ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 771 จำผิด
“เอ๋? ทั้งสองท่านคงเป็นสหายจากตระกูลโอวหยางสินะ! ได้ยินมานานแล้วว่าตระกูลโอวหยางมีวิชาลับสำหรับใช้ประสานกันวิชาหนึ่ง พลังไร้ขีดจำกัด วันนี้ได้เห็นแล้วสมคำร่ำลือจริงๆ” บุรุษชุดดำเห็นฉากนี้แรกสุดแค่นเสียงหยัน จากนั้นก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงเผยรอยยิ้มประสานมือเอ่ยกับสตรีทั้งสองในทันใด
หลิ่วหมิงที่อยู่ด้านข้างได้ยินเข้าสีหน้าก็เปลี่ยนไป ก่อนหน้านี้เขาสังเกตว่าสตรีชุดม่วงคนนั้นคล้ายกับโอวหยางเชี่ยนที่พบในวังมายานภาหยกเมื่อตอนนั้นอยู่บ้าง ตอนนี้ได้ยินคำพูดของบุรุษชุดดำอีก คิดว่าในสิบมีแปดเก้าส่วนไม่ผิดแล้ว
“คุณชายมู่หรง ที่นี่คืองานแลกเปลี่ยน ไม่ใช่ตระกูลมู่หรงของท่าน เมื่อครู่สหายผู้นั้นถูกท่านทำร้ายเจ็บหนัก วารีเซียนสวรรค์นี้คิดว่าคงไม่มีผู้ใดกล้าแย่งชิงกับท่านอีกแล้ว ไยต้องบีบคั้นบังคับคน จะต้องเอาชีวิตเขาให้ได้จนถึงขั้นเกือบทำร้ายคนบริสุทธิ์เลยหรือ” สตรีชุดม่วงไม่ได้ตอบรับเรื่องฐานะของตน กลับแค่นเสียงเหอะแล้วเอ่ยเช่นนี้
“เซียนโอวหยางพูดถูกต้องที่สุด เมื่อครู่ข้าลงมือบุ่มบ่ามอยู่บ้างจริงๆ สหายท่านนี้ ตอนนี้มอบของชิ้นนี้ออกมาตามเงื่อนไขที่ข้าบอกไว้ก่อนหน้านี้ได้ไหม?” บุรุษชุดดำหัวเราะ จากนั้นก็เคลื่อนสายตาไปยังชายวัยกลางคนชุดขาวที่สีหน้ายังคงซีดเผือดอยู่ผู้นั้นอีกหน
“ถ้าเช่นนั้น…ถ้าเช่นนั้นก็แลกตามที่สหายบอกก่อนหน้านี้” หลังได้เห็นพลังของบุรุษชุดดำแล้ว ชายวัยกลางคนชุดขาวไหนเลยยังกล้าพูดอีก เขาเอ่ยตอบด้วยเสียงสั่นเล็กน้อย
“ตรงดี ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงเช่นนี้ เซียนทั้งสองขอตัวตรงนี้ หวังว่าในงานประตูสวรรค์ยังจะได้รับการสั่งสอนจากท่านทั้งสองอีก” บุรุษชุดดำหาวทีหนึ่งจากนั้นก็พาเซียนเฮยเฟิงรวมถึงชายวัยกลางคนชุดขาวผู้นั้นเดินไปทางห้องศิลาขนาดเล็กใกล้ๆ ห้องหนึ่ง
เวลานี้ชายหนุ่มธรรมดาผู้นั้นเคลื่อนย้ายจากไปพร้อมกับแสงวูบหนึ่งตรงค่ายกลนานแล้ว คนอื่นที่ล้อมมุงดูอยู่ใกล้ๆ เห็นความขัดแย้งจบลงแล้วก็แยกย้ายกันไปทันที
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เห็นคนของวังสวรรค์ออกหน้าเลย
หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์นี้ ตอนนี้ถึงเข้าใจอยู่บ้างว่าทำไมหลงเหยียนเฟยจะต้องลากตนมาที่นี่ให้ได้ ที่นี่แตกต่างจากงานแลกเปลี่ยนธรรมดาและโกลาหลเกินไปอยู่บ้างจริงๆ เกรงว่าเรื่องบังคับซื้อบังคับขายคงเกิดขึ้นไม่น้อยแน่นอน
