ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 762 ตอบรับออกศึก
“ศิษย์พี่หลิ่ว เรื่องราวมันเป็นแบบนี้…” ดูเหมือนเจียหลานจะตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ หลังจากถอนหายใจเบาๆ แล้ว ก็พูดเรื่องที่หลัวหยวนมาสู่ขอออกไปโดยไม่คิดที่จะปิดบังแต่อย่างใด
หลิ่วหมิงมองดูเจียหลานด้วยอาการตกตะลึงจนปากอ้าตาค้างเล็กน้อย ตอนที่ได้ยินนางบอกว่ามีสัญญาฝึกฝนคู่กับเขานั้น สีหน้าเขาก็ดูแปลกๆ เล็กน้อย แต่ก็กลับมาสงบอย่างรวดเร็ว
“…เรื่องที่นำศิษย์พี่หลิ่วมาเป็นข้ออ้าง ขอได้โปรดอภัยด้วย ตอนนั้นข้ารู้สึกกระวนกระวายใจจริงๆ ภายใต้สถานการณ์เร่งด่วนไม่อาจคิดอะไรมากได้ เพียงแค่อยากปิดปากคนผู้นั้น แต่กลับคิดไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามจะเสนอให้ประลองกันสี่คน” ขณะที่พูดมาถึงตรงนี้ แก้มของนางก็แดงระเรื่อ และกล่าวขอโทษเล็กน้อย
“ศิษย์น้องเจียหลานไม่ต้องรู้สึกผิดไป เจ้ากับข้าก็นับว่าเป็นสหายเก่า เรื่องเหล่านี้เป็นแค่เรื่องเล็กๆ เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจ” หลิ่วหมิงค่อยๆ กล่าวออกมา
“ขอบคุณศิษย์พี่มาก” เจียหลานได้ยินก็ลุกขึ้นมาคารวะด้วยความดีใจ จากนั้นก็ทำเหมือนจะพูดอะไรออกมา แต่กลับหยุดไว้
ไหนเลยหลิ่วหมิงจะไม่รู้ว่านางคิดจะพูดอะไร เขาจึงโบกมือให้นางนั่งลง และถามกลับไป
“ที่ศิษย์น้องมาในครั้งนี้ คงคิดที่จะเชิญข้าไปประลอง ช่วยเจ้ารับมือกับเวินเจิงผู้นั้นสินะ?”
“พี่หลิ่วเป็นศิษย์สายในที่มีพลังแข็งแกร่งที่ข้ารู้จัก อีกทั้งการประลองในครั้งนี้จะต้องเป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์กันถึงจะสามารถลงมือได้ ศิษย์ก็ได้แต่บากหน้ามาเชิญพี่หลิ่วช่วยสักครั้ง” ได้ยินน้ำเสียงของหลิ่วหมิงที่ไม่ได้มีนัยของการปฏิเสธ เจียหลานก็รู้สึกดีใจมาก นางจึงรีบพูดวิงวอนออกมา
หลิ่วหมิงฟังจบก็ไม่ได้ตอบรับในทันที แต่กลับนั่งเงียบอยู่บนเก้าอี้
ด้วยนิสัยของเขา เรื่องยุ่งยากเช่นนี้ถ้าเลี่ยงได้ก็จะเลี่ยงทันที แต่ตอนนี้เจียหลานตกที่นั่งลำบากอยู่ หากเขาไม่สนใจเรื่องนี้ล่ะก็ ผลลัพธ์ของนางไม่ต้องบอกก็คงรู้ดี
พอนึกถึงการที่เจียหลานถูกบังคับให้แต่งงานกับคนแปลกหน้า หลิ่วหมิงก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
แต่ว่าเพราะเรื่องนี้มันไม่ได้ง่ายเหมือนการต่อสู้กับเวินเจิงเท่านั้น เพียงแค่เขารับปาก ก็เท่ากับว่าเป็นปรปักษ์กับยอดเขาดับสูญและยอดเขาเวินโจ้ว ทั้งยังพัวพันถึงผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์อย่างเวินเก๋อด้วย
พอหลิ่วหมิงคิดมาถึงจุดนี้ ก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย
“ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ทำให้ศิษย์พี่หลิ่วลำบากใจ เพียงแค่พี่หลิ่วยอมช่วยข้าสักครั้ง หลายปีมานี้ข้าก็สะสมหินจิตวิญญาณมาไม่น้อย และยังมีโอสถที่อาจารย์มอบให้…” เจียหลานนำถุงหนังใบหนึ่งและขวดหยกหลายใบออกมา และจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยแววตาน่าสงสาร
หลิ่วหมิงมองเห็นท่าทีทำอะไรไม่ถูกของเจียหลาน ก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใจถึงรู้สึกใจอ่อน หลังจากอุทานออกมาเบาๆ แล้ว ก็ตัดสินใจออกมาได้
