ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 760 ใช้ทั้งไม้อ่อนและไม้แข็ง
“เฮ่อๆ! ศิษย์พี่เทียนอินมีความรู้กว้างไกลจริงๆ ศิษย์น้องนับถือยิ่งนัก”
หลัวหยวนดวงตาเป็นประกาย แต่กลับกล่าวต่อด้วยสีหน้าปกติ
“ข้าเองก็รู้ว่า การกระทำนี้อาจจะเป็นอันตรายต่อผลประโยชน์ของยอดเขาเลื่อนลอย ศิษย์หลานเจียหลานก็ต้องเสียสละค่อนข้างมาก เช่นนี้เถิด! ข้ายินดีใช้โอสถมายานรกเก้าขุมที่เป็นโอสถระดับธรรมดาสามเม็ด หยกโลหิตแต่กำเนิดหนึ่งชิ้น และสิทธิ์ในการเข้า ‘ทางจันทรามายา’ หนึ่งครั้ง เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน สำหรับศิษย์หลานเจียหลาน ข้าจะเสนอทรัพยากรให้จำนวนมาก และช่วยนางเข้าสู่ระดับแก่นแท้อย่างสุดความสามารถ เช่นนี้แล้วศิษย์พี่ทั้งสองคิดว่าเป็นอย่างไรบ้าง?”
เทียนอินซ่างเหรินได้ยินเช่นนี้ ก็ไม่ได้ตอบกลับในทันที แต่ดวงตาก็เป็นประกายอยู่ไม่หยุด
อย่างที่รู้ว่า โอสถมายานรกเก้าขุมปรุงขึ้นมาจากวิญญาณของแมงเม่ามายานรกเก้าขุม ที่เป็นปีศาจอสูรระดับแก่นแท้ อสูรชนิดนี้ สามารถพบได้แค่ในทางปีศาจชั่วร้ายเท่านั้น ในวิญญาณแฝงไปด้วยพลังมายาอันบริสุทธิ์ มีผลลัพธ์อันดีต่อผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ที่ฝึกฝนวิชามายามาก มักจะช่วยให้ผู้ที่ทานสามารถทะลวงคอขวดได้ ด้วยเหตุนี้แต่ละเม็ดจึงมีราคาหลายสิบล้านหินจิตวิญญาณ และมักจะไม่มีขายในตลาดด้วย
โอสถมายานรกเก้าขุมระดับสูง ยังมีผลต่อการบรรลุระดับดาราพยากรณ์ในขอบเขตที่กำหนดได้
ส่วนหยกโลหิตแต่กำเนิดก็เป็นวัสดุจิตวิญญาณสำหรับสร้างอาวุธประเภทวิชามายาที่พบเจอได้น้อยมากในโลกเช่นกัน มูลค่าของมันสูงจนไม่ต้องบอกก็รู้
สำหรับ ‘ทางจันทรามายา’ ก็เป็นพื้นที่มิติเล็กๆ แห่งหนึ่งในนิกายยอดบริสุทธิ์ ว่ากันว่าเป็นสถานที่ทะลวงระดับที่เลิศล้ำสำหรับผู้ฝึกฝนวิชามายา มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับถ้ำวายุสวรรค์ที่หลิ่วหมิงเคยไป แต่ว่าอยู่ในระดับที่สูงกว่าหลายเท่า ซึ่งเสนอให้ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ใช้โดยเฉพาะ และทุกครั้งที่เปิดก็จะสิ้นเปลืองทรัพยากรล้ำค่าไม่น้อย แม้แต่ผู้มีสถานะสูงส่งอย่างผู้ควบคุมยอดเขาก็ไม่อาจเข้าไปได้โดยง่าย
เงื่อนไขเหล่านี้ล้วนล้ำค่าเป็นอย่างมาก แม้ว่าเทียนอินซ่างเหรินจะมีสถานะเป็นถึงผู้ควบคุมยอดเขา ก็อดใจเต้นไม่ได้
แต่ว่าหลังจากนางครุ่นคิดอย่างรวดเร็วแล้ว ก็มองอวี้อินจื่อก่อนกล่าวออกมาเบาๆ
“ศิษย์น้อง เจียหลานเป็นศิษย์ของเจ้า ไม่ทราบว่าเจ้ามีความเห็นว่าอย่างไร?”