ขณะที่หลิ่วหมิงครุ่นคิดพิจารณาอยู่ที่เดิมนั้น สตรีชุดเขียวไม่ไกลออกไปก็ดึงชายเสื้อของสตรีชุดม่วงพลางบ่นเสียงเบา
“เพราะพี่จะลงมือให้ได้ ตอนนี้ฐานะเลยเปิดเผย”
“ไม่เป็นไร พวกเราเองก็ไปกันเถอะ” หลังสตรีชุดม่วงเอ่ยราบเรียบประโยคหนึ่งแล้วก็หมุนตัวหายวับไปท่ามกลางฝูงชนพร้อมกับสตรีชุดเขียว
……
ในเวลาเดียวกับที่งานแลกเปลี่ยนดำเนินไป บนท้องฟ้าเหนือหุบเขาที่ถูกน้ำแข็งปกคลุมไปทั่วแห่งหนึ่งไม่ไกลจากหุบเขาชันของเขาหิมะ ลำแสงสีเงินเส้นหนึ่งกับลำแสงสีฟ้าเส้นหนึ่งกำลังเหาะไล่ตามกันไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ในเวลานี้เองเงาดำสิบกว่าร่างฉับพลันก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าตั้งท่าล้อมเป็นครึ่งวงกลม พวกมันยกมือข้างหนึ่งขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ปล่อยไอปีศาจสีดำสายแล้วสายเล่าออกมา หลังไอหมอกหมุนวนเร็วรี่แล้วก็หยุดนิ่งกลางอากาศเชื่อมต่อกันกลายเป็นกำแพงหมอกสีดำสูงเจ็ดแปดจั้งผืนหนึ่ง ขวางลำแสงสีเงินเอาไว้อย่างนั้น
คนในลำแสงสีเงินปฏิกิริยาไวอย่างที่สุด ลำแสงหยุดชะงักแล้วดับหายไป เผยคนชุดสีเงินผู้หนึ่งข้างในออกมา หลัวเทียนเฉิงนั่นเอง!
ลำแสงสีฟ้าที่ตามติดอยู่ด้านหลังเขามาถึงก็หยุดลงเช่นกัน เผยชายหนุ่มชุดฟ้าผู้หนึ่งออกมา
“ท่านทั้งหลายเป็นผู้ใด ไยขวางทางพวกเราสองคน?” สายตาของหลัวเทียนเฉิงกวาดผ่านฝั่งตรงข้าม พบว่าคนเหล่านี้ทั้งหมดล้วนสวมชุดดำปิดบังใบหน้า ทั้งยังแผ่กลิ่นอายระดับผลึกขั้นปลาย เขาสีหน้าเคร่งขรึมตวาดถาม
ชายหนุ่มชุดฟ้าด้านข้างมาถึงข้างกายเขาก็มองไปยังคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความระแวงเช่นกัน
“เจ้า คือหลิ่วหมิงใช่ไหม?” บุรุษปิดหน้าที่มีรูปร่างสูงใหญ่กว่าผู้อื่นเล็กน้อยคนหนึ่งซึ่งเป็นหัวหน้า สองตากวาดมองพิจารณาหลัวเทียนเฉิงตั้งแต่หัวจรดล่างแล้วเอ่ยปากถามอย่างรวดเร็ว
“ศิษย์พี่ ข้าเห็นกับตาตัวเองว่าคนผู้นี้สังหารเสือดาวหิมะตัวหนึ่งในทุ่งหิมะไม่นานก่อนหน้านี้ สิ่งที่ใช้ก็คือวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬนั่น ไม่ผิดแน่นอน ไยต้องเปลืองคำพูดกับเขา สังหารเขาแก้แค้นให้นายน้อยเสียเลย มอบศีรษะของเขาให้ผู้อาวุโส ถ้าผู้อาวุโสใหญ่พอใจอาจจะมอบรางวัลอะไรให้บ้าง” ในกำแพงหมอกหลังร่างเขา เสียงแหบสากเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ก็ได้ ถ้าเช่นนั้นก็ลงมือเถอะ”