“ศิษย์น้องไม่ต้องทำเช่นนี้ ครั้งนี้ข้าช่วยเจ้าก็พอ ข้าเองก็ไม่ขาดแคลนสิ่งของนอกกาย ศิษย์น้องเก็บไว้เถอะ”
“ขอบคุณพี่หลิ่วมาก! ครั้งนี้ศิษย์น้องติดค้างน้ำใจศิษย์พี่หนึ่งครั้ง วันหน้าจะต้องตอบแทนอย่างแน่นอน” เจียหลานได้ยินก็รู้สึกดีใจมาก จากนั้นกัดริมฝีปากเบาๆ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าซาบซึ้งใจ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ขอศิษย์น้องพูดสถานการณ์ของการประลองให้ข้าฟังอย่างละเอียดเถิด รวมถึงเรื่องของเวินเจิงผู้นั้นด้วย” หลิ่วหมิงพยักหน้า ทันใดนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันที
“ได้! การประลองในครั้งนี้กำหนดไว้ในอีกครึ่งเดือนหน้า สถานที่คือยอดเขาเลื่อนลอย…” เจียหลานได้ยินเช่นนี้ ก็รีบเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้หลิ่วหมิงฟัง
เวลาครึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนถึงตอนที่พระอาทิตย์ตกดินนั้น นางถึงออกไปจากถ้ำที่พักของหลิ่วหมิง
ขณะที่เจียหลานกำลังหารือเรื่องนี้กับหลิ่วหมิงอยู่นั้น ข่าวเรื่องที่ว่าหลิ่วหมิงทำการประลองเพื่อเจียหลานแห่งยอดเขาเลื่อนลอยโดยไม่คำนึงถึงเวินเจิง เวินอัน และคนอื่นๆ นั้น ถูกคนปล่อยข่าวจนแพร่ไปทั่วนิกาย
วันต่อมา เทียนอินซ่างเหรินประมุขยอดเขาเลื่อนลอยกับหลัวหยวนประมุขยอดเขาดับสูญ ออกมาประการยืนยันเรื่องนี้พร้อมกัน ย่อมก่อให้เกิดความฮือฮาขึ้นมาไม่น้อย
อย่างที่รู้ว่าหลิ่วหมิง เวินเจิง ล้วนเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในนิกาย และเจียหลานเองก็มีรูปโฉมงดงามจนเป็นที่ชอบของศิษย์ชายทั้งสายในและสายนอก งานประลองในครั้งนี้ย่อมดึงดูดความสนใจของศิษย์ในนิกายจำนวนมาก
ภายในถ้ำที่พักแห่งหนึ่งในยอดเขากระบี่สวรรค์ หลังจากซาทงเทียนฟังรายงานจบแล้ว ก็ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าซีดเผือดทันที
“เวินเจิง…” ซาทงเทียนพูดพึมพำออกมา และนั่งลงไปทันที
ซาทงเทียนไม่เหมือนกับคนบางส่วนที่ต้องการดูความคึกคักเท่านั้น เขาใช้เวลาจำนวนมากถึงสืบเรื่องที่เวินอันสู่ขอเจียหลานมาได้ และก็ด้วยเหตุนี้เขาถึงมีสีหน้าร้อนรนมากยิ่งขึ้น
แต่ว่านอกจากนี้แล้ว เขาก็ทำอะไรไม่ได้ แม้ว่าพลังของเขาในตอนนี้จะไม่เลว แต่เทียบกับผู้แข็งแกร่งอย่างเวินเจิงแล้ว ยังห่างชั้นอีกมาก
และอิทธิพลของตระกูลเวินในนิกายยอดบริสุทธิ์ ก็ไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลซาจะสามารถเปรียบเทียบได้เช่นกัน
“ตอนนี้คงได้แต่อาศัยหลิ่วหมิงผู้นั้นแล้ว บางทีเขาอาจจะโชคดีเอาชนะเวินเจิงได้…” ซาทงเทียนนึกถึงการประลองในวันนั้น กระบี่อันน่าตกใจของหลิ่วหมิงทำให้เขารู้สึกโล่งใจเล็กน้อย
……
ขณะเดียวกัน ภายในถ้ำที่พักอีกแห่งบนยอดเขากระบี่สวรรค์ หลังจากหลงเหยียนเฟยมองดูอักขระเล็กๆ บนแผ่นค่ายกลแล้ว ก็เผยแววตาซับซ้อนออกมา
หลังผ่านไปพักใหญ่ๆ นางถึงเผยรอยยิ้มออกมาจางๆ ก่อนพูดพึมพำออกมา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ศิษย์น้องเจียหลาน ในเมื่อเจ้ามองเห็นความสำคัญของหลิ่วหมิงเช่นนี้ ก็ดูว่าครั้งนี้เขาจะมีกำลังช่วยเจ้าจากมือของเวินเจิงได้หรือไม่”
