ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 766 ตกตะลึงทั้งสี่ด้าน
น้ำเสียงยังไม่สิ้นสุดลง เงากระบี่ที่ปกคลุมเต็มฟ้าก็ดับลง กระบี่สีทองที่ยาวหลายจั้งเหยียดตรงอยู่ห่างจากศีรษะของเขาหนึ่งจั้งกว่าๆ
แม้เวินเจิงจะดูเหมือนไม่มีสีหน้าเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย แต่รอยยิ้มบนใบหน้าก็ดูแข็งทื่อขึ้นมา
หลิ่วหมิงได้ยินก็โบกมือข้างหนึ่งโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง หลังจากกระบี่บินว่างเปล่าสั่นสะท้าน มันก็กลายเป็นแสงสีทองกะพริบกลับมา และจมหายไปในระหว่างคิ้วของเขาอย่างไร้ร่องรอย
ฉากตรงหน้าที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ ทำให้เจียหลานที่อยู่ไม่ไกลรู้สึกตกใจระคนดีใจเป็นอย่างมาก และเวินอันก็ไม่ยิ้มออกมาเลยแม้แต่น้อย
และในขณะที่ผู้คนยังไม่หายจากอาการตกตะลึง หลิ่วหมิงกลับพร่ามัวมาปรากฏตัวที่เดิมแล้ว
ครู่ต่อมา เงาร่างสีดำกะพริบมาปรากฏตรงหน้าม่านแสงสีขาวที่ปกคลุมเจียหลานกับเวินอันอยู่
เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง!
จะเห็นว่าขณะนี้มีไอดำรายล้อมรอบตัวของเขา พริบตาเดียวมังกรหมอกดำห้าตัวกับเงาพยัคฆ์หมอกดำห้าตัวก็ปรากฏออกมา!
เกิดเสียงมังกรร้องพยัคฆ์คำรามดังไปทั่วฟ้า ทันใดนั้นศิษย์ที่ชมการประลองอยู่ถึงได้สติกลับมา!
จะเห็นว่ากำปั้นคู่ที่มีถุงมือสีเงินปกคลุมอยู่โจมตีออกไปในทันที
กำปั้นวายุสีดำและสีเงินนับไม่ถ้วน พากันร่วงลงบนม่านแสงสีขาวอย่างไร้สุ้มเสียง!
เรื่องที่ทำให้ผู้คนทั้งหมดต้องสูดหายใจด้วยความรู้สึกเย็นสะท้านได้เกิดขึ้นแล้ว!
ตอนแรกม่านแสงสีขาวยังคงมีอักขระเปล่งประกายออกมา จนทำให้เงากำปั้นสลายไปจำนวนมาก!
แต่หลังผ่านไปแค่เจ็ดแปดอึดใจ พื้นผิวม่านแสงสีขาวก็มืดลง และเริ่มสั่นสะท้านเบาๆ อักขระที่เปล่งประกายออกมาก็น้อยลงเรื่อยๆ จนใกล้จะต้านทานไม่ไหวแล้ว
“ยั้ง…ยั้งมือ ข้า…ยอมแพ้!” เวินอันตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้ามาก ทันใดนั้นเขาก็อ้าปากตะโกนออกมาโดยไม่สนใจภาพพจน์ตัวเองอีก
จะว่าไปแล้ว แม้ค่ายกลนักรบพระโพธิสัตว์เขาพระสุเมรุน้อยนี้ จะมีอานุภาพมาก แต่ว่าก็ใช้พลังในการกระตุ้นไม่น้อย เวินอันผู้นี้ปรับแต่งมันด้วยการฝึกฝนระดับผลึกขั้นกลาง สามารถแสดงอานุภาพออกมาได้ห้าส่วน ก็นับว่าไม่เลวมากแล้ว ในขณะที่หลิ่วหมิงอาศัยพลังมังกรพยัคฆ์ทมิฬในการแสดงวิชาเกราะอสูร โจมตีติดต่อกันหลายครั้ง มันย่อมไม่อาจยืนหยัดได้นาน
และเวินอันเองก็ไม่ได้วางแผนที่จะต่อสู้เป็นเวลานาน ได้แต่หวังว่าการกระตุ้นวิชาคำสาปพิบัติ จะสามารถโจมตีหลิ่วหมิงจนพ่ายแพ้ได้ จากนั้นก็จะเหลือเจียหลายเพียงคนเดียว แพ้ชนะก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่น่าเป็นห่วงอีกต่อไป
“ผู้อาวุโส การประลองในครั้งนี้สามารถประกาศผลได้หรือยัง?”
