ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 761 ยอดเขาเวินโจ้วกับเวินเจิง
“อะไรนะ? ผู้อาวุโสเวิน……” อวี้อินจื่อมองดูเจียหลานด้วยความตกใจ และมีสีหน้าลังเลขึ้นมาทันที
เจียหลานได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกว่าจิตใจกำลังดำดิ่งลงสู่ก้นเหว ดวงตางดงามเศร้าสลดลงทันที
“พวกข้าย่อมต้องให้เกียรติอาจารย์อาเวินอยู่แล้ว แต่เจียหลานกับหลิ่วหมิงมีสัญญาฝึกฝนคู่อยู่แต่เดิมแล้ว ตามที่ข้าทราบมา หลิ่วหมิงไม่เพียงแต่เป็นศิษย์ของอินจิ่วหลิงจากยอดเขาลั่วโยวเท่านั้น ยังเป็นที่ถูกใจของท่านประมุขเทียนเกอเจินเหรินด้วย ก่อนหน้านั้นไม่นาน ท่านยังแนะนำให้เขาเป็นศิษย์สำคัญในการเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ด้วย หากศิษย์หลานเวินจะต้องแต่งกับเจียหลานให้ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้คำอธิบายต่อทั้งสองฝ่าย” เทียนอินซ่างเหรินกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“อันนี้……” พอได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของหลัวหยวนก็ดูเคร่งขรึมขึ้นมา
พอน้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อยของเทียนอินซ่างเหรินดังเข้าไปในหูเจียหลาน ก็ทำให้จิตใจของนางสั่นสะท้านเล็กน้อย หลังจากครุ่นคิดอย่างรวดเร็วแล้ว ก็กัดฟันกล่าวออกมา
“หากศิษย์พี่เวินจะแต่งกับข้าจริงๆ ล่ะก็ ศิษย์น้องยินดีให้โอกาสสักครั้ง เพียงแค่ศิษย์พี่เวินประลองกับข้าหนึ่งครั้ง และชนะข้าได้ด้วยตนเอง ข้าจะไปยกเลิกสัญญาคู่รักฝึกฝนกับศิษย์พี่หลิ่วที่ยอดเขาลั่วโยวเอง และตอบรับการสู่ขอของท่าน แต่หากไม่อาจเอาชนะได้ เราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก”
เวินอันได้ยินก็รู้สึกดีใจมาก เขาคิดที่จะเดินยืดอกออกไป แต่กลับถูกอาจารย์ของเขาจ้องตาเขม็ง
จากนั้นหลัวหยวนถึงหันหน้ามากล่าวกับเจียหลานอย่างราบเรียบ
“ศิษย์หลานเจียหลาน ต้องการเช่นนี้จริงๆ หรือ เวินอันเข้านิกายมาเป็นเวลาน้อยกว่าเจ้ามาก หากเป็นเช่นนี้เกรงว่าคงไม่ยุติธรรมไปหน่อย”
ด้วยสายตาระดับเขา ย่อมมองออกว่าระดับการฝึกฝนของนางสูงกว่าเวินอันเล็กน้อย หากทั้งสองประลองกันจริงๆ ล่ะก็ เวินอันมีโอกาสชนะไม่มากนัก
“นี่คือเงื่อนไขเล็กๆ ที่ศิษย์มีต่อสามีในอนาคต และก็เป็นการอ่อนข้อให้ครั้งสุดท้ายแล้ว” เจียหลานกลับส่ายหน้า และกล่าวด้วยสีหน้าหนักแน่น
“ศิษย์พี่ทั้งสอง พวกท่านมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้?” หลัวหยวนเงียบลงเล็กน้อย สายตามองไปที่เทียนอินซ่างเหรินกับอวี้อินจื่ออีกครั้ง