หลัวหยวนได้ยินก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา เทียนอินซ่างเหรินกล่าวเช่นนี้ ประจักษ์ชัดว่าได้ยอมรับเรื่องนี้โดยปริยายแล้ว แต่ติดที่อวี้อินจื่อที่เป็นอาจารย์ที่แท้จริงของเจียหลานอยู่ด้วย จึงไม่ได้พูดออกมาตามตรง
เพียงแค่เทียนอินซ่างเหรินพยักหน้า เรื่องนี้ก็ถูกกำหนดไว้แล้ว
ชายหนุ่มชุดผ้าแพรที่อยู่ด้านหลังหลัวหยวนเห็นเช่นนี้ ก็เผยแววตาดีใจออกมา
อวี้อินจื่อเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นถึงค่อยๆ เอ่ยปากออกมา
“เงื่อนไขที่ศิษย์น้องหลัวเสนอมาดีมากจริงๆ แต่ว่ากันถึงแก่นแท้แล้ว เรื่องนี้ศิษย์ของข้าเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง ดังนั้นจึงควรถามความยินยอมจากนางเสียก่อน”
หลัวหยวนได้ยินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็นึกเรื่องราวอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหัวเราะก่อนกล่าวออกมา
“อืม! ที่ศิษย์พี่อวี้อินกล่าวมามันก็ถูก”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ต้องขอให้ศิษย์น้องอวี้อินส่งข่าวบอกเจียหลานให้มาพบกันที่นี่เถิด!” เทียนอินซ่างเหรินมองดูอวี้อินจื่อทีหนึ่ง ดูเหมือนนางจะรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แต่กลับไม่แสดงออกมา
อวี้อินจื่อพยักหน้า และนำยันต์ส่งเสียงออกมาผืนหนึ่ง หลังจากพูดเบาๆ ไปสองสามประโยคแล้ว ก็ปล่อยพลังใส่เข้าไปในนั้น ภายใต้การเปล่งประกายของยันต์ส่งเสียง มันก็กลายเป็นจุดแสงแวววาวก่อนหายไปในอากาศ
เวลาต่อมา ทั้งสามก็จิบชาจิตวิญญาณไปด้วย และพูดคุยสัพเพเหระไปพลางๆ
ไม่นาน เสียงฝีเท้าก็ดังมาจากนอกประตูอยู่รำไร หญิงสาวร่างอรชรที่สวมชุดสีฟ้านางหนึ่งกำลังเดินเข้ามาในประตูวิหาร ผมงดงามราวกับปุยเมฆ ผิวขาวเกลี้ยงเกลาราวกับหยก นางก็คือเจียหลานนั่นเอง
พอได้ยินเสียงฝีเท้า สายตาของคนทั้งสี่ที่อยู่ในวิหารก็หันไปมองประตูพร้อมกัน
พอเจียหลานเห็นว่ามีคนนอกนั่งอยู่ในวิหาร นางก็ขมวดคิ้วขึ้นมา นางหยุดชะงักตรงประตูเล็กน้อย และคารวะเทียนอินซ่างเหรินกับอวี้อินจื่อก่อนกล่าวออกมา
“ศิษย์เจียหลาน คารวะอาจารย์อา และอาจารย์”
“ไม่ต้องมากพิธี! เจียหลาน ท่านนี้คือผู้ควบคุมยอดเขาหลัวจากยอดเขาดับสูญ” พอเทียนอินซ่างเหรินเห็นเจียหลานเดินเข้ามา ใบหน้าที่เย็นชาของนางก็เผยรอยยิ้มออกมาทักทาย
เจียหลานได้ยิน ก็หมุนตัวไปคารวะชายวัยกลางคน
“คารวะอาจารย์อาหลัว”