พอหลิ่วหมิงได้ยินน้ำเสียงขอความเมตตาจากฝ่ายตรงข้าม ก็เลิกคิ้วขึ้นมา เงากำปั้นหยุดการโจมตี จากนั้นถึงแหงนหน้ามองผู้อาวุโสชุดขาว และถามด้วยสีหน้าสงบ
ตอนนี้พลังเวทภายในร่างของเขาก็เหลือไม่มาก ร่างกายและจิตใจถูกทรมานจนรู้สึกอ่อนกำลังลงมาก หากไม่ใช่ว่ามีหนอนพลังจิตอยู่กับตัว และมีกายเนื้อที่แข็งแกร่งล่ะก็ ตอนนี้อาจจะหน้ามืดหมดสติไปแล้วก็ได้ๆ
“ได้…การประลองนี้สิ้นสุดลงแล้ว ข้าขอประกาศให้หลิ่วหมิงกับเจียหลานชนะ!” ผู้อาวุโสชุดขาวที่ทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสิน ก็เพิ่งได้สติขึ้นมาจากอาการตกตะลึง หลังจากมองดูหลิ่วหมิงอย่างลึกซึ้งทีหนึ่งแล้ว ก็ประกาศออกมาด้วยเสียงอันดัง
พอคำพูดนี้ดังออกมา ฝูงชนด้านนอกม่านแสงที่ถูกฉากการประลองในตอนท้ายทำให้รู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง ถึงได้สติกลับมา และเกิดความฮือฮาขึ้นมาทันที
หลิ่วหมิงถอนหายใจยาวๆ เกราะหนังสีเงินบนตัวหายไปในพริบตา หลังจากนำโอสถจินหยวนออกมาทานไปหนึ่งเม็ดแล้ว ถึงนั่งขัดสมาธิลงบนลานประลอง และหลับตาทำการกลั่นเอาพลังของโอสถ
แม้ว่าศึกในก่อนหน้าจะใช้เวลาแค่สั้นๆ แต่ก็ทำให้เขาสูญเสียพลังจิตโดยตรง ซึ่งยากที่คนทั่วไปจะสามารถจินตนาการได้
และพอพลังของโอสถถูกกลั่นออกมา พลังเวทในทะเลจิตวิญญาณที่เกือบเหือดแห้ง ก็ค่อยๆ ฟื้นฟูอย่างช้าๆ ตอนนี้สีหน้าของหลิ่วหมิงถึงดูดีขึ้นมาหน่อย
ขณะนี้ ม่านแสงสีขาวที่ปกคลุมเจียหลานและเวินอันอยู่ ก็สั่นสะท้านสองสามที จากนั้นก็พังทลายลงมา เผยให้เห็นเวินอันที่มีสีหน้าดูไม่ได้เป็นอย่างมาก
หลังจากเจียหลานหลุดออกจากชั้นจำกัดแล้ว ก็รีบเก็บโซ่เงินทันที และก็กะพริบมายืนเฝ้าอยู่ด้านข้างหลิ่วหมิงอย่างเงียบๆ
แต่ว่าในขณะนี้ ดวงตางดงามของนางไม่ยอมละไปจากหลิ่วหมิงเลยแม้แต่น้อย
ในมุมบางแห่งท่ามกลางฝูงชน ชายหนุ่มชุดผ้าแพรที่มีใบหน้าแคบยาว กำลังมีสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่หยุด
เขาก็คือซาทงเทียนที่ไม่รู้ว่ามาปรากฏตัวในสถานที่แห่งนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ในขณะที่หลิ่วหมิงเอาชนะได้นั้น เขาก็รู้สึกเหมือนถูกยกภูเขาออกจากอก แต่ว่าไม่นาน ท่าทีของเจียหลานก็ทำให้เขารู้สึกอึ้งไปอีกครั้ง ในใจรู้สึกซับซ้อนเป็นอย่างมาก
……