บุรุษปิดหน้าที่เป็นหัวหน้าได้ยินพลันพยักหน้า ในดวงตาเปล่งประกายจากนั้นยกมือทำสัญลักษณ์มือ บุรุษชุดดำที่ปิดหน้าสิบกว่าคนก็ยกมือขึ้นพร้อมกัน ฝ่ามือยักษ์สีดำที่แปลงมาจากไอปีศาจสายแล้วสายเล่าก่อร่างผุดออกมาจากในกำแพงหมอกสีดำสนิท กดทับไปหาหลัวเทียนเฉิงประหนึ่งเม็ดฝน
บุรุษที่เป็นหัวหน้ายิ่งไม่ลังเลสักนิดพลิกมือข้างหนึ่ง คว้าธงกระดูกสีดำขนาดใหญ่หนึ่งฉื่อกว่าๆ คันหนึ่งโยนออกไปกลางอากาศ หลังธงกระดูกหมุนคว้างรอบหนึ่ง ผีหน้าตาดุร้ายขนาดสิบกว่าจั้งตัวหนึ่งก็โผล่ออกมาจากข้างใน ปากพ่นเพลิงปราณสีเทาพุ่งเข้าใส่หลัวเทียนเฉิง
“คนของนิกายปีศาจลี้ลับไม่ประมาณกำลังตนจริงๆ ศิษย์น้อง เจ้ารออยู่ด้านข้าง ข้าคนเดียวก็จัดการได้แล้ว” หลัวเทียนเฉิงเห็นสถานการณ์นี้พลันโกรธจัด กระทั่งคำพูดอธิบายยังคร้านจะพูดมาก เขาส่งกระแสจิตหาชายหนุ่มชุดฟ้าด้านหลังอย่างรวดเร็ว หลังแขนสองข้างสะบัดทีหนึ่ง รอบกายปราณสีเงินพลันพลุ่งพล่านออกมา
ชายหนุ่มชุดฟ้าได้ยินร่างกายก็พุ่งถอยหลังหลบออกไปไกลๆ
ในเวลาเดียวกันนั้น ร่างของหลัวเทียนเฉิงพร่าเลือนกลายเป็นเงาสีเงินสายหนึ่ง ไม่ถอยกลับมุ่งรุกไปข้างหน้า หลังหลบหลีกอย่างพิสดารสองสามหนก็หลบฝ่ามือยักษ์สีดำระลอกแรกที่ประจันหน้ามาถึงได้
ครู่ต่อมาเสียงมังกรคำรามก้องฟ้าสายหนึ่งก็ดังขึ้น มังกรหมอกสีเงินยาวสามสิบจั้งสี่ตัวพุ่งเร็วรี่ออกมาจากหลังร่างเขา ชั่วพริบตาระหว่างที่คำรามก็โจมตีฝ่ามือยักษ์สีดำที่เหลืออยู่จนสลาย ทั้งยังประจันหน้าเข้าใส่เพลิงปราณสีเทาที่พ่นออกมาจากใบหน้าผีสีดำ
เสียง “ตู๊ม” ดังสนั่นขึ้นทีหนึ่ง!
มังกรหมอกสี่ตัวถูกปราณสีเทาม้วนหุ้มมันไว้ข้างใน ทว่ามันกลับระเบิดแหวกออกมาจากด้านในอย่างไม่มีเค้าลางสักนิด หลังไอหมอกสีเงินม้วนตัวหมุนเร็วรี่แล้วหยุดลงก็กลายเป็นหอกยาวสีเงินเล่มหนึ่งโฉบหายไป มันตัดผ่านปราณสีเทาอย่างไม่สะทกสะท้าน พุ่งทะลุใบหน้าผีด้านหลังในเวลาเดียวกัน
หลังเสียงคำรามโหยหวนทีหนึ่ง เสียงดังกังวานสายหนึ่งก็ดังขึ้นตามมาติดๆ ธงกระดูกสีดำแหลกยับดูไม่ได้คันหนึ่งลอยละล่องลงมาจากท้องฟ้าในทันใด
ส่วนหลัวเทียนเฉิงหลังร่างกายพร่าเลือนหายไปก็ปรากฏตัวขึ้นที่บริเวณด้านหลังบุรุษปิดหน้าซึ่งเป็นหัวหน้าผู้นั้นดั่งภูตผี เสียงพยัคฆ์คำรามหนึ่งดังออกมา ฝ่ามือสีเงินข้างหนึ่งโจมตีทำลายปราณสีดำชั้นแล้วชั้นเล่าจมลงในแผ่นหลังของเขาประหนึ่งสายฟ้าแลบ หลังดึงออกมาอีกครั้ง ระหว่างนิ้วทั้งห้าก็ปรากฏหัวใจที่ยังคงเต้นตุบๆ ของบุรุษผู้นั้น
บุรุษปิดหน้าหันศีรษะกลับมาช้าๆ ปากของเขาอ้าออก เขากระอักเลือดหลายคำออกมา สองตาเต็มไปด้วยแววตายากจะเชื่อ ทว่าแววตาก็มืดหม่นลงอย่างรวดเร็ว ทั้งร่างกายอ่อนยวบหล่นร่วงลงไปเบื้องล่าง พร้อมกันนั้นวิญญาณดวงหนึ่งก็ลอยออกมาจากในศีรษะ
