ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 765 เผด็จศึกบนยอดเขาเลื่อนลอย (3)
“หลิ่วหมิง อย่าได้เสียแรงเปล่าเลย! ในเมื่อค่ายกลคำสาปพิบัติสำเร็จแล้ว เจ้าก็อวยพรให้ตัวเองโชคดีก็แล้วกัน!” เวินเจิงดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ และคำรามออกมาอย่างดุร้าย
จะเห็นว่าอีกาสีดำเทาทั้งสามสิบหกตัวบินเร็วขึ้นเรื่อยๆ และก่อตัวเป็นทรงกลมสีดำเทารอบตัวเขา พอเงากำปั้นที่เหลือโจมตีลงบนพื้นผิวทรงกลม ก็มีแสงสีเทาจางๆ หมุนวน และค่อยๆ แตกกระจายออกมา
หลิ่วหมิงกลับมีใบหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก แขนทั้งสองพร่ามัวอยู่ครู่หนึ่ง และปล่อยเงากำปั้นออกไปมากกว่าเดิม
ภายใต้การประสานกันไปมาของแสงสีเทาและเงากำปั้น ลูกทรงกลมสีเทาดำก็สั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่ง แต่ยังคงไม่อาจโจมตีเข้าไปด้านในได้เลยแม้แต่น้อย
และเวินเจิงก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ดึงม้วนคัมภีร์โบราณสีดำที่มีขนาดเท่าแขนออกมา พอคลี่มันออก จะเห็นว่าบนม้วนคัมภีร์มีอักขระโบราณเรียบง่ายจำนวนมากประทับอยู่ และตำแหน่งกลางสุดจะมีภาพวาดอีกายักษ์อยู่หนึ่งตัว
นิ้วทั้งสิบของเวินเจิงดีดออกไปอย่างรวดเร็ว พลังสีเทาเก้าสายพุ่งใส่ม้วนคัมภีร์ติดต่อกัน แสงสีเทาสว่างขึ้นมาทันที อักขระจำนวนมากพุ่งออกมาจากไอดำราวกับมีชีวิต
“ฟู่!” เขาพ่นโลหิตบริสุทธิ์ลงบนม้วนคัมภีร์ ทำให้แสงสีเทาสว่างไสวมากกว่าเดิมหลายเท่า เกิดเปลวไฟลุกไหม้ภาพอีกาที่อยู่ในนั้นทันที
มีเสียงอีกาดังทะลุผ่านทองคำหยก เงาร่างอีกาขนาดหนึ่งจั้งกว่าๆ พุ่งออกมาจากเปลวไฟ มันแลดูอัปลักษณ์ยิ่งนัก ร่างกายอ้วนฉุ ลูกตาสีแดงทั้งคู่แผ่แสงเย็นสะท้านออกมา
เงาร่างอีกาหมุนวนอยู่กลางอากาศ เวินเจิงร่ายคาถาเสียงสูงต่ำออกมา
สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปในทันที พอส่งเสียงตะโกนออกมา ไอดำก็พวยพุ่งออกจากตัว ขณะเดียวกันปีศาจสมุทรแปดขาก็ปรากฏออกมา และกลายร่างเป็นชุดเกราะสีเงินจางๆ มือทั้งสองถูกปกคลุมไปด้วยถุงมือสีเงินที่มีหนามอันแหลมคม
พอเงากำปั้นเปล่งประกาย หนามอัปลักษณ์ที่ปกคลุมอยู่เต็มกำปั้นก็โจมตีลงบนค่ายกลคำสาปพิบัติอย่างบ้าคลั่ง
ท่ามกลางเสียงดังอันน่าตกใจ อีกาพิบัติหลายตัวในนั้นก็ระเบิดออกมาเป็นไอดำสีเทาหลายกลุ่ม ทันใดนั้น เกราะป้องกันสีเทาก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง แต่ยังคงไม่สามารถโจมตีทะลุได้
เวินเจิงที่อยู่ในนั้น ดวงตาแดงก่ำของเขาเผยแววประหลาดใจออกมา เสียงร่ายคาถาหยุดลง และค่อยๆ ตะโกนออกมาทีละคำ
“คำสาป-ทำลาย-ล้าง!”