……
ยอดเขาลูกแรกในนิกาย ยอดเขาสวรรค์ลี้ลับสูงตระหง่านกว่ายอดเขาจำนวนหนึ่งที่อยู่บริเวณนั้นมาก บนยอดเขาเป็นพื้นที่ราบเรียบ พระราชวังหยกเป็นแถวๆ ดูสูงเสียดฟ้า ถูกไอหมอกจางๆ ล้อมรอบไว้ แสดงให้เห็นถึงรูปแบบของตระกูลเซียนที่สง่างามและหรูหรา
ลานหยกขาวบนยอดเขา หลัวเทียนเฉิงที่สวมชุดผ้าแพรสีเงินเดินออกมาจากตำหนักแห่งหนึ่ง
ขณะนั้นเอง แสงหลบหลีกสีดำก็พุ่งเข้ามาจากด้านหน้า และร่วงลงมา หลังจากไอดำสลายไปแล้ว ก็เผยให้ชายหนุ่มหน้าตามุทะลุคนหนึ่งที่ก้าวมาด้านข้างของหลัวเทียนเฉิงอย่างรวดเร็ว และกะพริบออกมาเบาๆ สองสามประโยค
“อ้อ? มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ” หลัวเทียนเฉิงฟังจบก็กล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“เรื่องนี้แพร่ไปทั่วนิกายแล้ว งานประลองจะเกิดขึ้นในอีกครึ่งเดือนหน้า ศิษย์น้องหลัวเจ้าจะได้สังเกตดูพลังที่แท้จริงของหลิ่วหมิงจากการประลองในครั้งนี้พอดี” ชายหนุ่มกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“พลังของหลิ่วหมิง ข้ารู้จักเป็นอย่างดี ไม่ควรค่าที่จะกังวลแต่อย่างใด สามารถเอาชนะเขาได้ง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ เพียงแต่ว่าตอนนั้นอยู่ตรงหน้าวิหารไท่เจิน จึงไม่สะดวกจะลงมือด้วยพลังทั้งหมดก็เท่านั้น จะว่าไปแล้ว คนอีกคนในงานประลองนี้ถึงเป็นคนที่ควรค่าให้ข้าสนใจมากกว่า” หลัวเทียนเฉิงกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“อ้อ! ศิษย์พี่หมายถึงเวินเจิงหรือ?” ชายหนุ่มรู้สึกอึ้งไปทันทีเมื่อได้ยินเช่นนี้
“ถูกต้อง แม้ว่าคนผู้นี้จะเป็นศิษย์เก่าแก่ในนิกาย แต่ว่าอายุก็ไม่มาก ผู้อาวุโสในนิกายส่วนหนึ่งค่อนข้างให้ความสำคัญกับเขามาก ได้ยินมาว่าหลังออกจากการเก็บตัวในครั้งนี้ ก็มีคนเสนอชื่อให้เขาเป็นศิษย์ลับแล้ว”
“สำหรับข้าในตอนนี้แล้ว ที่สำคัญที่สุดก็คือศิษย์ลับ เทียบกับสิ่งนี้แล้ว แม้แต่งานประตูประสวรรค์ก็ไม่เข้าตาข้า” หลัวเทียนเฉิงกล่าวอย่างราบเรียบ พอโบกมือ หมอกควันสีเงินกลุ่มหนึ่งก็ห่อหุ้มร่างกายไว้ และกลายเป็นแสงสีเงินพุ่งขึ้นฟ้า
เหลือไว้แค่ชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยสีหน้าครุ่นคิดเท่านั้น
……
ยังคงเป็นมิติลึกลับในนิกายยอดบริสุทธิ์แห่งนั้น จินเทียนชื่อที่สวมชุดคลุมสีทองกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในศาลา มีแสงดาวหมุนวนอยู่รอบตัวจำนวนมาก แต่หากมองดูอย่างละเอียด กลับค้นพบว่าแสงดาวแต่ละดวงต่างก็คล้อยตามวิถีบางอย่างอยู่ แลดูลึกลับยิ่งนัก
ขณะนั้นเอง ยันต์ส่งสารสีแดงเพลิงก็พุ่งเข้ามาจากที่ไกลๆ
จินเทียนชื่อลืมตาขึ้นมา พอยกแขนเสื้อขึ้น แสงดาวจางๆ จำนวนมากก็ม้วนตัวออกจากในนั้น พอกะพริบแค่ทีเดียว ก็ม้วนยันต์ส่งสารเข้ามา
“ฮ่าๆ!…” ผ่านไปสักพัก ก็มีเสียงหัวเราะของจินเทียนชื่อดังออกจากศาลา
“น่าสนุก น่าสนุก ดูท่าท่านประมุขคงยังไม่รู้สึกวางใจหลิ่วหมิง เกรงว่าคงต้องไปดูพลังที่แท้จริงของเขาสักหน่อยแล้ว” จินเทียนชื่อมองดูยันต์ส่งสารในมือ ทันใดนั้นก็กำนิ้วทั้งห้าขยี้ยันต์จนแตกกระจาย จากนั้นก็หลับตานั่งสมาธิต่อ
…..
