ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 780 สายแร่หยกทอง
ฉับพลันหลิ่วหมิงก็ทำท่ามือของเคล็ดกระบี่ด้วยมือเดียว กระบี่ว่างเปล่าพาแสงสีทองเจิดจ้าบินพุ่งออกมาจากในร่างเขา พร้อมกันนั้นปราณกระบี่แข็งแกร่งสายหนึ่งก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า จุดคลื่นพลังจิตวิญญาณ ขนาดมหึมาระลอกหนึ่งกลางอากาศ
วิหควายุหุบเขาสี่ตัวเดิมทีกำลังจะโจมตีสามคนนั้น ทว่าสัมผัสได้ถึงปราณกระบี่ที่พุ่งขึ้นฟ้าด้านหลังร่างจึงพากันส่งเสียงร้องดังกังวานทีหนึ่ง ร่างกายชะงักงันจากนั้นฉับพลันบินเลี้ยวกลับกลางอากาศ จ้องหลิ่วหมิงนิ่ง
“ไป!”
เคล็ดกระบี่ในมือหลิ่วหมิงเปลี่ยนในทันที ชี้ไปหาแสงกระบี่สีทองกลางอากาศ แสงกระบี่ฉับพลันจากหนึ่งกลายเป็นสอง หลังส่องแสงวูบหนึ่งก็กลายเป็นรุ้งกระบี่สีทองยาวสี่ห้าจั้งสี่สาย แยกย้ายกันพุ่งเร็วรี่เข้าใส่วิหคยักษ์สีน้ำตาลแซมเทาทั้งสี่ตัว
วิหควายุหุบเขาสี่ตัวคล้ายสัมผัสได้ถึงอันตราย พวกมันไม่มีความคิดจะสู้สักนิด เพียงกระพือปีกทั้งคู่ ไอปีศาจสีเทาผุดจากร่างพวยพุ่งออกมาบดบังท้องฟ้าครึ่งหนึ่งเบื้องหน้าไว้แล้วฉวยจังหวะหนีกระจัดกระจาย
ก่อนหน้านี้หลิ่วหมิงสังหารวิหควายุหุบเขาไปหลายตัวแล้ว เขาเข้าใจการเคลื่อนไหวหลบหลีกของพวกมันกระจ่างแจ้ง เคล็ดวิชาที่มือเปลี่ยนทีหนึ่ง รุ้งกระบี่สี่สายก็กระจายตัวติดตามไป ทิ้งเงากระบี่สีทองละลานตาสายแล้วสายเล่าไว้
ตามติดหลังจากนั้น เสียงฉึกๆ หลายครั้งแทบจะดังขึ้นพร้อมกัน!
รุ้งกระบี่สีทองสี่สายพุ่งทะลุร่างวิหควายุหุบเขาสี่ตัวประหนึ่งลมกรดสายฟ้าแลบ
วิหคยักษ์สี่ตัวไม่มีกำลังสวนกลับอย่างสิ้นเชิง หลังส่งเสียงร้องโหยหวนทีหนึ่งก็พากันหล่นร่วงลงบนพื้น
นาทีต่อมารุ้งกระบี่สี่สายก็ส่องแสงวูบทีหนึ่งแล้วประสานรวมเป็นหนึ่งกลางอากาศ กลายเป็นกระบี่บินสีทองเล่มหนึ่งใหม่อีกหน บินฟึบกลับมาในมือของหลิ่วหมิง
นับตั้งแต่ที่หลิ่วหมิงปรากฏตัว ปล่อยกระบี่บินว่างเปล่าออกมาจนกระทั่งสังหารวิหควายุหุบเขาสี่ตัวตกลงพื้นอย่างง่ายดายดั่งยกฝ่ามือ เป็นเวลาเพียงชั่วสะเก็ดไฟแลบเท่านั้น
นี่ทำให้คนชุดเทาซึ่งอยู่ด้านล่างไม่ได้ไกลที่ยังปรึกษาหาวิธีโต้ตอบไม่เสร็จ อดไม่ได้ตาโตอ้าปากกว้างพูดไม่ออก
หลิ่วหมิงร่อนลงมาจากอากาศ ลงมายืนอยู่ข้างศพวิหคยักษ์สี่ตัว หมอกสีเทาสายแล้วสายเล่าที่กำลังแผ่ออกมาจากศพเหล่านี้ม้วนเข้าไปในโซ่หยกใสในมือเขา
“ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์!” หลังทั้งสามคนเห็นชุดยาวสีน้ำเงินบนร่างหลิ่วหมิงไหนเลยจะไม่รู้ฐานะของเขา บนใบหน้าล้วนเผยสีหน้าหวาดกลัวและตกตะลึงผสมกัน
อย่างไรศิษย์ที่ถูกสี่ยอดนิกายใหญ่เลือกมาเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ที่จัดขึ้นแปดร้อยปีครั้ง ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ไม่ใช่คนที่ศิษย์ที่นิกายเล็กๆ เลือกมาเช่นพวกเขาเทียบได้สักนิด
ชายหนุ่มที่อ้วนเล็กน้อยขยับเท้าโดยไม่รู้ตัว อดไม่ได้ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
“อย่าบุ่มบ่าม คนผู้นี้พลังแข็งแกร่งอย่างที่สุด ไม่ใช่คนที่พวกเราสองสามคนจะจัดการได้ ยิ่งไม่ต้องคิดหนี เช่นนั้นได้แต่รนหาที่ตายเท่านั้น” บุรุษระดับผลึกขั้นกลางผู้เป็นหัวหน้าหันศีรษะกลับไปจ้องคนด้านหลังทีหนึ่ง รีบร้อนส่งกระแสจิตเอ่ยบอก
บุรุษผู้นี้เห็นชัดว่าค่อนข้างมีอำนาจ สองคนที่เหลือได้ยินพลันยืนอยู่ที่เดิมอย่างเชื่อฟัง ไม่กล้าขยับตามใจอีก
เมื่อบุรุษระดับผลึกขั้นกลางเห็นว่าในที่สุดหลิ่วหมิงก็หมุนตัวกลับมามองพวกเขาสามคน ก็รีบสูดลมหายใจลึกทีหนึ่ง ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ประสานมือคำนับ เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า
“ข้าหวังชิงแห่งนิกายซ่อนธรณี คารวะสหาย”
“นิกายซ่อนธรณี? พวกเจ้าสามคนพลังเท่านี้ก็มาเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ อันตรายไม่น้อย” หลิ่วหมิงมองทั้งสามคน เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
“สหายพูดถูกแล้ว เมื่อครู่ต้องขอบคุณสหายยิ่งที่ลงมือสังหารวิหควายุหุบเขาช่วยชีวิตพวกเราไว้” บุรุษระดับผลึกขั้นกลาง ค้อมกายคำนับอย่างนอบน้อมอีกครั้ง
“เรื่องง่ายๆ เหมือนยกมือเท่านั้น” หลิ่วหมิงหัวเราะฮ่าฮ่าทีหนึ่ง สายตากวาดมองโซ่แห่งโชคชะตาข้างมือทั้งสามคน
“ส…สหาย พวกเรามาจากนิกายเล็กๆ แห่งหนึ่ง เพียงคิดสั่งสมโชคชะตาจำนวนหนึ่งให้แก่นิกายจากงานประตูสวรรค์เท่านั้น หามีเจตนาอื่นไม่ หากสหายอยากแย่งชิงโชคชะตาจากมือพวกเรา พวกเราก็จะยกให้แต่โดยดี” ชายหนุ่มชุดเทาเห็นท่าทางเช่นนี้ของหลิ่วหมิง หน้าก็ถอดสี รีบร้อนเอ่ยอย่างจริงใจ
หลิ่วหมิงได้ยินมุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อย เผยรอยยิ้มจางๆ
แต่รอยยิ้มนี้ในสายตาของบุรุษชุดเทาสามคนกลับประหนึ่งกระบี่คมลอยอยู่เหนือศีรษะ ทำให้ทั้งสามคนเหงื่อกาฬแตกพลั่กในทันที