“ยังคิดหนีอีก” หลังหลัวเทียนเฉิงเอ่ยเย็นเยียบประโยคหนึ่งแล้ว มืออีกข้างหนึ่งก็สะบัด ปราณสีเงินสายหนึ่งล้อมวิญญาณดวงนั้นไว้ เสียงกรีดร้องแผ่วเบาทีหนึ่งดังขึ้น จากนั้นวิญญาณดวงนี้ก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
ภาพที่น่าตะลึงเช่นนี้ ชั่วขณะทำให้คนปิดหน้าที่เหลือต่างพากันตกตะลึง ชั่วขณะหนึ่งถึงกับไม่มีใครกล้าลงมืออีก
ในเวลาเดียวกันหลัวเทียนเฉิงพลันหัวเราะบ้าคลั่ง หลังขยี้หัวใจในจนมือแหลกละเอียด มือข้างหนึ่งก็ทำมืออีกครั้ง ทันใดนั้นบนแผ่นหลังพลันมีมังกรหมอกสีเงินสี่ตัวกับพยัคฆ์หมอกสี่ตัวปรากฏออกมาอีก แยกย้ายโจมตีลงไปในกำแพงหมอกสีดำใกล้ๆ อย่างทรงพลัง หมอกสีดำปั่นป่วน จากนั้นก็มีแสงสีเงินควบคู่กับเสียงกรีดร้องดังขึ้นเลือนรางอย่างต่อเนื่อง
เสียง “ตู๊ม” ดังขึ้นทีหนึ่ง!
กำแพงหมอกสีดำพริบตาพังทลายลงสลายกลายเป็นไอปีศาจเต็มท้องฟ้า ภายในปราณสีดำปรากฏร่างไร้ชีวิตที่ขาดแหว่งจนดูไม่ได้เจ็ดแปดร่างร่วงหล่นต่อๆ กันบนพื้นหิมะ
“ไม่เสียทีเป็นศิษย์พี่หลัว ศิษย์ชั่วนิกายปีศาจลี้ลับเหล่านี้สู้ไม่ได้สักนิด” หลังร่างหลัวเทียนเฉิง ชายหนุ่มชุดฟ้าผู้นั้นไม่รู้เหาะย้อนกลับมาตั้งแต่เมื่อไร เมื่อเห็นสภาพนี้เขาก็เอ่ยขึ้นอย่างยินดียิ่ง
เวลานี้ภายในไอหมอกสีดำยังเหลือบุรุษชุดดำอยู่สองคน พวกเขาเห็นหัวหน้ารวมถึงศิษย์เจ็ดแปดคนถูกหลัวเทียนเฉิงสังหารชั่วพริบตาอย่างสบายๆ ก็พากันหน้าถอดสี รีบร้อนกระตุ้นเคล็ดวิชาแทบไม่ทัน กลายเป็นลำแสงสีดำสองสายพุ่งหนีจากไปไกล
หลัวเทียนเฉิงเห็นภาพนี้ก็หยุดเคล็ดวิชาบนสองมืออย่างไม่เกรงใจสักนิด เก็บมังกรหมอกสีเงินสี่ตัวกลับเข้ามาโอบร่าง จากนั้นคิดจะกลายเป็นลำแสงเหาะไล่ตามไป แต่ถูกชายหนุ่มชุดฟ้าด้านหลังยื่นมือขวางเอาไว้
“ศิษย์พี่หลัว คนเหล่านั้นดูท่าคงจะกลับไปนิกายปีศาจลี้ลับ ท่านกับข้าสองคนยังไม่ต้องไล่ตามไปหรอก ป้องกันไม่ให้ติดกับดักของผู้อื่น นอกจากนี้ก็ใกล้เวลานัดของศิษย์พี่จ้าวแล้ว พวกเราอย่างไรก็เร่งเดินทางต่อเถิด” ชายหนุ่มผู้นั้นเอ่ยเตือนดังนี้
“ศิษย์น้องพูดมีเหตุผล เพียงแต่คนเหล่านี้เห็นชัดว่ามุ่งมาหาเจ้าหนูหลิ่วหมิงคนนั้น แต่ดันให้ข้ามารับเคราะห์แทนเขา นี่ทำให้คนไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง” หลังหลัวเทียนเฉิงแค่นเสียงหยันทีหนึ่งหยุดฝีเท้าแล้วเอ่ยขึ้น
หลังจากนั้นชายหนุ่มชุดฟ้าเอ่ยกล่อมนิดหน่อยอีกสองสามประโยคแล้ว ทั้งสองคนก็เดินทางต่อไปยังทิศทางเดิม