ภายในวิหารใหญ่ของยอดเขาลั่วโยว ในมืออินจิ่วหลิงถือยันต์ส่งสารอยู่ผืนหนึ่งเช่นกัน ใบหน้าที่แห้งเหี่ยวครึ่งซีก ชุ่มชื้นครึ่งซีกไร้ซึ่งความรู้สึก ทำให้ไม่อาจรู้ได้ว่าในใจเขากำลังคิดอะไรอยู่
ผู้อาวุโสชุดคลุมสีเทาผู้หนึ่งยืนอยู่ด้านข้างของเขา และกล่าวด้วยสีหน้ากังวล
“ศิษย์พี่อิน อีกไม่นานงานประตูสวรรค์ก็เริ่มขึ้นแล้ว ตอนนี้หลิ่วหมิงยังไปประลองกับเวินเจิงอีก หากมีอะไรผิดพลาด ก็ไม่เท่ากับว่าส่งผลกระทบต่อการแสดงพลังในงานประตูสวรรค์หรอกหรือ เพราะการที่สามารถเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ได้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่สู้ให้ท่านออกหน้าไปเกลี้ยกล่อมให้เขาถอนตัวออกจากการประลองในครั้งนี้เถอะ”
“ผู้อาวุโสอวี๋ไม่ต้องกังวลไป ก็แค่การประลองของศิษย์เท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด” อินจิ่วหลิงส่ายหน้ากล่าวอย่างสงบ
แม้ว่าพลังของเวินเจิงจะน่ากลัว แต่ว่าศิษย์ของเขาผู้นี้ ก็มีพลังลึกล้ำจนยากจะคาดเดาได้เหมือนกัน ในเมื่อหลิ่วหมิงตอบรับการประลอง ไม่แน่อาจจะมีความมั่นใจว่าจะเอาชนะได้ก็เป็นไปได้
ผู้อาวุโสชุดเทาได้ยินก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมา ดูเหมือนว่าเขายังคิดที่จะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกอินจิ่วหลิงโบกมือห้ามปรามไว้
ภายใต้สถานการณ์ที่ผู้อาวุโสไม่สามารถทำอะไรได้ จึงได้แต่บอกลาแล้วจากไป
ครึ่งเดือนต่อมา การประลองที่สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งนิกายก็ได้เปิดฉากขึ้น
บริเวณไหล่เขายอดเขาเลื่อนลอยที่สูงเสียดฟ้า ใจกลางลานกว้างแห่งหนึ่งที่มีพื้นที่หลายสิบหมู่ ถูกม่านแสงสีขาวสลัวๆ ปกคลุมไว้
ท่ามกลางม่านแสง เจียหลานที่สวมชุดกระโปรงสีฟ้ากำลังลอยอยู่กลางอากาศ คิ้วงดงามขมวดขึ้นมา แลดูหนักใจเป็นอย่างมาก
และบนม่านแสงก็มีผู้อาวุโสหนวดขาวที่สวมชุดคลุมสีขาวผู้หนึ่งลอยอยู่ มือทั้งสองห้อยอยู่ด้านหลัง สีหน้าค่อนข้างเยือกเย็นเป็นอย่างมาก
ขณะนี้ท้องฟ้ากำลังสว่าง ยังห่างจากงานประลองราวๆ ครึ่งชั่วยาม แต่รอบด้านลานกว้างกลับเต็มไปด้วยศิษย์ทั้งสายในและสายนอกมารวมตัวกัน โดยยืนอยู่เป็นกลุ่มๆ กลุ่มละสองสามคน และกำลังกระซิบพูดจาอะไรกันอยู่
สายตาของศิษย์หลายคนมองไปยังเจียหลานที่อยู่บนอากาศเป็นครั้งคาว
……
ขณะเดียวกัน ภายในมิติลึกลับบางแห่งในนิกายยอดบริสุทธิ์
จินเทียนชื่อกับเทียนเกอเจินเหรินกำลังนั่งอยู่ในศาลากลางทะเลสาบ อากาศนอกศาลามีฉากวารีที่กว้างยาวสิบกว่าจั้งเปิดอยู่ ท่ามกลางคลื่นแสงที่สั่นสะเทือน สามารถมองเห็นสถานการณ์บนยอดเขาเลื่อนลอยอย่างชัดเจน
………………………………