เจียหลานไม่ได้รู้สึกแปลกหน้ากับยอดเขาดับสูญแต่อย่างใด ในนิกายมียอดเขาตั้งมากมาย หากพูดถึงยอดเขาที่เชี่ยวชาญวิชามายา ก็มีแค่ยอดเขาเลื่อนลอยกับยอดเขาดับสูญเท่านั้น และหลัวหยวนผู้ควบคุมยอดเขาดับสูญผู้นี้ ก็ได้ชื่อว่าผู้ฝึกฝนวิชามายาระดับแก่นแท้คนแรกของนิกายยอดบริสุทธิ์ มีชื่อเสียงโด่งดังมาก แต่ว่านางก็เพิ่งได้เจอเป็นครั้งแรก
“ศิษย์หลานไม่ต้องมากพิธีเช่นนี้” ขณะที่ชายวัยกลางคนพูดออกมา สายตาก็สังเกตดูเจียหลานไปด้วย จากนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อยด้วยแววตาชื่นชม
ตั้งแต่เจียหลานเดินเข้ามา ชายหนุ่มชุดผ้าแพรที่ยืนอยู่ด้านหลัง ไม่ได้ละสายตาไปจากนางเลยแท้แต่น้อย ภายในระยะห่างอันใกล้เช่นนี้ แววตาของเขาก็เร่าร้อนมากขึ้นกว่าเดิม
ดูเหมือนว่าเจียหลานจะรับรู้ได้ถึงแววตาเร่าร้อนของอีกฝ่าย คิ้วงดงามของนางยกขึ้นเล็กน้อย แววตาดูไม่พอใจอยู่ลางๆ แต่ก็ไม่ได้แสดงอารมณ์ทางสีหน้าแต่อย่างใด
“เจียหลาน นั่งลงด้านนี้เถอะ!” อวี้อินจื่อก็มองเห็นแววตาของชายหนุ่มชุดผ้าแพรเช่นกัน นางจึงแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา ทันใดนั้นก็เรียกให้ศิษย์ตัวเองมาอยู่ด้านข้าง
ชายหนุ่มชุดผ้าแพรเห็นเช่นนี้ ก็ละสายตาออกมาด้วยสีหน้าเหยเก และยืนอย่างเรียบร้อย
“ไม่ทราบว่าอาจารย์กับอาจารย์อาเรียกศิษย์มามีธุระอันใดหรือ?” เจียหลานเดินมาถึงด้านข้างอวี้อินจื่อ แต่ไม่ได้นั่งลงไป เพียงแค่เอ่ยปากถามเบาๆ เท่านั้น
“เรื่องมันเป็นอย่างนี้……” เทียนอินซ่างเหรินมองดูอวี้อินจื่อทีหนึ่ง จากนั้นก็เล่าเรื่องที่ศิษย์ของหลัวหยวนมาสู่ขอไปหนึ่งรอบ เพียงแต่เจตนาไม่พูดถึงคำที่อาจก่อให้เกิดความไม่เหมาะสม
อวี้อินจื่อเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากแทรกแต่อย่างใด
เจียหลานฟังจบ ดวงตาของนางก็เป็นประกายเล็กน้อย ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ถึงถอนหายใจแล้วกล่าวกับหลัวหยวนอย่างนอบน้อม
“ขออาจารย์อาหลัวโปรดให้อภัย ศิษย์ไม่มีความตั้งใจที่จะฝึกฝนคู่กับศิษย์พี่เวินผู้นี้”
พอคำพูดนี้ออกมาจากปาก ก็ทำให้เทียนอินซ่างเหรินกับอวี้อินจื่อรู้สึกอึ้งเล็กน้อย เพียงแต่ว่าใบหน้าที่มีรอยยิ้มบางๆ ของเทียนอินซ่างเหรินกลับดูเคร่งขรึมภายในพริบตา ส่วนอวี้อินจื่อกลับมีสีหน้าผ่อนคลาย และรู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง
ชายหนุ่มชุดผ้าแพรก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที แววตาของเขากลับเผยแววอับอายเล็กน้อย
หลัวหยวนได้ยินก็มีสีหน้าเคร่งขรึม และรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที หลังจากกวาดสายตามองดูเทียนอินซ่างเหรินแล้ว ถึงค่อยๆ กล่าวออกมา
“พูดเช่นนี้ก็หมายความว่า ศิษย์หลานไม่ถูกใจศิษย์ผู้นี้ของข้าหรือ?”