อวี้อินจื่อสบตากับเทียนอินซ่างเหรินทีหนึ่ง
เพราะเจียหลานเป็นศิษย์ยอดเขาเลื่อนลอย และพวกเขาก็รู้สึกเกรงกลัวเทียนเกอเจินเหริน จึงไม่อาจบังคับกันตรงๆ ได้
“เงื่อนไขที่เจียหลานเสนอขึ้นมานี้ ก็ไม่ได้หนักหนาจนเกินไป ผู้ฝึกฝนอย่างพวกเราใช้พลังพูดกันดีกว่า” ในที่สุดอวี้อินจื่อก็กระแอมไอเบาๆ ก่อนกล่าวออกมา
เทียนอินซ่างเหรินคิดชั่งน้ำหนักไปรอบหนึ่ง และก็พยักหน้าเล็กน้อย ประจักษ์ชัดว่ายอมรับเรื่องนี้โดยปริยาย
“ในเมื่อศิษย์พี่ทั้งสองต่างก็เห็นด้วยกับการที่จะใช้การประลองเพื่อตัดสินเรื่องนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าเองก็ไม่มีข้อคัดค้านใดๆ แต่ว่าไม่สู้เปลี่ยนวิธีการสักหน่อยไหม พวกเจ้าทั้งสองไปหาศิษย์รุ่นเดียวกันที่มีความสัมพันธ์กันมาช่วยได้หนึ่งคน และทำการประลองคู่สักรอบดีหรือไม่?” หลัวหยวนได้ยินก็เลิกคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง และเสนอออกมาเช่นนี้
เทียนอินซ่างเหรินกับอวี้อินจื่อรู้สึกอึ้งไปอีกรอบ!
ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไปหาผู้ที่มีความสัมพันธ์เบื้องหลังมาช่วย เจียหลานจะต้องไปหาหลิ่วหมิงอย่างแน่นอน เช่นนี้แล้วมันก็เป็นข้อคิดเห็นที่ไม่เลว
หากหลิ่วหมิงพ่ายแพ้ในการประลอง ก็ต้องโทษที่พลังของตัวเองไม่พอเอง ไม่มีเหตุผลที่จะตำหนิยอดเขาเลื่อนลอยได้
แต่หากว่าทางด้านเวินอันพ่ายแพ้ล่ะก็…..
“ศิษย์พี่ทั้งสอง ไม่ว่ายอดเขาดับสูญของข้าจะพ่ายแพ้หรือได้รับชัยชนะในครั้งนี้ ผลประโยชน์ที่เคยสัญญาไว้ก็จะเป็นไปตามนั้น” พอหลัวหยวนเห็นท่าทีลังเลของทั้งสอง ก็สะบัดแขนเสื้อกล่าวอย่างอาจหาญ
“อ๋อ! ศิษย์น้องหลัวพูดจริงหรือ?” เทียนอินซ่างเหรินรู้สึกแปลกใจมาก
“แน่นอน! ต่อหน้าศิษย์พี่ทั้งสอง ศิษย์น้องยังกล้ากล่าวเท็จอยู่หรือ?” หลัวหยวนกล่าวโดยไม่ต้องคิด
“ดูท่าศิษย์น้องจะมั่นใจการประลองในครั้งนี้มาก ดี! ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้” เทียนอินซ่างเหรินส่งเสียงกล่าวกับอวี้อินจื่ออย่างราบเรียบสองสามประโยค จากนั้นก็ตัดสินใจออกมา
พอมองเห็นสีหน้าเชื่อมั่นของหลัวหยวน เจียหลานก็รู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อย แต่นางเป็นคนพูดข้อเสนอนี้ขึ้นมาเอง มาจนถึงขั้นนี้แล้ว ย่อมไม่อาจพูดอะไรได้อีก
ต่อมา ภายใต้การเป็นพยานของผู้อาวุโสทั้งสาม เจียหลานกับเวินอันก็นัดหมายการประลองในอีกครึ่งเดือนให้หลัง สถานที่ก็คือยอดเขาเลื่อนลอยนั่นเอง