“พวกเจ้าไปเถอะ” ในที่สุดหลิ่วหมิงก็เอ่ยปากขึ้น
“อะไรนะ…สหายเจ้า…”
บุรุษระดับผลึกขั้นกลางได้ยินก็อึ้งงัน บนหน้าเผยสีหน้าตะลึง สองคนที่เหลือก็อึ้งไปเช่นกัน
“ทำไม ยังจะให้ข้าส่งหรือ?” หลิ่วหมิงหน้าบึ้ง เอ่ยขึ้นด้วยเสียงเย็นเยียบ
“ไม่ ไม่ ขอบคุณสหายยิ่ง” บุรุษระดับผลึกขั้นกลางพริบตาได้สติ ไหนเลยจะกล้าเอ่ยต่อ
ทั้งสามคนประสานมือพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย กลายเป็นแสงสีเทาสามสายแหวกท้องฟ้าจากไปไม่แม้แต่หันศีรษะกลับมา คล้ายกลัวว่าหลิ่วหมิงจะนึกเสียใจ ชั่วพริบตาหายไปยังขอบฟ้าไกล
หลิ่วหมิงมองเงาร่างของทั้งสามคนที่จากไปไกล บนใบหน้ากลับไม่ยินดียินร้าย เพียงร่อนลงมาจากบนท้องฟ้าถือโอกาสเก็บดอกโม่หลัวดอกนั้นบนหน้าผาลงมา
แสงสีเทาบนโซ่แห่งโชคชะตาของสามคนนี้ที่แผ่ออกมามืดหน่นอย่างที่สุด เห็นได้ชัดว่ามีโชคชะตาไม่เท่าไร เขาคร้านจะลงมือปล้นชิง
ชั่วครู่ให้หลัง หลิ่วหมิงก็กลายเป็นแสงสีทองสายหนึ่งอีกครั้งเหาะไปด้านหน้าต่ออย่างรวดเร็ว
วัสดุจิตวิญญาณที่นี่มากมายเช่นนี้ เขาย่อมไม่มีทางจากไป หลายวันต่อจากนั้นจึงอยู่ใกล้ๆ หุบเขาชันค้นหาวัตถุจิตวิญญาณนานาชนิดรอบด้านต่อ
บ่ายวันที่สาม ขณะใกล้พลบค่ำ หลิ่วหมิงกำลังเหาะเลียบพื้นดินอย่างเชื่องช้า ทันใดนั้นสองคิ้วก็เลิกขึ้นเล็กน้อย หยุดลำแสงลง
เมื่อครู่นี้ แมงป่องกระดูกในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณฉับพลันส่งกระแสจิตมาหาเขาประโยคหนึ่ง ทำให้หัวใจเขายินดีทันที
“เซียเอ๋อร์ เมื่อครู่เจ้าบอกว่าใต้กองหินระเกะระกะที่นี่มีสายแร่จิตวิญญาณที่หายากชนิดหนึ่งงั้นหรือ?” หลิ่วหมิงพูดพลางตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณทีหนึ่ง ปราณสีดำสายหนึ่งพลันม้วนออกมากลายเป็นหญิงสาวชุดตาข่ายสีดำร่างเพรียวระหงคนหนึ่ง เซียเอ๋อร์นั่นเอง
หลิ่วหมิงใช้เท้ากระทืบบนพื้นดินเบาๆ ทีหนึ่ง จากนั้นใช้จิตสัมผัสกวาดด้านล่าง คล้ายกับว่ายังค้นไม่พบว่าพื้นดินตรงนี้มีสิ่งใดแตกต่าง
“ไม่มีทางผิด นายท่าน! ใต้ดินลึกลงไปยี่สิบสามสิบจั้งตรงนี้ก็คือสายแร่ศิลาหยกทองที่หายากอย่างยิ่ง ข้าสัมผัสได้ชัดเจน นอกจากนี้สายแร่เส้นนี้น่าจะยาวถึงสามสี่ลี้ หากขุดศิลาหยกทองทั้งหมดเหล่านี้ออกมาน่าจะมีขนาดเท่ากับกองเนินเขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง” เซียเอ๋อร์เม้มปากยิ้ม พร้อมกันนั้นบนหน้าเผยสีหน้าปรารถนายิ่งออกมา
หลิ่วหมิงได้ยินในใจก็ยินดียิ่ง!