พอคำว่า ‘คำสาป’ ออกมาจากปาก เงาร่างอีกายักษ์ที่หมุนวนอยู่บนศีรษะของเขา ก็แหงนคอส่งเสียงร้องแหลมออกมา
อีกาพิบัติสีดำเทาสามสิบกว่าตัวที่อยู่ด้านล่าง ก็ส่งเสียงร้องออกมาพร้อมกัน
พอหลิ่วหมิงได้ยินเสียงนี้ ก็รู้สึกว่ามีเสียงดัง “หวึ่ง!’ ในทะเลจิตรับรู้ ราวกับว่าถูกคนใช้ค้อนทุบอย่างรุนแรง ขณะเดียวกัน ความรู้สึกวิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรงก็ประดังเข้ามา จิตรับรู้ตกอยู่ในภวังค์อย่างช่วยไม่ได้
เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬที่เขากระตุ้นอยู่ ก็หยุดลงในฉับพลัน ไอดำที่ปกคลุมรอบตัวสลายไปทันที ทำให้เขาสูญเสียการควบคุมพลังเวทไปชั่วขณะหนึ่ง
“อีกาพิบัติสามสิบกว่าตัว พลังคำสาปอันน่ากลัว!”
“เวินเจิงสมกับเป็นผู้ที่มีฉายาว่า ‘สิบคาถาทำลายล้าง’ จริงๆ คาดกว่าครั้งหนี้หลิ่วหมิงคงจะโชคร้ายมากกว่าโชคดีแล้ว”
ศิษย์ที่ดูการประลองอยู่บริเวณนั้นเห็นฉากเช่นนี้ ก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาทันที สายตาที่มองไปทางเวินเจิงล้วนเต็มไปด้วยความรู้สึกตกใจและหวาดกลัว
“ร้ายกาจมาก! นี่ก็คือวิชาคำสาปพิบัติ พลังแห่งคำสาปสินะ!”
แม้ว่าในสมองของหลิ่วหมิงจะรู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่หลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้ว พลังจิตมหาศาลก็หมุนวนออกมากดทับความรู้สึกวุ่นวายใจไว้ ความรู้สึกวิงเวียนศีรษะค่อยๆ หายไป พอยกมือ โล่เล็กสีเหลืองก็พุ่งออกมา หลังจากหมุนวนหนึ่งรอบแล้ว ก็กลายเป็นม่านแสงสีเหลืองแวววาวปกคลุมรอบตัวเขาไว้
มันคือโล่พสุธานั่นเอง!
“คำสาปทำลายล้าง มีสิบพลังการสังหาร ดูสิว่าเจ้าจะต้านทานได้กี่ครั้ง!”
ท่ามกลางค่ายกลคำสาปพิบัติ เวินเจิงเผยแววตาโหดเหี้ยมออกมา เขาแหงนหน้าพ่นโลหิตใส่อีกายักษ์ และร่ายคาถาออกมาอีกครั้ง
พออีกาพิบัติทั้งหมดอยู่ภายใต้การนำของอีกายักษ์ มันก็ส่งเสียงร้องออกมาเป็นระยะๆ พลังแห่งความมืดที่แข็งแกร่งม้วนตัวออกจากร่างของเวินเจิง
หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่ามีเสียงดัง “ตู๊ม!” ในจิตรับรู้อีกครั้ง ภาพตรงหน้ากลายเป็นสีดำ ร่างกายซวนเซทีหนึ่ง ดูเหมือนจะอาเจียนออกมา ไม่เพียงแต่เท่านี้ ในใจก็ยังมีความคิดฟุ้งซ่านต่างๆ เป็นลางสังหรณ์ของจิตปีศาจที่มากขึ้น
หลิ่วหมิงรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจริงๆ แล้ว ดูเหมือนว่าวิชาคำสาปพิบัตินี้ร้ายกาจกว่าที่เล่าลือเล็กน้อย
แต่เขาก็กัดปลายลิ้นอย่างรุนแรง ขณะเดียวกันก็ทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง พอตบโซ่ตรวนสะกดวิญญาณที่แขวนไว้บนเอว ความรู้สึกเย็นสบายก็แผ่ไปทั่วร่างภายในพริบตา และขับไล่ความรู้สึกแปลกประหลาดออกไปกว่าครึ่งหนึ่ง
“คิดไม่ถึงว่าจะสามารถรับมือกับคำสาปทำลายล้างได้!”