“ใช่สิ! ผู้ควบคุมหลัวมีความมั่นใจเช่นนี้ หรือว่าได้เลือกคนไว้แล้ว?” สุดท้ายอวี้อินจื่อก็พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยปากถามอย่างอดไม่ได้
“อืม! เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมคนหนึ่ง เป็นศิษย์ที่เก็บตัวมานานร้อยกว่าปี คือเวินเจิงที่มีฉายาว่าคาถาทำลายล้างสิบประการ เพิ่งออกจากการเก็บตัวเมื่อเดือนก่อน คนผู้นี้ก็เป็นอาของศิษย์ข้าพอดี” หลัวหยวนหาวแล้วกล่าวออกมา
“อะไรนะ! คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนผู้นี้?” เทียนอินซ่างเหรินและอวี้อินจื่อได้ยินเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
แม้ว่าเจียหลานจะไม่รู้จักเวินเจิงอะไรนั่น แต่ดูจากสีหน้าของทั้งสอง จิตใจของนางก็ร่วงหล่นไปในฉับพลัน
ขณะนี้ อวี้อินจื่อถึงหันไปพูดเรื่องยอดเขาเวินโจ้วและเวินเจิงให้กับศิษย์ผู้นี้ฟังเล็กน้อย
สุดท้ายเจียหลานยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกตกใจ สีหน้าที่เพิ่งฟื้นกลับมาเล็กน้อย กลับดูซีดขาวขึ้นมาอีกครั้ง
ยอดเขาเวินโจ้วเป็นยอดเขาแห่งหนึ่งในนิกายยอดบริสุทธิ์ที่มีลักษณะค่อนข้างโดดเด่นโดยเฉพาะ เชี่ยวชาญในการฝึกวิชาคาถาสาปแช่ง ศิษย์ในยอดเขาก็มีนิสัยผิดปกติเนื่องจากการฝึกฝน โดยเฉพาะเวินเจิงผู้นี้ไม่เพียงแต่มีพลังไม่ธรรมดา การลงมือก็เหี้ยมโหดเป็นอย่างยิ่ง
ว่ากันว่าตอนที่การฝึกฝนของคนผู้นี้ยังไม่บรรลุระดับผลึกขั้นกลางนั้น ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ไปทางดินแดนเหนือสุดของแผ่นดินจงเทียนกับศิษย์อีกคนหนึ่ง เพื่อตรวจสอบคดีทำลายล้างตระกูลในเขตพื้นที่ของกลุ่มอิทธิพลชั่วร้ายที่มีผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ผู้หนึ่งประจำการอยู่
หลังจากตรวจสอบไปหนึ่งรอบ ทั้งสองก็ได้หลักฐานที่หนาแน่นแล้ว และเห็นชัดว่าเรื่องนี้เป็นการกระทำของคนในนิกายชั่วร้ายนั้น
สุดท้ายเวินเจิงไม่สนใจคำห้ามปรามของศิษย์อีกคน เขาจะไปขอคุยกับอีกฝ่ายเพียงคนเดียว และผู้เฒ่าระดับผลึกขั้นต้นของนิกายนั้นกลับไม่ยอมรับในเรื่องนี้ ภายใต้การพูดจาไม่ถูกใจกัน ทั้งสองจึงลงมือกันทันที
แต่ทว่าที่ทำให้คนคิดไม่ถึงก็คือ เวินเจิงอาศัยเคล็ดวิชาสาปสังหารแปลกประหลาดต่อสู้กับผู้เฒ่าของฝ่ายตรงข้ามติดต่อกันสามวันสามคืน สุดท้ายก็สาปสังหารฝ่ายตรงข้ามในทีเดียว ทั้งยังดับสูญทั้งร่างกายและจิตวิญญาณก่อนหายไปจากโลกนี้โดยสมบูรณ์