……
ครึ่งชั่วยามให้หลัง ณ ตีนเขาหิมะ บนยอดสุดของสิ่งก่อสร้างชั่วคราวที่นิกายปีศาจลี้ลับสร้างขึ้นนอกประตูห้องลับสีดำสนิทห้องหนึ่ง เงาดำสองร่างพริบตาก็ปรากฏตัวขึ้นทั้งยังพากันคุกเข่าข้างหนึ่งลงตรงหน้าประตูใหญ่ของห้องลับ
“รายงานผู้อาวุโส การดักซุ่มหลิ่วหมิงของพวกเราล้มเหลว เด็กนั่น…”
ยังไม่ทันเอ่ยจบ แรงกดดันอันแข็งแกร่งระลอกหนึ่งพลันซัดออกมาจากในห้องลับ ร่างกายของบุรุษชุดดำสองคนฉับพลันขยายขึ้น จากนั้นร่างก็ระเบิดพากันตายตกไปพร้อมกับเสียง “เปรี้ยง” “เปรี้ยง” กลายเป็นฝนเลือดเต็มฟ้า
“พวกเจ้ามันพวกตัวไร้ประโยชน์ หลิ่วหมิงคนนั้นเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนหน้านี้ตอนยังอยู่ระดับของเหลวจิตวิญญาณก็มีพลังของระดับผลึก เวลานี้หลายปีผ่านไปคิดว่าพลังคงเพิ่มพูนขึ้นไม่น้อย อาศัยพวกตัวไร้ประโยชน์อย่างพวกเจ้าฝูงนี้ดักซุ่มหมายสังหารคนผู้นี้ คิดง่ายดายเกินไปแล้วจริงๆ ตัวโง่เง่าเช่นนี้ ข้าเก็บไว้มีประโยชน์อันใด” ในห้องลับเสียงชราเสียงหนึ่งดังขึ้น
“แต่พวกเขาหยั่งเชิงสักหน่อยก็ดี ดูท่ายามงานประตูสวรรค์เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ คงต้องให้หลงเซียนจัดการกับหลิ่วหมิงด้วยตัวเองถึงจะแก้แค้นให้หลานชายของข้าได้”
หลังเสียงหัวเราะชั่วร้ายสายหนึ่งผ่านไป ในห้องลับก็ไม่มีเสียงดังออกมาอีก
…….
หลังคนมาคนไปหลายชั่วยามก่อนหน้านี้ ช่วงครึกครื้นที่สุดของงานแลกเปลี่ยนก็ผ่านพ้นไป จำนวนคนเหลือไม่ถึงหนึ่งในสามของตอนแรกแล้ว ศิษย์แต่ละนิกายที่เหลืออยู่กำลังฉวยช่วงเวลาสุดท้าย แลกเปลี่ยนของที่แต่ละคนต้องการ
อย่างไรการชุมนุมครั้งนี้ก็รวมศิษย์ชั้นยอดจากนิกายใหญ่แทบจะทั้งหมดของแผ่นดินจงเทียนรวมทั้งตระกูลที่มีหน้ามีตาเอาไว้ ทรัพยากรมากมายเหนือกว่าตลาดบางแห่งในโลกข้างนอกกับงานประมูลหรืองานแลกเปลี่ยนที่กลุ่มอำนาจจัดขึ้นอย่างเทียบกันไม่ติด
ทว่าเวลานี้หลิ่วหมิงกลับกำลังอยู่ในห้องเล็กๆ มืดสลัวแห่งหนึ่ง ในมือเล่นขวดใบน้อยสีเขียวหยกสามขวด
บนขวดใบน้อย ยันต์สีทองแผ่นแล้วแผ่นเล่าส่องแสงจิตวิญญาณกะพริบเลือนราง ในขวดทุกขวดล้วนมีเงาสัตว์ตัวน้อยขนาดย่อส่วนตัวหนึ่งบรรจุอยู่
เมื่อพินิจให้ละเอียดจึงเห็นว่าเป็นม้าน้ำขนาดเล็กสีฟ้าครามตัวหนึ่ง กระต่ายสีขาวพิสุทธิ์สว่างทั้งร่างตัวหนึ่งรวมถึงอสรพิษน้อยสีแดงฉานทั้งร่างตัวหนึ่ง
เบื้องหน้าเขา ชายหนุ่มเผ่าปีศาจที่ศีรษะเป็นพยัคฆ์ท่อนบนเปลือยเปล่าคนหนึ่งกำลังนั่งตัวตรงสง่า จับจ้องโอสถสีขาวเม็ดหนึ่งที่หนีบอยู่ระหว่างสองนิ้วเขม็ง