บินระดับต่ำ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเรามีแผนที่ใช้ทำอย่างอื่น และไม่คิดที่จะขายให้นิกายจันทราสวรรค์” กุยหรูฉวนลูบหนวดแล้วกล่าวด้วยสีหน้าดีใจ
“อ้อ! ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ช่างน่าเสียดายจริงๆ นิกายจันทราสววรค์สนใจวัสดุที่ใช้ในการทำกระบี่บินมาตลอดโดยไม่เกี่ยงราคาใดๆ” นักพรตวัยกลางคนตกตะลึงเล็กน้อยราวเก็บไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“เฮ่อๆ เรื่องนี้ต่อไปศิษย์น้องก็จะรู้เอง” กุยหรูฉวนหัวเราะออกมา เหมือนกับไม่อยากจะคุยเรื่องนี้ไปมากกว่านี้แล้ว
จากนั้นทั้งสองคุยกันกันอีกสักพัก นักพรตวัยกลางคนก็กล่าวอำลาจากไป
และหลิ่วหมิงพอกลับถึงที่พัก ก็เข้าห้องฝึกฝน คิดไตร่ตรองด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอยู่ครู่หนึ่ง ถึงหยิบโอสถออกจากตัวหนึ่งเม็ดแล้วทานลงไป และเริ่มต้นกลั่นพลังจากโอสถ
สำหรับเขาในตอนนี้แล้ว ก้าวสู่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายถึงเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับเขา
ด้านหนึ่งเขากระตุ้นเคล็ดขั้นที่สามของวิชากระดูกดำ อีกด้านหนึ่งก็รู้สึกได้ถึงพลังเวทภายในที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นมา
ครึ่งเดือนผ่านไป หลิ่วหมิงที่กำลังฝึกฝนอยู่ พลันรู้สึกว่าร่างกายสั่นสะเทือน ทะเลจิตวิญญาณโคจรหมุนติ้วๆ โดยไม่สามารถควบคุมได้ในทันที ขณะเดียวกันพลังสองสายหนึ่งร้อน หนึ่งเย็น พุ่งออกจากในนั้น และวิ่งไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว และพุ่งขึ้นไปยังศีรษะ
เสียงดัง “ตู้ม!”
หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่ามีเสียงดังขึ้น พยังร้อนเย็นทั้งสองสายก็มารวมตัวกันตรงจิตทันที แล้วผสานเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัวเข้า ขณะเดียวกันร่างกายก็เบาจนเกือบจะลอยขึ้นได้ เขารู้สึกเบาสบายไปทั่วร่างกายเป็นอย่างมาก
“สำเร็จแล้ว เคล็ดวิชากระดูกดำนี้ก้าวเข้าสู่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายแล้ว ไม่คาดคิดว่าจะไม่เจอกับปัญหาคอขวดแม้แต่นิดเดียว
หลิ่วหมิงลุกขึ้นมาสัมผัสพลังเวทแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นมาหลายเท่า เขารู้สึกปลื้มปีติยินดีเป็นอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้เขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องที่ฟองอากาศจะระเบิดแล้ว
ผ่านไปสักครู่ หลิ่วหมิงถึงระงับอาการตื่นเต้นลงได้ เขาคิดที่จะไม่ออกไปไหนในช่วงระยะเวลานี้ จนกว่าจะควบคุมพลังเวทที่ไหลออกภายนอกได้ดั่งใจ
ด้วยเหตุนี้ นอกจากเขาจะใช้พลังเวทในการต่อสู้กับผู้อื่นแล้ว คนทั่วไปก็ไม่อาจรู้ได้ว่าเขาฝึกฝนบรรลุไปอีกขั้นแล้ว
การใช้เวลาอันสั้นนี้สามารถก้าวสู่เขตแดนศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายได้ ด้วยสถานะอย่างเขาที่มีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณนับว่าเป็นเรื่องที่น่าตกใจยิ่งนัก