จากนั้นเขาก็เปิดฉากสังหารคนของผู้เฒ่าท่านนี้ ดูเหมือนว่าต้องการใช้เลือดล้างนิกายของฝ่ายตรงข้าม
หลังการเข่นฆ่าผ่านพ้นไป ศิษย์เกือบร้อยคนก็หนีมาหลบอยู่ในเมืองมนุษย์ธรรมดาเล็กๆ ที่อยู่บริเวณนั้น
และเวินเจิงที่สังหารจนเลือดขึ้นหน้า ก็วางชั้นจำกัดบางอย่างไว้นอกเมืองแห่งนั้น ภายในระยะเวลาหนึ่งคืน ก็สาปสังหารมนุษย์ธรรมดาหลายแสนคนกับผู้ฝึกฝนนับร้อยจนหมดสิ้น ภายในเมืองเกิดภาพสังเวชอยู่ชั่วเวลาหนึ่ง ราวกับเป็นนรกบนโลกมนุษย์
พอส่งเรื่องนี้กลับมา ก็เกิดความโกลาหลขึ้นในนิกายยอดบริสุทธิ์ เป็นผลให้ผู้ควบคุมยอดเขาเวินโจ้วกับหอคุมกฎเกิดการโต้เถียงกัน แต่พอทำการหักกลบลบล้างกันแล้ว ก็ลงโทษห้ามไม่ให้ออกไปจากนิกายแม้แต่ก้าวเดียวเป็นเวลาสามสิบปี ทำให้ผู้คนรู้สึกปากอ้าตาค้างเล็กน้อย
อย่างที่รู้ว่า หากคนอื่นกระทำการอันเลวร้ายเช่นนี้ ถ้าไม่ถูกทำลายการฝึกฝนโดยตรง ก็จะถูกส่งไปขังไว้ในคุกห้าขุนเขาสองขั้วเป็นเวลาร้อยปีถึงจะได้
ขณะที่เจียหลานรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากนั้น หลัวหยวนก็มองดูอาการเปลี่ยนแปลงบนสีหน้าของนาง จากนั้นก็หันไปกล่าวลากับเทียนอินซ่างเหรินด้วยรอยยิ้ม และพาเวินอันจากไป
“อาจารย์ อาจารย์อา ศิษย์ก็ต้องขอตัวก่อน” เจียหลานคารวะทั้งสองด้วยสีหน้าที่ดูไม่ดีมากนัก จากนั้นก็ไปจากวิหารด้วยจิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“สร้างความลำบากใจให้เจ้าเด็กนี่จริงๆ” อวี้อินจื่อมองดูจนเจียหลานหายไปจากประตูวิหาร และกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าสลด
“ผลประโยชน์ที่หลัวหยวนเสนอมานั้น มันมากจริงๆ ข้ากับเจ้าไม่อาจเอ่ยปากปฏิเสธได้ แต่เจ้าว่าหากหลิ่วหมิงสู้กับเวินเจิงผู้นี้ จะมีโอกาสเอาชนะหรือไม่?” เทียนอินซ่างเหรินถอนหายใจแล้วถามกลับไปหนึ่งประโยค
“แม้ว่าหลิ่วหมิงจะเคยแลกมือกับหลัวเทียนเฉิงมาก่อน และยังเสมอกันด้วย พลังแฝงของหลัวเทียนเฉิงก็คงจะเหนือกว่าเวินเจิง แต่เป็นเพราะว่าเวลาในการฝึกฝนค่อนข้างสั้น ทั้งสองยังคงไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกันได้” แม้ว่าอวี้อินจื่อจะไม่ได้ตอบกลับไปโดยตรง แต่ความหมายในคำพูดไม่ต้องบอกก็รู้
เช้าตรู่วันที่สอง
หน้าถ้ำที่พักของหลิ่วหมิงบนยอดเขาลั่วโยว แสงสีม่วงสลัวๆ ลำหนึ่งพุ่งยิงเข้ามา และหยุดลงบนอากาศเหนือถ้ำ
ขณะที่เกิดระลอกคลื่นหมอกจางๆ ในยามเช้า เงาร่างสีฟ้าก็ร่วงลงมาจากท่ามกลางลำแสงสีม่วง
นางก็คือเจียหลานนั่นเอง!