พอเวินเจิงเห็นหลิ่วหมิงเคลื่อนไหวไม่กี่ที ก็ทรงตัวได้แล้ว สีหน้าเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปทันที
อย่างที่รู้ว่า เขาเคยใช้วิชาคำสาปทำลายล้างรับมือกับยอดฝีมือระดับผลึกขั้นปลายของนิกายอื่นมาแล้ว เพิ่งจะแสดงคาถาที่สอง พลังจิตของฝ่ายตรงข้ามก็พังทลาย และกลิ่นไอทั้งตัวก็สะท้อนกลับ จนร่างระเบิดกลายเป็นกองเลือด
แต่เห็นอยู่ชัดๆ ว่าหลิ่วหมิงถูกคาถาคำสาปของเขาแล้ว แต่กลับฟื้นฟูมาได้ภายในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้ ทั้งยังดูราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน ทำให้เขารู้สึกตกใจเล็กน้อย
จะว่าไปแล้ว แม้จะบอกว่าคำสาปทำลายล้างนี้ มีทั้งหมดสิบคาถา แต่ละคาถาก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ด้วยระดับการฝึกฝนของเวินเจิง ก็ฝืนแสดงออกมาได้แค่คาถาที่สี่เท่านั้น
ที่สำคัญที่สุดก็คือ คำสาปทำลายล้างที่เขาแสดงออกมา จะทำให้สูญเสียพลังเวทเป็นอย่างมาก และเนื่องจากเป็นการกระทำที่ขัดต่อวิถีแห่งฟ้า จึงมีผลกระทบต่ออายุขัยของตัวเองไม่น้อย พูดได้ว่าเป็นการทำร้ายผู้อื่นโดยทำร้ายตัวเองก่อน
หลังจากเวินเจิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่หลายครั้งแล้ว ก็กัดฟันในฉับพลัน เขาอ้าปากพ่นโลหิตใส่อีกายักษ์เหนือศีรษะอีกครั้ง จากนั้นมือทั้งสองก็ทำท่ามือแปลกประหลาด ดูเหมือนว่าจะกระตุ้นพลังชีวิตลึกลับบางอย่างที่อยู่ระหว่างฟ้าดิน
“คำสาป-ทำลาย-ล้าง-ที่สาม!”
เงาอีกายักษ์เหนือศีรษะของเวินเจิงหยุดตัวลงในทันที ดวงตาสีแดงทั้งคู่ยิงแสงสีแดงออกมาสองลำ พริบตาเดียวก็ตกอยู่บนตัวของหลิ่วหมิงอย่างรวดเร็ว จนเขาไม่อาจหลบเลี่ยงได้
“แย่แล้ว!”
แม้ว่าในทะเลจิตรับรู้ของหลิ่วหมิงจะยังคงรู้สึกเลอะเลือนอยู่บ้าง แต่ว่าในใจของเขายังคงมีสติอย่างชัดแจ้ง ท่ามกลางความมืด พลันมีพลังแห่งคำสาปอันแข็งแกร่งร่วงลงมาใส่ตัว และโจมตีลงในทะเลจิตรับรู้ของเขาโดยตรง
หลิ่วหมิงรู้สึกร้อนไปทั้งตัว เลือดลมปราณไหลย้อนกลับ และพุ่งขึ้นไปบนสมอง พออ้าปาก ก็กระอักเลือดออกมาอย่างบ้าคลั่ง!