ศิลาหยกทองนี้คือหินแร่ที่มีคุณสมบัติแข็งแกร่ง นอกจากนี้ค่อนข้างล้ำค่า ราคาไม่ธรรมดา ก้อนขนาดเท่ากำปั้นก้อนหนึ่งก็หลายพันหินจิตวิญญาณ ตามที่เซียเอ๋อร์บอก หากกองเป็นเนินเขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง เกรงว่าราคาของมันคงไม่น้อยกว่าหลายสิบล้าน นอกจากนี้หินแร่ชนิดนี้ใช้กันอย่างกว้างขวาง เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการหลอมอาวุธราคาแพง ด้วยเหตุนี้จึงไม่ต้องกังวลว่าจะขายไม่ออก
“แต่พวกเราคงอยู่ที่นี่นานเกินไปไม่ได้ มีวิธีใดที่สามารถรวบรวมสายแร่จิตวิญญาณเหล่านี้ให้เร็วที่สุดไหม?” หลังหลิ่วหมิงคิดในใจครู่หนึ่งก็เอ่ยถามออกมาตรงๆ
ต้องรู้ว่าในแดนลึกลับประตูสวรรค์แห่งนี้ เวลาเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างยิ่ง หากเสียเวลาอยู่ที่นี่มากเกินไป นั่นย่อมได้ไม่คุ้มเสีย
“นายท่านลืมไปแล้วหรือ หลังข้าเลื่อนระดับก็ควบคุมดินหินได้ง่ายดั่งพลิกฝ่ามือ เพียงแต่สายแร่จิตวิญญาณที่ใหญ่โตเช่นนี้ เกรงว่าข้าต้องใช้เวลาไม่น้อยถึงจะย้ายมันขึ้นมาบนพื้นดินได้” เซียเอ๋อร์ยิ้มงดงาม เอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจ
“ต้องใช้เวลาประมาณเท่าไร?” หลิ่วหมิงสองคิ้วเลิกขึ้น
“นายท่าน หากเซียเอ๋อร์ใช้พลังควบคุมดินเต็มกำลัง จะขุดสายแร่ขึ้นมาทั้งหมดอย่างน้อยก็ต้องการ…เวลาสองสามชั่วยาม” เซียเอ๋อร์คิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบ
“ดี ถ้าเช่นนั้นเจ้าไปเถอะ ข้าจะพักอยู่ตรงนี้สักหน่อย” เมื่อได้ยินว่าต้องการแค่สองสามชั่วยามแล้ว หลิ่วหมิงก็ถอนหายใจโล่งอก เอ่ยสั่งโดยไม่หยุดคิด
หลังเซียเอ๋อร์ตอบรับคำหนึ่ง ปราณสีดำบนร่างก็พลุ่งพล่าน ร่างกายหมุนอยู่กับที่ทีหนึ่ง เกิดเสียงดังฟู่กลายร่างเป็นแมงป่องยักษ์สีเงินขนาดหลายจั้งตัวหนึ่ง สองก้ามขุดทีเดียว ร่างกายก็มุดหายไปใต้ดิน มองไม่เห็นแล้ว
หลิ่วหมิงเห็นภาพนี้ ร่างกายขยับทีหนึ่งอย่างรวดเร็วเหาะไปถึงบนพื้นที่โล่งซึ่งอยู่ไม่ไกล หลังทานโอสถจินหยวนเม็ดหนึ่งก็นั่งขัดสมาธิ
ครู่หนึ่งให้หลัง ใต้พื้นดินพลันมีเสียงหินภูเขาสั่นสะเทือนดังออกมา เห็นชัดว่าแมงป่องกระดูกเริ่มขุดสายแร่ศิลาหยกทองแล้ว
เวลาหนึ่งเค่อให้หลังปราณสีเทาสายแล้วสายเล่าก็ลอยออกมาจากรอยแยกบนพื้นอย่างช้าๆ ทยอยซึมเข้ามาในโซ่แห่งโชคชะตาในมือหลิ่วหมิง
“เซียเอ๋อร์ เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยจากนั้นสื่อสารทางจิตเอ่ยถาม
“นายท่าน ใต้ดินมีหนอนเกราะสีเงินระดับของเหลวจิตวิญญาณไม่น้อย ข้าถือโอกาสกำจัดพวกมันไปด้วย” ในหูหลิ่วหมิงเสียงหอบเล็กน้อยของเซียเอ๋อร์ดังขึ้น
“ดี เจ้าระวังหน่อย หากพบอสูรหนอนระดับสูง จำไว้ว่าอย่าฝืนปะทะ รีบบอกข้า” หลิ่วหมิงได้ยินในใจก็ผ่อนคลายลง เอ่ยกำชับกับแมงป่องกระดูก
ดูท่าอยู่ที่นี่อสูรเลี้ยงของผู้ฝึกฝนสังหารปีศาจอสูรได้ก็ได้แต้มโชคชะตาเหมือนกัน
“เข้าใจแล้ว นายท่าน วางใจเถิด!”
