ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 78 การหมั้น
วิชาแท่งวารี วิชาเลนทราย วิชาใยแมงมุม!
ครั้งก่อนเขาได้สามวิชานี้มาจากหอคัมภีร์โบราณ และเป็นสามวิชาระดับสูงที่ศิษย์ในนิกายปีศาจฝึกฝนกันมากที่สุด
ในเมื่อผู้คนจำนวนมากต่างก็เลือกทั้งสามวิชานี้ซึ่งมีจุดเด่นที่วิชาอื่นไม่มี ประการแรกคือเมื่อเทียบกับวิชาระดับสูงอื่นๆ แล้วมันใช้เวลาในการปล่อยวิชาออกมาสั้นกว่า อานุภาพก็ค่อนข้างแข็งแกร่งกว่า ประการที่สองวิชาทั้งสามนี้ต่างก็มีผลลัพธ์พิเศษในการบังคับหรือปิดล้อมศัตรู ส่วนมากนำออกมาใช้เมื่อต้องเผชิญกับศัตรูที่แข็งแกร่ง
ถึงแม้จะมีศิษย์นิกายปีศาจจำนวนมากที่ฝึกทั้งสามวิชานี้ แต่ผู้ที่ฝึกฝนจนสำเร็จขั้นต้นกลับมีแค่ไม่กี่คน ส่วนขั้นสูงและสมบูรณ์แบบนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
เพราะว่าเมื่อเทียบกับวิชาคมวายุ วิชากระสุนไฟ และวิชาง่ายๆ อย่างอื่นแล้ว ทั้งสามวิชานี้ฝึกฝนยากลำบากกว่ามาก เวลาที่ใช้ในการฝึกฝนก็ดูเหมือนจะมากกว่าสามถึงสี่เท่าขึ้นไป
ถึงแม้ศิษย์ที่ฝึกฝนวิชานี้มีมากแต่เหมือนจะไม่มีใครยอมเสียเวลาไปฝึกฝนโดยเฉพาะ
ที่หลิ่วหมิงกล้าทำเช่นนี้ ย่อมเป็นเพราะเขาอาศัยเวลาที่ผ่านไปในห้องว่างเปล่าลึกลับเพื่อฝึกฝน ซึ่งทำให้เขาไม่ต้องเสียเวลาในการฝึกฝนจริงๆ
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงความยากลำบากในการฝึกฝนทั้งสามวิชานี้แล้ว เขาก็ได้แต่คิดที่จะฝึกฝนแค่หนึ่งในสามวิชาที่สามารถใช้เป็นท่าไม้ตายได้
วิชาแท่งวารีมีพลังในการทำลายล้าง ทั้งยังใช้ไอเย็นในการแช่แข็งศัตรูได้ แต่น่าเสียดายที่วิธีการโจมตีเรียบง่ายเกินไปทำให้ศัตรูหลบหลีกได้ง่าย
วิชาเลนทรายสามารถสร้างทรายให้เคลื่อนไหวขนาดใหญ่ใต้เท้าคู่ต่อสู้ ทำให้คู่ต่อสู้ถูกโอบล้อมอยู่ในนั้นโดยปริยาย แต่พอคู่ต่อสู้ออกจากในนั้นได้วิชานี้ก็ใช้ไม่ได้ผลแล้ว
วิชาใยแมงมุมมีวิธีการโจมตีหลายรูปแบบ เมื่อเผชิญกับคู่ต่อสู้ที่มีลักษณะพิเศษ ก็ยิ่งสำแดงผลลัพธ์มหัศจรรย์ที่เขาคาดไม่ถึง แต่เสียดายที่วิชานี้เกรงกลัวพลังจากเปลวไฟมากที่สุด กระสุนไฟลูกเล็กๆ ก็สามารถทำลายมันได้อย่างง่ายดาย
หลิ่วหมิงไตร่ตรองอยู่ครึ่งค่อนวันแล้วก็ตัดสินใจฝึกฝนวิชาแท่งวารี
ถึงแม้วิธีการโจมตีของวิชานี้จะมีแค่รูปแบบเดียว และมีความยากในการโจมตีคู่ต่อสู้ได้ตรงเป้า แต่เมื่อเขาเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้แค่ต้องใช้สมองให้มากหน่อย กอปรกับฝึกฝนให้วิชานี้มีอานุภาพที่สูงยิ่งขึ้น มันก็ยังเป็นสิ่งที่น่าวาดหวังได้
หลิ่วหมิงพักผ่อนไปครึ่งวัน กำลังวังชาก็ฟื้นคืนมาเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วเริ่มทำการฝึกฝนวิชาแท่งวารี
……