เวลาในสองเดือนกว่าๆ โอสถที่เหลือหลิ่วหมิงก็ทานไปพอประมาณแล้ว แม้กระทั่งภายในร่างกายก็เกิดอาการต่อต้านโอสถหลายชนิดนี้ ต่อให้ทานต่อเนื่องก็ไมาสามารถเพิ่มพลังเวทได้มากแล้ว ดังนั้นเขาจึงเริ่มนั่งขัดสมาธิเงียบในทุกวันเพื่อทำให้ดินแดนศิษย์จิตวิญญาณนั้นค่อยๆ มีสเถียรภาพขึ้นมา
ที่ทำให้หลิ่วหมิงกลัดกลุ้มก็คือตอนนี้ก็ผ่านไปเกือบไปครึ่งปีแล้ว แต่ฟองอากาศในร่างกลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เลย
ภายใต้ความรู้สึกประหลาดใจนี้ เขายิ่งไม่ยอมออกไปทำภารกิจนิกายภายใต้สถานการณ์แบบนี้
แต่วันนี้เขายังไปหอหอคัมภีร์โบราณตรงเขาเก้าทารกรอบหนึ่ง และหาคัมภีร์หนาๆ ที่อธิบายเกี่ยวกับอาวุธจิตวิญญาณมาหลายเล่ม แล้วนำกลับมายังที่พัก
ผ่านไปไม่กี่วัน ในที่สุดเขาก็ศึกษาเคล็ดบางอย่างจนทะลุปรุโปร่ง เขารีบหยิบกระบี่สั้นสีเขียวเล่มนั้นออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ เขาอ้าปากพ่นไอบริสุทธิ์ใส่มัน จากนั้นทำท่ามือด้วยมือเดียวส่งพลังเวทใส่เข้าไปในกระบี่สั้น
เสียงดัง “ฟู่!” “ฟู่!”
อาวุธจิตวิญญาณดูดไอบริสุทธิ์จนเกือบจะหมด พื้นผิวภายนอกของมันมีอักขระสีเขียวออกมาแน่นขนัด แต่ละตัวมีขนาดเท่าเม็ดข้าว แต่หลังจากหมุนติ้วๆ ไปแล้ว ก็เกาะตัวกันเป็นค่ายกลสีเขียว เส้นใยสีขาวแต่ละชั้นพันมันไว้ มองไปก็เห็นมีสิบกว่าชั้น
ตาทั้งคู่ของหลิ่วหมิงจ้องเขม็ง แล้วเริ่มจดจำจำนวนอักขระในค่ายกลเหล่านี้ ผ่านไปชั่วครู่ ถึงได้กล่าวกับตนเองอย่างหน้านิ่วคิ้วขมวด
“จำกัดสิบหกชั้น อาวุธจิตวิญญาณระดับกลาง! นับว่าเป็นสูงสุดของอาวุธจิตวิญญาณระดับกลาง ก็นับว่าไม่เลวเหมือนกัน”
ตามที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ที่เขาอ่านก่อนหน้านี้ ขนาดอานุภาพของอาวุธจิตวิญญาณกับการแบ่งแยกระดับขั้นคุณสมบัติของอาวุธ ส่วนใหญ่ใช้จำนวนชั้นจำกัดที่แฝงอยู่ในนั้นมาเป็นตัววัด
ปกติแล้ว อาวุธจิตวิญญาณที่มีชั้นจำกัดหนึ่งถึงเก้าเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับล่าง สิบถึงสิบแปดชั้นจำกัดเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับกลาง สิบเก้าถึงยี่สิบชั้นนับเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสูง ยี่สิบแปดถึงสามสิบหกก็เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอด
สำหรับชั้นจำกัดสามสิบหกชั้นขึ้นไปนั้น เล่ากันว่าต้องเป็นอาวุธเวทที่มีพลังโค่นภูเขาคว่ำทะเลได้ถึงมีได้ คัมภีร์โบราณหลายเล่มนั้นกล่าวถึงแค่เล็กน้อย ไม่ได้กล่าวไว้มาก
แน่นอนว่าตัววัดคุณสมบัติอาวุธจิตกับอานุภาพในการใช้นี้ก็ใช่ว่าจะสัมบูรณ์ กล่าวได้ว่าโดยแก่นแท้แล้วในอาวุธจิตวิญญาณก็มีการควบคุมซึ่งกันและกัน ทั้งยังต้องดูจากลักษณะธาตุของมันเหมาะสมกับวิชาที่เจ้าของฝึกหรือไม่ อยู่ในมือของผู้ฝึกฝนที่มีระดับการฝึกฝนที่แตกต่างกันก็อานุภาพที่ปล่อยออกมาก็ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
……………………………………….