“ศิษย์พี่เวินเป็นผู้ที่มีความสามารถ การฝึกฝนก็เลิศล้ำ ไหนเลยศิษย์จะคิดเช่นนี้ได้ เพียงแต่ว่าในใจมีคนอื่นแล้ว นอกจากเขาชาตินี้จะไม่แต่งกับคนอื่นอีก ขออาจารย์อาหลัวโปรดให้อภัย” เจียหลานก้มหน้าลงเล็กน้อย และกล่าวด้วยใบหน้าแดงก่ำ
ได้ยินเช่นนี้ ผู้คนที่อยู่ในวิหารต่างก็มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้
“อ๋อ! ที่เจ้าพูดถึงคือศิษย์ยอดเขาใด เหตุใดอาจารย์ถึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน?” อวี้อินจื่อรีบถามด้วยความประหลาดใจ
“เรียนอาจารย์ คือ……คือหลิ่วหมิงจากยอดเขาลั่วโยว ศิษย์พี่หลิ่ว” เจียหลานลังเล็กน้อยก่อนพูดชื่อนี้ออกมา
“หลิ่วหมิง? ศิษย์ยอดเขาลั่วโยวที่เข้าร่วมงานประตูสวรรค์ในครั้งนี้หรือ?” อวี้อินจื่อรู้สึกอึ้งไปทันที
แม้ว่าหลิ่วหมิงจะเข้ามาในนิกายนานแล้ว และปรากฏตัวในนิกายไม่มาก แต่ช่วงนี้มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการแลกมือเสมอกับหลัวเทียนเฉิงในครั้งนั้น ยิ่งสะเทือนไปทั่วนิกาย ดังนั้นอวี้อินจื่อย่อมเคยได้ยินชื่อของเขามาก่อน
เทียนอินซ่างเหรินเองก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
เขามีสถานะเป็นผู้ควบคุมยอดเขา ย่อมรู้เรื่องราวของหลิ่วหมิงมากกว่า รู้ดีว่าเขาไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกฝนทั่วไปจะสามารถเปรียบเทียบได้ พอนึกถึงจุดนี้ นางก็แสดงสีหน้าลังเลขึ้นมา
“หากข้าไม่ได้ดูผิดล่ะก็ ศิษย์หลานยังเป็นสาวพรหมจารีอยู่ใช่หรือไม่? ศิษย์หลานเจียหลานให้ความสำคัญกับเหตุการณ์ตลอดทั้งชีวิตมาก แต่ว่าผู้ฝึกฝนคู่ยังต้องเลือกอย่างรอบคอบ หากเจอคนที่ไม่ชอบธรรม จะถูกทำลายทั้งชีวิตได้ ศิษย์ของข้าผู้นี้อยากแต่งเจ้าเป็นภรรยาด้วยใจจริง ตรงจุดนี้อาจารย์สามารถรับประกันให้ได้” หลังจากรอยยิ้มบนใบหน้าหลัวหยวนหายไปสักพักใหญ่ๆ แล้ว ถึงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ตอนนี้ศิษย์ยังรักษาพรหมจารีอยู่ เป็นเพราะว่าวิชาที่ฝึกฝนค่อนข้างพิเศษ รักษาร่างหยินบริสุทธิ์ไว้ฝึกฝน มันจะเป็นประโยชน์มาก ส่วนข้ากับศิษย์พี่หลิ่ว เดิมทีก็มาจากสถานที่เดียวกัน ได้รู้จักกันนานแล้ว สำหรับอุปนิสัยใจคอของเขา ศิษย์มั่นใจว่ามีความเข้าใจอยู่มาก เพียงแต่ศิษย์กับเขามัวแต่ยุ่งอยู่กับการฝึกฝน ถึงไม่ได้พูดเรื่องนี้กับผู้อื่น ขออาจารย์โปรดให้อภัยด้วย” ขณะที่เจียหลานพูด นางก็หันไปกราบอวี้อินจื่อ
อวี้อินจื่อรีบประคองนางให้ลุกขึ้นมา และกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เอาล่ะ! อาจารย์ไม่ได้คิดที่จะตำหนิเจ้า แต่ว่าการฝึกฝนคู่เป็นเรื่องใหญ่ จำเป็นต้องรอบคอบให้มาก”
หลัวหยวนเห็นเช่นนี้ ก็ทำเสียงฮึดฮัดเบาๆ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว แม้แต่สถานะระดับเขาก็ดูเหมือนจะไม่อาจพูดอะไรมากได้