เวลาผ่านไปหนึ่งปีครึ่ง หลิ่วหมิงที่กำลังนั่งกำหนดลมหายใจอยู่ในห้องว่างเปล่าลึกลับ พลันได้ยินเสียงดังหวึ่งตรงหูทั้งสอง หลังจากลืมตาทั้งสองขึ้นอีกครั้งเขาก็กลับมาอยู่ในห้องฝึกฝนแล้ว
“เวลาสองปีเต็มๆ ! ที่แท้เจ้าสิ่งนั้นยิ่งกลืนกินพลังเวทย์มาก ก็ยิ่งทำให้อยู่ที่นั่นได้นานขึ้น”
ครั้งนี้ไม่มีสีหน้าประหลาดใจบนใบหน้าของเขา แต่กลับกล่าวพึมพำอย่างสงบ
เกือบจะในเวลาเดียวกัน ร่างของหลิ่วหมิงก็สั่นสะท้าน พลังเวทย์อันบริสุทธิ์จำนวนหนึ่งไหลพรั่งพรูออกมาจากทะเลจิตวิญญาณ
แต่เขาได้เตรียมรับมือไว้ก่อนแล้ว เขารีบหลับตาทั้งสองลงกำหนดลมหายใจในทันที
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ พอเขามีการเคลื่อนไหวลักษณะท่าทาง ทะเลจิตวิญญาณก็หยุดโคจร พลังเวทย์ที่ถูกกลืนกินไปกลับคืนมาเกือบครึ่งหนึ่ง ทั้งยังไม่ลดระดับการฝึกฝนลงไปสู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลาง
หลิ่วหมิงรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก แต่พอคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็พอจะเข้าใจบ้าง
เห็นได้ชัดว่าตอนนี้พลังเวทย์ของเขาอาจจะต่ำไปหน่อยเมื่อเทียบกับศิษย์ระดับจิตวิญญาณขั้นปลายคนอื่นๆ แต่เมื่อเทียบศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางแล้วกลับสูงกว่ามาก ด้วยเหตุนี้มันจึงสามารถรักษาระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายไม่ให้ลดลงไปสู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางได้
แต่ถ้าหากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ทำไมครั้งแรกเขาถึงหล่นลงจากระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางไปสู่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นต้นได้!
หรือเป็นเพราะว่าจำนวนพลังเวทย์ที่เพิ่มขึ้นจากระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นต้นถึงขั้นกลางนั้นน้อยกว่าตอนนี้มาก
หลิ่วหมิงคิดไปคิดมาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ แต่ระดับการฝึกฝนไม่ได้ร่วงลงไปก็นับว่าเป็นเรื่องดีแล้ว เขาก็เลยขี้เกียจคิดมาก
ถึงอย่างไรการปรากฏตัวของฟองอากาศลึกลับนั้น เดิมทีก็เป็นเรื่องที่ลึกลับเป็นอย่างมากอยู่แล้ว มีเรื่องบางอย่างที่คิดหาคำตอบไม่ได้ก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ
แต่พอเขาตรวจสอบดูสถานการณ์ของพลังเวทย์ในร่างก็รู้สึกปลื้มปีติยินดีเป็นอย่างมาก
ตอนนี้ระดับความบริสุทธิ์ของพลังเวทย์ภายในร่างสูงกว่าก่อนหน้านั้นหนึ่งในสิบส่วน
ประจักษ์ชัดว่าถึงแม้ฟองอากาศลึกลับจะยิ่งกลืนกินพลังเวทย์มากขึ้นเรื่อยๆ แต่มันก็เพิ่มระดับความบริสุทธิ์ของพลังเวทย์ไปด้วย
ด้วยเหตุนี้สภาพของเขาในตอนนี้จึงมีลักษณะที่พิเศษเป็นอย่างมาก
ถ้าพูดถึงปริมาณของพลังเวทย์ เห็นได้ชัดว่าเขาเทียบไม่ได้กับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายคนอื่นๆ แต่ถ้าพูดถึงความบริสุทธิ์ของพลังเวทย์ล่ะก็ ศิษย์คนอื่นๆ ที่อยู่ในระดับเดียวกันไม่อาจเทียบกับเขาได้