“สายตาของเจ้าแม่นยำจริงๆ คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กหลิ่วหมิงจะอาศัยพลังของกายเนื้อ ต้านทานคาถาคำสาปพิบัติติดต่อกันได้ถึงสามครั้ง ต่อให้จะนับรวมศิษย์เก่าไปด้วย พลังของเขาก็สามารถจัดอยู่ในสิบอันดับแรกได้แล้ว มีเขาเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ในครั้งนี้ ดูท่านิกายเราคงมีโอกาสชนะมากขึ้น ต้องชมที่เจ้ามองเห็นเจ้าเด็กนี่ มันช่วยข้าได้มากเลย” ในมิติลึกลับ เทียนเกอเจินเหรินมองดูจินเทียนชื่อด้วยสายตาที่ลึกซึ้งทีหนึ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นมากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ต้องบอกว่าท่านช่วยข้าถึงจะถูก” จินเทียนชื่อมองดูเทียนเกอเจินเหรินทีหนึ่ง และกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“หืม! คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร?” เทียนเกอเจินเหรินถามด้วยความแปลกใจเล็กน้อย
จินเทียนชื่อหัวเราะฮ่าๆ และไม่ตอบอะไรกลับไป ทันใดนั้น พอเขาสะบัดแขนเสื้อข้างหนึ่ง แสงเรืองรองจางๆ ก็ม้วนตัวออกมาห่อหุ้มร่างของเขาไว้ จากนั้นก็กลายเป็นแสงดาวพร่างพราวหายไป
……
ภายในห้องโถงของพระราชวังที่มีไอสีเทาปกคลุมเป็นชั้นๆ
“ฮึ! มีอย่างที่ไหนกัน!” ผู้อาวุโสชุดดำยกมือข้างหนึ่งด้วยสีหน้าโมโห ไอดำม้วนตัวเข้าใส่จานจิตวิญญาณที่ลอยอยู่ตรงหน้า
“เพล้ง!”
จานจิตวิญญาณสั่นสะท้าน และแตกกระจายออกมาทันที เศษที่แตกกระจายออกมาหลายชิ้นได้พุ่งกระเด็นไปทั่วทิศ
มีสองสามชิ้นร่วงลงบนตัวของเขา แต่พอแสงสีดำจางๆ เปล่งประกาย มันก็กลายเป็นผุยผงและร่วงลงมา
ชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านล่างกลับไม่ได้โชคดีขนาดนั้น ภายใต้สถานการณ์ที่หลบเลี่ยงไม่ทัน จึงถูกเศษจานจิตวิญญาณชิ้นหนึ่งโจมตีลงบนหน้าอก จากนั้นร่างของเขาก็กระเด็นออกไปราวกับกระสอบ และชนเข้าใส่ผนังหินในส่วนลึกของห้องโถง “โครม!” จากนั้นดวงตาทั้งคู่ก็มืดดำก่อนหมดสติไป
……
ภายในวิหารใหญ่ของยอดเขาลั่วโยว อินจิ่วหลิงกับผู้อาวุโสอวี๋ก็มองดูผลลัพธ์ของการประลองบนยอดเขาเลื่อนลอยผ่านป้ายหยกชิ้นหนึ่งที่เปล่งประกายแสงสีเขียว
“คิดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงจะชนะแล้ว!” ผู้อาวุโสอวี๋กล่าวด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ น้ำเสียงแฝงไปด้วยความตื่นเต้น
พลังของหลิ่วหมิงแข็งแกร่งเช่นนี้ จะต้องเป็นที่โดดเด่นในงานประตูสวรรค์อย่างแน่นอน หากช่วยนิกายยอดบริสุทธิ์ชิงความโชคดีมาได้ ยอดเขาลั่วโยวเองก็จะได้รางวัลไม่น้อย
อินจิ่วหลิ่งกลับมีสายตาลึกซึ้งยากจะคาดเดาได้ หลังจากกลับมาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ก็ลุกขึ้นยืนทันที ร่างของเขาพร่ามัวกลายเป็นวายุดำอันครั่นคร้าม และม้วนตัวออกไปนอกวิหารใหญ่
……
ขณะนี้ ลานกว้างบนไหล่ยอดเขาเลื่อนลอย ฝูงชนต่างก็ทำการวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา
“คิดไม่ถึงว่าเวินเจิงที่มีชื่อเสียงโด่งดังจะพ่ายแพ้ให้กับหลิ่วหมิง!”