ไม่เพียงแต่เท่านี้ ทวารทั้งหกบนใบหน้าของเขา ต่างก็เริ่มมีโลหิตซึมออกมา ผิวหนังทั่วร่างกลายเป็นสีแดงม่วง!
เจียหลานอยู่ในค่ายกลนักรบพระโพธิสัตว์เขาพระสุเมรุ พลังพุทธะก็คือดาวมฤตยูของพลังแห่งคำสาป จึงไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากคำสาปนี้ แต่ขณะที่เห็นสถานการณ์ของหลิ่วหมิงนั้น สีหน้าของนางก็ดูถอดสีอย่างช่วยไม่ได้ และรู้สึกกังวลขึ้นมา แต่ตัวเองก็ไม่อาจดิ้นรนได้เลยแม้แต่น้อย
เวินอันที่อยู่ตรงหน้า กลับเลิกคิ้วขึ้นมาด้วยความดีใจ ดวงตาไร้ยางอายกวาดไปทั่วร่างของเจียหลานอย่างกำเริบเสิบสาน
ตอนนี้เขาเห็นว่าเจียหลานเป็นสิ่งของในถุงของเขาแล้ว
“อ๊าก!”
หลิ่วหมิงแหงนหน้าส่งเสียงออกมาอย่างบ้าคลั่ง และก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวทันที ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีพลังจิตอันบริสุทธิ์เกิดขึ้นมาใหม่ และพุ่งไปยังหน้าอกอย่างต่อเนื่อง มันกรอกเข้าไปในร่างอย่างรวดเร็ว และพุ่งเข้าไปด้านใน คิดไม่ถึงว่าพลังแห่งคำสาปจะถูกสะกดไว้ชั่วคราว ความรู้สึกเลือดลมปราณพลุ่งพล่านก็ลดลงไปทันที
ในช่วงเวลาสำคัญ หนอนพลังจิตบนตัวกลับช่วยเขาไว้อีกแรง โดยดึงจิตที่เกือบจะพังทลายกลับมา
หลิ่วหมิงได้รับช่วงเวลาที่สงบเช่นนี้ ดวงตาทั้งคู่ก็กลับมากระจ่างใสทันที มือข้างหนึ่งพลิกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว โซ่เงินขนาดเท่าไข่ไก่ปรากฏบนมือ ภายใต้การใส่พลังเวทเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง มันก็กลายเป็นแสงสีเงินกะพริบเข้าไประหว่างคิ้ว
มันคือโซ่ตรวนสะกดวิญญาณนั่นเอง!
โซ่เล็กสีเงินที่ลอยอยู่เหนือทะเลจิตรับรู้อย่างเงียบๆ ได้แผ่คลื่นสีเงินจางๆ ออกมาทันที ไอหมอกสีเทาสลัวๆ มาปรากฏออกมาจำนวนหนึ่ง พอสัมผัสกับคลื่นสีเงินเล็กน้อย มันก็สลายตัวอย่างรวดเร็ว
เวินเจิงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกลับมีสีหน้าที่ดูได้เป็นอย่างมาก นิ้วทั้งสิบดีดออกไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นฝูงอีกาตรงหน้าอย่างบ้าคลั่ง
ขณะนั้นเอง “ตู๊ม!” กลิ่นไอกระบี่จำนวนมหาศาลที่ไม่อาจพูดออกมาได้ ก็ม้วนตัวออกจากร่างของหลิ่วหมิง คิดไม่ถึงว่าพลังคำสาปที่ยังคงรัดพันอยู่บนร่าง จะถูกสลัดออกไปจนหมดสิ้น
“เป็นไปไม่ได้!”