พูดๆ ง่ายก็คือ ถ้าเขาต่อสู้อย่างดุเดือดกับศัตรูแข็งแกร่งที่อยู่ในระดับเขตแดนเดียวกัน เขาจะได้เปรียบกว่าภายในระยะเวลาสั้นๆ แต่ถ้าหากเวลาผ่านไปนานแล้วไม่สามารถเอาชนะได้พลังเวทย์ก็จะหมดก่อนฝ่ายตรงข้าม แต่ถ้าเขาใช้วิธีการรบแบบกองโจรโต้ตอบกลับไปมาต่อเนื่องทั้งวันหรือไม่กี่วันล่ะก็ สุดท้ายแล้วผู้ที่ชนะก็อาจจะเป็นเขา
เพราะว่าพลังเวทย์ที่บริสุทธิ์ไม่เพียงแต่แสดงถึงอานุภาพของเคล็ดวิชาที่เพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็แสดงถึงระดับการฟื้นฟูพลังเวทย์ที่รวดเร็วห่างชั้นกว่าผู้ที่อยู่ในระดับเขตแดนเดียวกันมาก
หลิ่วหมิงคิดอย่างรอบตอบอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็หัวเราะออกมา
สำหรับพลังของเขาในสภาพที่พิเศษนี้ ดูเหมือนจะให้ผลดีมากกว่าผลเสีย
พอเขาหันไปมองเห็นแมงป่องกระดูกขาวที่นอนอยู่บนพื้น คิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากัน
ไม่รู้เป็นเพราะไม่มีปราณหยินในบริเวณนี้ให้มันได้หายใจ หรือว่าก่อนหน้านี้ร่างของเขาไม่ได้สัมผัสกับแมงป่องกระดูกขาวตนนี้ มันจึงไม่มีวี่แววของการกลืนกินพลังเวทย์และการทำพลังเวทย์ให้บริสุทธิ์
ดูเหมือนจิตของมันหมุนวนอยู่ในห้องว่างเปล่ากับเขารอบหนึ่ง แล้วก็กลับไปเข้าไปสู่ร่างเดิมของมันแล้ว
หลิ่วหมิงใช้จิตสื่อการกับแมงป่องกระดูกขาวครู่หนึ่ง
ครู่ต่อมาหางตะขอของแมงป่องกระดูกขาวก็ค่อยๆ ขยับ เส้นสีดำสิบกว่าเส้นกะพริบผ่านไปในอากาศอย่างรวดเร็ว พลันเกิดรูเล็กๆ ขนาดเท่านิ้วมือสิบกว่าแห่งบนพื้นด้านหน้าที่อยู่ห่างออกไปหลายจั้ง
หางตะขอของมันเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก แม้แต่หลิ่วหมิงก็ไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ปลื้มปีติเป็นอย่างมาก
ถึงแม้พลังเวทย์ของปีศาจตนนี้จะไม่มีอะไรที่พิเศษ แต่การฝึกฝนในห้องว่างเปล่าลึกลับก็ได้ผลลัพธ์มาไม่น้อย
ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็เขาคงจะวางใจได้จริงๆ แล้ว
เวลาในหลายวันต่อมา หลิ่วหมิงก็ยังกำหนดลมหายใจอยู่ในห้องฝึกฝนต่อเพื่อเตรียมความพร้อมในการทำพลังเวทย์ที่เพิ่งได้กลับคืนมาใหม่ให้มั่นคงยิ่งขึ้น แล้วค่อยพิจารณาถึงเรื่องอื่นๆ
แต่พอเช้าวันที่สี่กลับมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาหาเขาถึงที่พัก
“ไป๋ชงเทียน เจ้าออกมาเดี๋ยวนี้!” เสียงกระจ่างใสดังขึ้นมาจากประตูด้านนอก ทำให้หลิ่วหมิงที่กำลังกำหนดลมหายใจอยู่รู้สึกตื่นตะลึงเล็กน้อย เขาละมือจากการฝึกฝนลุกขึ้นผลักประตูเดินออกไป
เขาเห็นดรุณีน้อยใบหน้างดงามราวกับหยกที่สวมชุดผ้าดิ้นสวยงามยืนอยู่ตรงลานเล็กๆ ด้านหน้าที่พัก
“ที่แท้ก็เป็นศิษย์น้องมู่!”