“หลิ่วหมิงแห่งยอดเขาลั่งโยว คนผู้นี้มีพลังแข็งแกร่งมาก ข้าว่าในบรรดาศิษย์สายในก็มีไม่กี่คนที่เหมาะสมเป็นคู่ต่อกรของเขา”
“เมื่อครู่เขายังใช้กำปั้นโจมตีค่ายกลนักรบพระโพธิสัตว์เขาพระสุเมรุน้อยจนแตกกระจายได้ พลังของกายเนื้อนี้จะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว!”
ฝูงชนพากันวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา ซึ่งล้วนตกใจกับความแข็งแกร่งของพลังหลิ่วหมิงมาก จนลืมอีกสามคนที่อยู่ในลานกว้างไปชั่วขณะหนึ่ง
บนอัฒจันทร์ที่อยู่ห่างจากลานกว้างไปไม่ไกล ตอนที่หลัวหยวนได้ยินเสียงบอกว่ายอมแพ้ของเวินเจิง เขาก็มีสีหน้าเขียวปัดขึ้นมา หลังจากผ่านไปพักใหญ่ๆ แล้ว จึงลุกขึ้นมากล่าวกับเทียนอินซ่างเหรินด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ศิษย์พี่เทียนอิน ในเมื่อศิษย์น้องแพ้แล้ว เรื่องการสู่ขอก็สิ้นสุดแค่นี้ ข้าน้อยต้องขอตัวก่อนแล้ว สิ่งของเดิมพันเหล่านั้น รอผ่านไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง ข้าจะให้คนนำมาส่งให้เอง”
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง เขาไม่รอให้เทียนอินซ่างเหรินพูดอะไรออกมาอีก เขาหายวับมาปรากฏตัวบนอากาศใจกลางลาน ชายเสื้อโบกสะบัดตามลมอย่างรุนแรง พอโบกแขนเสื้ออย่างไม่ใส่ใจ แสงสีเหลืองลำหนึ่งก็ม้วนตัวออกมา และกลายเป็นเมฆสีเหลืองยกร่างของเวินอันและเวินเจิงที่อยู่ด้านล้างขึ้นมา จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีเหลืองพุ่งออกไปไกลๆ ทันที
ฉากนี้ทำให้ศิษย์นับพันคนที่ดูอยู่ ทำการซุบซิบกันอยู่ครู่หนึ่ง
เมื่อหลิ่วหมิงรู้สึกว่าสีหน้าดีมากขึ้นแล้ว ถึงรับรู้ได้ถึงกลิ่นหอมที่โชยมาจากด้านข้าง พอลืมตาดูกลับพบว่าเจียหลานกำลังยืนอยู่ข้างกายเขาอย่างเงียบๆ และจ้องมองเขาอย่างไม่วางตา
พี่หลิ่ว ครั้งนี้นับว่าศิษย์น้องติดค้างน้ำใจของท่านเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าภายหน้าจะตอบแทนเช่นไรแล้ว” พอเจียหลานเห็นหลิ่วหมิงลืมตา นางก็เผยรอยยิ้มออกมา ทำให้นางดูสวยหยาดเยิ้มมากขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
ด้วยอาการสงบระดับหลิ่วหมิง ต่อหน้าเจียหลานที่งดงามราวกับบุปผานับร้อยที่บานสะพรั่ง เขายังคงรู้สึกเผลอตัวไปชั่วขณะ ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรออกมานั้น ก็รู้สึกว่ามีแสงแวววาวเปล่งประกายตรงหน้า มันคือแสงหลบหลีกสองลำที่พุ่งมาจากคนละทิศ หลังจากกะพริบไม่กี่ที ก็ร่วงลงตรงด้านหน้าที่อยู่ไม่ไกล