หลิ่วหมิงเก็บกลิ่นอายไปทันที เขาหลอมกลืนฤทธิ์ยาฟื้นพลังเวทไปพลาง แผ่จิตสัมผัสเงียบๆ ไปพลาง
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งเค่อ บนพื้นดินปรากฏรอยแยกเส้นหนึ่งพร้อมกับเสียงดังครืนๆ ครู่หนึ่ง ผลึกหินสีเหลืองลอยออกมาจากรอยแยกเป็นสาย ชิ้นที่ใหญ่มีขนาดเท่าหัวมนุษย์ ส่วนชิ้นเล็กมีขนาดเท่ามดถั่ว
ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก ผลึกหินแต่ละก้อนล้วนส่องแสงรัศมีสีเหลืองขมุกขมัวออกมา ด้านในผลึกหินมีแสงสีทองประหนึ่งเส้นด้ายแผ่กระจาย สวยงามอย่างที่สุด
“ศิลาหยกทองบริสุทธิ์นัก…” สองตาของหลิ่วหมิงเบิกโตขึ้นเล็กน้อย จิตสัมผัสกวาดผ่านผลึกหิน พลังจิตวิญญาณธาตุดินเข้มข้นสายหนึ่งโถมเข้ามาใส่ใบหน้า ทันใดนั้นใบหน้าก็เผยสีหน้าพึงพอใจจางๆ ออกมา
เขายกแขนเสื้อขึ้นทีหนึ่ง แสงสว่างสายหนึ่งก็แล่นผ่านไปเก็บศิลาหยกทองที่แมงป่องกระดูกโยนออกมาทั้งหมดเข้าไปในแหวนย่อส่วน
หลังจากนั้นก็เป็นเช่นนี้ ทุกชั่วเวลาจิบชาหนึ่งถ้วยเขาจะเก็บศิลาหยกทองครั้งหนึ่ง ผ่านไปสองชั่วยามครึ่ง แมงป่องกระดูกถึงมุดออกมาจากใต้พื้นดิน ปราณสีดำบนร่างหมุนวนทีหนึ่งก็กลายร่างเป็นสตรีชุดผ้าตาข่ายสีดำคนหนึ่งใหม่อีกครั้ง
เพียงแต่เวลานี้ใบหน้าสะสวยของนางซีดขาวอยู่บ้าง นางหอบหายใจหนักไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าเพราะผลาญพลังเวทกับพลังกายมากเกินไป
“เซียเอ๋อร์ ลำบากเจ้าแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนดีๆ ในถุงสักพักเถอะ” หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ยชม
“นายท่าน เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าสมควรทำ” บนหน้าเซียเอ๋อร์แดงเล็กน้อย นางเอ่ยวาจาหวานหู จากนั้นกลายเป็นปราณดำสายหนึ่งลอยกลับเข้าไปในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณ
หลิ่วหมิงใช้จิตสัมผัสกวาดในแหวนย่อส่วนเล็กน้อย ผลึกหินเหลืองอร่ามประหนึ่งเนินเขาเล็กๆ ลูกหนึ่งกินพื้นที่หนึ่งในสี่ของทั้งแหวนย่อส่วน
ศิลาหยกทองมากปานนี้ คำนวณคร่าวๆ มีค่ามากกว่าสามสิบล้านหินจิตวิญญาณ
คิดถึงตรงนี้ฉับพลันรู้สึกอารมณ์ดีอย่างยิ่ง
ขณะที่หลิ่วหมิงลุกขึ้นคิดจะออกเดินทางต่อนั่นเอง หางคิ้วก็เลิกขึ้นเล็กน้อย ฉับพลันเอี้ยวศีรษะมองไปยังยอดเขาอีกลูกหนึ่ง
เห็นเพียงท้องฟ้าไกลออกมามีแสงสีเงินจุดหนึ่งกะพริบวูบวาบคล้ายมีลำแสงสายหนึ่งปรากฏขึ้นทั้งยังกำลังมุ่งหน้าเร็วรี่มายังทิศทางที่เขาอยู่