“ศิษย์น้องเจียหลาน ในเมื่อเจ้ากับหลิ่วหมิงยังไม่ได้เป็นสามีภรรยากันจริงๆ อีกทั้งเจ้ายังไม่เคยเปิดเผยสถานะคู่รักฝึกฝนต่อหน้าผู้อื่น ถ้าอย่างนั้นก็ไม่อาจถือเป็นเรื่องจริงได้ ในโลกของการฝึกฝน ผู้ฝึกฝนชายหลายคนตามจีบผู้ฝึกฝนหญิงคนเดียว นับว่าเป็นเรื่องที่พบเจอได้บ่อยมาก ข้าคงยังมีโอกาสสู่ขอเจ้ากับอาจารย์อาอวี้อินจื่ออยู่” ชายหนุ่มชุดผ้าแพรที่เงียบมาโดยตลอดเอ่ยปากในฉับพลัน
“ไม่ผิด! อันเอ๋อร์กล่าวได้มีเหตุผล” หลัวหยวนพยักหน้าด้วยตาที่เป็นประกาย
“อันนี้……” อวี้อินจื่ออ้ำอึ้งไปในทันที
“ศิษย์พี่อวี้อินจื่อ ศิษย์น้องกับลูกศิษย์มาด้วยใจจริง ศิษย์พี่คงไม่ให้แม้แต่โอกาสหรอกนะ”
หลัวหยวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม โดยที่ไม่รอให้อวี้อินจื่อพูดอะไรออกมา
“ได้ยินมาว่าช่วงนี้ศิษย์พี่ติดอยู่ที่คอขวดระดับแก่นแท้ขั้นกลาง ไม่อาจทะลวงได้สำเร็จ ในมือศิษย์น้องมีคัมภีร์ฮ่วนซินอยู่เล่มหนึ่ง เป็นข้อคิดประสบการณ์ที่ผู้อาวุโสฮ่วนซินทิ้งไว้ในปีนั้น ข้าบังเอิญโชคดีจึงได้มันมา เชื่อว่าคงจะช่วยศิษย์พี่ทะลวงระดับได้”
“คัมภีร์ข้อคิดประสบการณ์ของผู้อาวุโสฮ่วนซิน……” อวี้อินจื่อมีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก มีและความประหลาดใจในแววตาเล็กน้อย
พูดถึงผู้อาวุโสฮ่วนซิน นับว่าเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายยอดบริสุทธิ์ผู้หนึ่งเมื่อหมื่นกว่าปีมาแล้ว การฝึกฝนของเขาลึกล้ำจนยากจะคาดเดาได้ เล่าลือกันว่าได้บรรลุถึงระดับสูงสุดของระดับดาราพยากรณ์แล้ว ขาดเพียงก้าวเดียวก็จะเข้าสู่ระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์
แต่ก่อนคนผู้นี้ปรากฏตัวในยอดเขาดับสูญ ซึ่งชำนาญวิชามายา และค่ายกล แต่ว่าต่อมาได้ออกไปนอกนิกายยอดบริสุทธิ์ และหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ซึ่งนางเป็นถึงผู้อาวุโสของยอดเขา ย่อมเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน
และข้อคิดประสบการณ์ของผู้อาวุโสฮ่วนซิน มีความสำคัญต่อการฝึกฝนวิชามายาของอวี้อินจื่อที่ติดคอขวดเป็นอย่างมาก
ไม่เพียงแต่อวี้อินจื่อเท่านั้น เมื่อเทียนอินซ่างเหรินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หลักได้ยินคำว่า ‘คัมภีร์ฮ่วนซิน’ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
พอเจียหลานมองเห็นสีหน้าของทั้งสอง ใบหน้าของนางก็ซีดขาวเล็กน้อย
“อ้อ! ใช่แล้ว! ศิษย์น้องยังมีอีกเรื่องที่ยังไม่ได้พูด เหวินอันเป็นทายาทสายตรงของผู้อาวุโสเวินเกอที่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดในนิกายเรา และท่านก็ค่อนข้างให้ความสนใจเรื่องการสู่ขอในครั้งนี้มาก” พอหลัวหยวนเห็นสีหน้าของทั้งสาม ก็ดูเหมือนจะรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก ทันใดนั้นก็พูดข่าวสำคัญออกไป
………………………………