พอลำแสงดับลง ก็มีเงาร่างปรากฏออกมาสองเงา กลับเป็นชายวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมสีดำกับหญิงงดงามผู้หนึ่ง
“ศิษย์คารวะอาจารย์!” หลิ่วหมิงรีบก้าวออกไปคารวะทันที ชายชุดดำก็คืออินจิ่วหลิง ที่เป็นอาจารย์ของหลิ่วหมิงนั่นเอง
เจียหลานที่อยู่ด้านข้างก็คารวะอย่างงดงาม และพูดออกมาเบาๆ
“เจียหลานคารวะอาจารย์”
“ที่นี่ไม่ใช่ยอดเขาลั่วโยว ไม่ต้องมากพิธี!” อินจิ่วหลิงหัวเราะก่อนกล่าวออกมา จากนั้นก็พยักหน้าให้กับผู้อาวุโสชุดขาวที่อยู่กลางอากาศเล็กน้อย
“ที่แท้ก็เป็นผู้ควบคุมอินที่มาเยือน ไม่ได้ต้อนรับต้องขออภัยด้วย” ขณะที่มีน้ำเสียงเยือกเย็นดังขึ้นมา เทียนอินซ่างเหรินก็เหาะมาจากอัฒจันทร์
พอศิษย์สายในและสายนอกที่ชมการประลองอยู่รอบด้าน เห็นว่ามีผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้มาปรากฏตัวพร้อมกันถึงสามคน ก็พากันซุบซิบเบาๆ
“ศิษย์พี่อิน ที่นี่ไม่เหมาะสมกับการพูดจา ขอเชิญท่านไปพูดคุยกันที่วิหารใหญ่เถิด” เทียนอินซ่างเหรินกวาดสายตามองดูรอบด้าน และกล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยน
“ดี! ถ้าอย่างนั้นข้าผู้แซ่อินต้องรบกวนแล้ว” อินจิ่วหลิงหัวเราะๆ และตอบรับอย่างเต็มปากเต็มคำ
หลังจากเทียนอินซ่างเหรินพูดคำว่า “เชิญ!” ออกมาแล้ว ก็เหาะนำไปยังวิหารหลักของยอดเขาเลื่อนลอย อินจิ่วหลิงพยักหน้าให้หลิ่วหมิงเล็กน้อย เพื่อบ่งบอกว่าให้เขาตามไป จากนั้นตัวเองก็กลายเป็นวายุดำพุ่งตามไป
อวี้อินจื่อก็ก้าวไปกระซิบกับเจียหลานเบาๆ สองสามประโยค จากนั้นก็หันไปมองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง และพาเจียหลานเหาะไปยังส่วนบนของยอดเขาลั่วโยว
แม้ว่าหลิ่วหมิงจะรู้สึกสับสนเล็กน้อยเกี่ยวกับการปรากฏตัวของอินจิ่วหลิง แต่ว่าคำสั่งของอาจารย์ไม่อาจขัดขืนได้ หลังจากลังเลเล็กน้อยแล้ว เมฆดำก็ก่อตัวขึ้นใต้เท้า และพาเขาพุ่งขึ้นฟ้า
ท่ามกลางฝูงชน ซาทงเทียนมองดูหลิ่วหมิง เจียหลาน และคนอื่นๆ จากไปด้วยสีหน้าซับซ้อน ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด ถึงรู้สึกไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ย่อมปล่อยไปตามนั้นแล้ว
เขาถอนหายใจเล็กน้อย หลังจากส่ายหน้าแล้ว ก็กลายเป็นแสงสีเขียวพุ่งจากไป
และศิษย์ที่ชมการประลองอยู่เห็นว่างานประลองสิ้นสุดแล้ว และผู้ประลองก็หายไปจนหมดเกลี้ยงภายในพริบตา พวกเขาถึงกลายเป็นแสงหลบหลีกสีต่างๆ พุ่งออกไปทั่วทิศ
ชั่วเวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป ลานกว้างบนไหล่เขาของยอดเขาเลื่อนลอยที่เนืองแน่นไปด้วยผู้คน ก็ดูโหรงเหรงขึ้นมาทันที
………………………………