เกือบจะสองปีที่เขาไม่ได้เจอกับดรุณีน้อยด้านหน้า แต่แค่มองไปแวบเดียวหลิ่วหมิงก็จำนางได้ และกล่าวออกไปด้วยตาที่เป็นประกาย
มู่หมิงจูที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้สลัดภาพสาวน้อยเมื่อสองปีก่อนออกไปหมดสิ้น กลายเป็นดรุณีน้อยสวยหยาดเยิ้มที่ทำให้หัวใจชายหนุ่มสั่นไหวได้
“เจ้าคือไป๋ชงเทียน!”
พอมู่หมิงจูเห็นชายหนุ่มตรงหน้าที่ดูสูงใหญ่ราวกับโตเต็มที่แล้วก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย
ประจักษ์ชัดว่าภาพลักษณ์ของหลิ่วหมิงที่ล้างไขกระดูกแล้ว ก็ทำให้ดรุณีนางนี้รู้สึกแปลกใจเช่นกัน
“ไม่ผิด ข้าคือไป๋ชงเทียน ถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ศิษย์น้องหมิงจูเป็นศิษย์นิกายสายนอกที่สังกัดสาขาพลังโลหิตใช่ไหม ทำไมถึงมาที่เขาเก้าทารกของพวกข้าได้ล่ะ” หลิ่วหมิงถามด้วยน้ำเสียงคงเดิม
“ฮึ! เจ้ายังจะมาถามข้าอีก ข้าถามเจ้าหน่อย เจ้าให้บิดาของเจ้ามาพูดเรื่องหมั้นหมายกับตระกูลมู่ใช่ไหม? ไม่คาดคิดว่าสองตระกูลจะหมั้นหมายกันแล้วให้ข้าแต่งกับเจ้า” พอมู่หมิงจูได้ยินเช่นนี้ก็เรียกสติกลับมาได้แล้วกล่าวออกไปด้วยความโมโห
“แต่งงาน? เรื่องนี้ข้าเคยเห็นคนในตระกูลส่งจดหมายมาบอกกล่าวอยู่ แต่ก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดมากนัก” หลิ่วหมิงตอบกลับโดยไม่กะพริบตาแม้แต่น้อย
“ไม่รู้เหรอ? เจ้าโกหกใคร? บิดาของข้ารักข้าถึงเพียงนี้ รู้ทั้งรู้ว่าข้า…จะตอบรับเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร จะต้องมีคนนอกพูดยุยงส่งเสริม และถ้าคนผู้นั้นไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใคร! เจ้ารีบถอนหมั้นให้ข้าเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นข้าจะไม่ละเว้นเจ้าแน่” มู่หมิงจูได้ยินเช่นนี้ก็กัดฟันกรอดๆ
“เฮ่อๆ ! ตั้งแต่เข้านิกายมาข้าก็ฝึกฝนอยู่ในนี้ตลอด และยังไม่เคยกลับไปตระกูลไป๋เลย ข้าจะพูดจายุยงส่งเสริมพ่อเจ้าได้อย่างไร อีกอย่างในช่วงเวลาสองปีนี้ข้าเพิ่งจะเห็นหน้าเจ้าเป็นครั้งแรก ยิ่งไม่คิดที่จะแต่งกับเจ้าอยู่แล้ว ส่วนเรื่องยกเลิกการหมั้นถ้าเจ้าสามารถทำได้ล่ะก็ ข้าก็จะไม่คัดค้านใดๆ” หลิ่วหมิงหัวเราะกล่าวออกมา