เวินเจิงที่อยู่ไม่ไกลเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็มีสีหน้าซีดขาวอย่างหาที่เปรียบมิได้ แทบไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเลย
ดวงตาแดงก่ำของเขาทั้งคู่ เริ่มมีน้ำตาโลหิตไหลออกมาเป็นสองทาง คำสาปทำลายล้างที่สามไม่เพียงแต่จะควักพลังเวทในร่างไปกว่าครึ่งหนึ่งเท่านั้น กายเนื้อกับอายุขัยก็ได้รับความเสียหายไม่น้อย หลังจากหลิ่วหมิงทำลายคาถาคำสาปของเขาแล้ว ยังทำให้เขาต้องเผชิญหน้ากับอันตรายของพลังสะท้อนกลับด้วย
“ฮึ!”
หลิ่วหมิงรู้สึกร่างเบาขึ้นมา การโคจรพลังเวทภายในร่างได้ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติแล้ว ดวงตาของนางเป็นประกายแวววาว พอชี้ไปกลางอากาศ กระบี่เล็กสีทองก็พุ่งออกจากระหว่างคิ้ว พอมันขยายใหญ่ตามแรงลม ก็กลายเป็นกระบี่บินที่ยาวสองฉื่อกว่าๆ
“ไป!”
หลิ่วหมิงส่งเสียงคำรามออกมา พริบตาเดียวพลังเวททั้งหมดก็ถูกกรอกข้าไปในกระบี่บินว่างเปล่า
“ฟู่!” พอแสงกระบี่ม้วนตัว มันก็ขยายใหญ่ขึ้นมาหลายสิบเท่า และกลายเป็นสายรุ้งยาวสีทองพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ
“เปรี๊ยะๆ!”
ค่ายกลคำสาปพิบัติที่ดูเหมือนจะแข็งแกร่งจนหาที่เปรียบมิได้ ถูกแทงทะลุราวกับกระดาษ อีกาพิบัติกลายเป็นไอสีเทาท่ามกลางแสงกระบี่ และกระจายออกไปทั่วทิศ
หลิ่วหมิงเปลี่ยนท่ามือทันที กระบี่ยาวสีทองม้วนตัวขึ้นด้านบน
“แย่แล้ว! ราชาอีกาพิบัติ!”
เวินเจิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตกใจจนหน้าถอดสี มือทั้งสองโบกอย่างรวดเร็ว และปล่อยพลังใส่เงาอีกายักษ์ที่อยู่ด้านบน
เงาอีกายักษ์ส่งเสียงร้องกาๆ สองที จากนั้นก็อ้าปากพ่นลำแสงสีเทาขนาดเท่าถังน้ำไปรับมือกับสายรุ้งกระบี่สีทอง ขณะเดียวกัน ร่างของมันก็พร่ามัว ปีกทั้งคู่บินพุ่งไปบนที่สูง
เกิดเสียงดัง “ฟู่!” ด้านล่าง สายรุ้งยาวสีทองฟันลำแสงจนดับลง และกะพริบผ่านเงาร่างอีกายักษ์ไป
แต่จะเห็นว่าเงาร่างของอีกายักษ์ยังคงอ้าปากค้างอยู่ ครู่ต่อมาก็กลายป็นไอสีเทาปกคลุมเต็มฟ้า เศษม้วนคัมภีร์ขาดๆ ร่วงใสจากอากาศ
ขณะที่อีกายักษ์สลายไปนั้น เวินเจิงก็กระอักเลือดออกมาจำนวนมาก พริบตาเดียวร่างของเขาก็อ่อนระโหยโรยแรงอย่างถึงขีดสุด
แต่ขณะนั้นเอง พอแสงสีทองเปล่งประกาย สายรุ้งยาวสีทองก็ม้วนตัวลงไป เงากระบี่เต็มฟ้าปกคลุมร่างของเวินเจิงไว้ในพริบตา
“ช้าก่อน! ข้ายอมแพ้แล้ว” เวินเจิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็หัวเราะอย่างขมขื่น และตะโกนออกมาทันที
………………………………