นางยืนลังเลอยู่หน้าถ้ำหลิ่วหมิงครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ยกแขนขึ้นเคาะประตูเบาๆ
“ศิษย์น้องเจียหลาน?” ประตูใหญ่เปิดออก หลิ่วหมิงที่สวมชุดสีดำเดินออกมา พอเห็นคนที่ยืนอยู่หน้าประตู ก็ต้องหลุดปากด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย
“ศิษย์พี่หลิ่ว ไม่เจอกันนานเลย ไม่ต้อนรับข้าหรือ?” เจียหลานกล่าวด้วยรอยยิ้มพราย
“ข้าก็แค่คิดไม่ถึงว่าศิษย์น้องจะมาเยี่ยมเยียนอย่างกะทันหันเช่นนี้ ข้าย่อมยินดีต้อนรับอย่างสุดซึ้ง” หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่แสดงอาการใดๆ บนสีหน้า และเบี่ยงตัวหลบให้เจียหลานเข้าไปข้างในก่อนปิดประตูลง
ครู่ต่อมา ภายในห้องโถง
“บ้านดูทรุดโทรมไปหน่อย ขอศิษย์น้องเจียหลานอย่าได้ถือสา” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ปกติถ้ำของเขาไม่ค่อยมีคนมาอยู่แล้ว ห้องรับแขกตกแต่งแบบเรียบง่ายมาก มีแค่โต๊ะหิน ตั่งน้ำชา และเก้าอี้ไม้สีแดงขนาดใหญ่ไม่กี่ตัวเท่านั้น แลดูโล่งเป็นอย่างมาก
“แต่ก่อนที่อยู่ในนิกายปีศาจ ศิษย์พี่หลิ่วตั้งใจฝึกฝนเป็นอย่างมาก ศิษย์น้องนับถือเป็นยิ่งนัก” เจียหลานกลับส่ายหน้ากล่าวด้วยความชื่นชม
“อ้อ? ศิษย์น้องจำเรื่องเมื่อก่อนได้แล้ว” หลิ่วหมิงถามด้วยใจที่เต้นขึ้นมา
“หลายปีมานี้ศิษย์น้องฝึกฝนเคล็ดวิชาบางอย่างกับอาจารย์ ความทรงจำแต่ก่อนจึงฟื้นฟูมาเล็กน้อยแล้ว ตอนอยู่ในนิกายปีศาจ ศิษย์พี่หลิ่วเคยช่วยข้าอยู่หลายครั้ง” เจียหลานกล่าวด้วยใบหน้าที่แดงเล็กน้อย
“นั่นมันเรื่องของเมื่อก่อน ศิษย์น้องสามารถฟื้นคืนความจำมาได้ ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว” พอเห็นว่าเจียหลานสามารถจำเรื่องราวเมื่อก่อนได้แล้ว หลิ่วหมิงก็เผยสีหน้าดีใจออกมา
ตอนที่อยู่บนเกาะตะพาบน้ำในอวิ๋นชวนนั้น นางมีสายเลือดเผ่าเจ้าสมุทรครึ่งหนึ่ง และเคยหักหลังนิกายปีศาจมาก่อน แต่ขณะที่ทั้งสองมาถึงแผ่นดินจงเทียน และเข้าร่วมนิกายยอดบริสุทธิ์แล้วทราบว่าเผ่าเจ้าสมุทรก็เป็นกิ่งก้านสาขาหนึ่งของมนุษย์ อีกอย่างก็นับว่านางเป็นคนรู้จักเพียงหนึ่งเดียวที่มาจากอวิ๋นชวนด้วยกัน ความหมางใจแต่เดิมจึงไม่มีเหลืออยู่แล้ว
แม้ว่าต่อมาทั้งสองจะพบเจอกันในนิกายน้อยมาก แต่ทั้งสองต่างก็มีความรู้สึกของความใกล้ชิดมากกว่าคนอื่นๆ
“พี่หลิ่ว ความจริงที่ข้ามาในวันนี้เพราะมีเรื่องขอให้ช่วย” หลังจากเจียหลานนั่งลงไปแล้ว ก็กระพริบตาและกัดริมฝีปากเล็กน้อยก่อนกล่าวออกมา
“อ๋อ! ศิษย์น้องมีอะไรก็พูดมาได้เลย” หลิ่วหมิงได้ยินก็หรี่ตาทั้งคู่ขึ้นมา
………………………………