“ถ้าหากข้าสามารถยกเลิกการหมั้นนี้ได้ ข้ายังต้องมาหาเจ้าอีกเหรอ! ข้าไม่สามารถคัดค้านได้เลย แม้กระทั่งป้าอวิ๋นที่เอ็นดูข้าที่สุดข้าก็เคยขอร้องไปหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่ได้ผลอะไร ตอนนี้ขอแค่ทางตระกูลไป๋เป็นฝ่ายถอนหมั้นก่อน บิดาข้าจึงจะนำเรื่องนี้มาพิจารณาใหม่อีกครั้ง” พอมู่หมิงจูได้ยินหลิ่วหมิงกล่าวเช่นนี้ก็รู้สึกตกตะลึง แต่ก็กล่าวออกมาด้วยความหวังทันที
“เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ตระกูลไป๋เป็นผู้ถอนหมั้นก่อน” หลิ่วหมิงปฏิเสธกลับไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“ทำไมล่ะ! ในเมื่อเจ้าไม่ได้คิดที่จะแต่งกับข้าอยู่แล้ว การถอนหมั้นนี้ไม่ใช่เรื่องที่สมควรหรือ!” มู่หมิงจูได้ยินก็ยิ่งโมโหมากกว่าเดิม
“ข้าจะแต่งกับเจ้าหรือไม่นั้นข้าไม่สนใจ แต่ตระกูลไป๋ต้องการสะใภ้จากตระกูลมู่หรือไม่นั้นกลับเป็นเรื่องที่สำคัญกับทั้งสองตระกูลมาก เจ้าก็เป็นคนฉลาดคงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เข้าใจที่ข้าพูด ถึงแม้ข้าจะเป็นศิษย์จิตวิญญาณแต่ในขณะเดียวกันข้าก็ไม่สามารถทำเรื่องโง่ๆ ที่ทำให้นายท่านทั้งสองตระกูลต้องผิดใจกัน ถ้าเจ้ามีความสามารถก็ไปถอนหมั้นเองเลย ถ้าเจ้าทำไม่ได้ก็คงต้องแต่งเข้าตระกูลไป๋เท่านั้น เอาล่ะ! ข้าอธิบายชัดเจนแล้วเจ้าก็กลับไปได้แล้ว ข้ายังต้องกลับเข้าไปฝึกฝนต่อ” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่เกรงใจ จากนั้นก็หมุนตัวเดินเข้าไปในห้องโดยไม่สนใจดรุณีน้อยชุดผ้าดิ้นสวยงามอีก
มู่หมิงจูเห็นเช่นนี้ย่อมโมโหสุดขีด นางส่งเสียงเรียกหลิ่วหมิงให้หยุดแต่ก็ไม่ได้ผล
หลิ่วหมิงเคลื่อนไหวแค่เล็กน้อยก็เข้าไปอยู่ข้างในที่พักแล้ว และเขาก็ปิดประตูเสียจนแน่นสนิท
“เจ้าคนแซ่ไป๋! เจ้าอย่าเสียใจทีหลังก็แล้วกัน” ดรุณีน้อยชุดผ้าดิ้นสวยงามกระทืบเท้าด้วยความโมโหแล้วก็จากไป
และในขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงที่กลับไปยังห้องฝึกฝนได้ใช้นิ้วกดไปยังขมับข้างหนึ่งแล้วก็ถอนหายใจยาวออกมา
ดูเหมือนจะมีเรื่องยุ่งยากเข้ามาหาถึงที่แล้ว
ถึงแม้จดหมายที่นายท่านตระกูลไป๋เขียนมาในครั้งนั้นจะมีความหมายแสดงถึงการหมั้นหมายกับตระกูลมู่อยู่ แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่านายท่านผู้นี้จะหมั้นหมายกับตระกูลมู่โดยไม่สอบถามความคิดเห็นของเขาเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังปิดบังเขามาโดยตลอด
……………………………………….