ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 782 แผ่นมรดก
“พี่หลิ่วระวัง วิชาที่คนผู้นี้ฝึกฝนอาจเป็นวิชาเก้าปีศาจร้ายจำแลง วิชาของผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจที่หายสาบสูญไปนานซึ่งเมื่อจำแลงร่างแล้วสามารถใช้พลังของปีศาจอสูรเก้าชนิดได้ ครั้งนี้เป็นพลังของหมี มีจุดเด่นที่พละกำลัง” เผิงเยวี่ยเห็นสถานการณ์ สีหน้าก็เปลี่ยนไป เขาคล้ายจะเดาวิชาของบุรุษชุดดำออกจึงรีบร้อนเตือนเสียงดัง
หลิ่วหมิงได้ยิน ในใจพลันสะท้าน
ใบหน้างามของเซียนหงส์ดำกลับเคร่งขรึมลง ดูท่าสิ่งที่เผิงเยวี่ยพูด คงจะถูกต้องแปดถึงเก้าในสิบส่วน
ชายหนุ่มชุดดำกลับไม่สนใจที่เผิงเยวี่ยตะโกนเปิดโปงที่มาวิชาของเขาสักนิด ตรงกันข้ามกลับหัวเราะบ้าคลั่ง ก่อนหน้าที่เงาฝ่ามือหมีสีเทาจะร่วงลงมา หนึ่งดัชนีก็จี้ใส่อากาศอีก
เสียงพรวดดังขึ้น
รอบฝ่ามือยักษ์สีเทาแสงสีเทาฉับพลันรวมเข้าด้วยกัน ลวดลายจิตวิญญาณสีแดงสดเห็นชัดเจนตัวแล้วตัวเล่าปรากฏขึ้นเลือนราง ดูไปแล้วประหลาดยิ่งนัก
หลิ่วหมิงคิ้วขมวดเล็กน้อย เช่นเดียวกับที่ในใจเกิดความรู้สึกประหลาด ทว่าเงาฝ่ามือหมีเพียงชั่วครู่ก็มาถึงตรงหน้า ในตอนนั้นไม่มีเวลาให้ครุ่นคิดเพิ่ม เขาตวาดก้องคำหนึ่ง เสียงมังกรคำรามก้องฟ้าก็ดังขึ้นพร้อมกัน มังกรหมอกสีดำห้าตัวพุ่งขึ้นฟ้าจากหลังร่างเขา หลังเลื้อยวนกลางอากาศรอบหนึ่ง ทั้งห้าตัวก็รวมเป็นหนึ่งกลายเป็นมังกรหมอกสีดำยาวสามสี่สิบจั้งหนึ่งตัว
สองตาของมังกรเปล่งประกายเจิดจ้า มันสะบัดกรงเล็บทั้งคู่ด้านหน้า ปากอ้ากว้างพุ่งเข้าใส่ฝ่ามือยักษ์สีดำ
ภาพแปลกประหลาดภาพหนึ่งพลันปรากฏขึ้น
ชั่วพริบตาที่มังกรหมอกมหึมาซึ่งดูทรงพลังเกรี้ยวกราดแตะถูกฝ่ามือหมีสีเทา เสียงปังทีหนึ่งก็ดังขึ้น ถูกโจมตีทีเดียวก็พังทลายกลายเป็นปราณสีดำสายแล้วสายเล่าทั่วท้องฟ้าเสมือนไม่มีกำลังต้านทานสักนิด
เซียนหงส์ดำเห็นสถานการณ์ บนใบหน้าพลันเผยสีหน้ามีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นนิดๆ
เผิงเยวี่ยเห็นสถานการณ์เช่นนี้ สีหน้ากลับเปลี่ยนไปอีกครั้ง
ทว่าแม้หลิ่วหมิงจะอึ้งอยู่บ้างเช่นกัน แต่เขาก็ไม่มีท่าทางคล้ายจะหลบหลีกสักนิด ทว่าสองมือพลันกำเป็นหมัด ปากเอ่ยคำว่า “ระเบิด” ออกมาเบาๆ
ปราณดำที่กระจายอยู่ทั่วทั้งท้องฟ้าชั่วพริบตากลายเป็นแสงสีดำประหลาดสายแล้วสายเล่ามากมายพุ่งผ่านฝ่ามือยักษ์ไป เพียงชั่วครู่ก็ทิ้งรูเล็กจิ๋วนับไม่ถ้วนไว้ด้านบน
เสียงปุ้งดังขึ้นทีหนึ่ง เงาฝ่ามือหมีมหึมาพร่าเลือนทีหนึ่งก็พังทลายสลายไป
เซียนหงส์ดำเห็นภาพนี้ สีหน้ายินดีบนใบหน้าพลันชะงักค้างฉับพลันกลายเป็นย่ำแย่อยู่บ้าง
เผิงเยวี่ยกลับพรูลมหายใจยาวทีหนึ่ง ขณะที่กำลังจะอ้าปากพูด หลิ่วหมิงที่มีสีหน้าเคร่งขรึม ก็หมุนร่างกายประหนึ่งสายฟ้าแลบ ฟันหนึ่งฝ่ามืออกมาจากด้านหลังร่างโดยพลัน
เงาหมัดสีดำหมัดหนึ่งก่อตัวขึ้น หลังส่งเสียงหนักๆ ทีหนึ่งก็ปะทะเข้ากับบางสิ่งกลางอากาศ
สายลมแรงสีดำรุนแรงสายหนึ่งกระจายไปรอบด้าน เงาหมัดแตกสลายพร้อมเกิดเสียงดังสนั่น
พี่ชายของเซียนหงส์ดำผู้นี้ไม่รู้ใช้วิธีการใดส่งการโจมตีครั้งที่สามออกมาอย่างเงียบเชียบ ทั้งยังหลบเร้นมาทางด้านหลังของร่างหลิ่วหมิงได้อย่างน่าประหลาดจากนั้นก็ส่งการโจมตีกะทันหัน
หลิ่วหมิงหมุนตัวอีกครั้ง เขามองไปทางชายหนุ่มชุดดำ เอ่ยขึ้นพร้อมสายตาเย็นเยียบว่า
“เป็นการโจมตีล่องหนที่ดี นี่ก็เป็นวิชาลับของเก้าปีศาจร้ายจำแลงด้วยหรือ?”
หากไม่ใช่พลังจิตของเขาเหนือกว่าคนระดับเดียวกันอยู่มาก เกรงว่าคงสัมผัสการโจมตีประหลาดเช่นนี้ของชายหนุ่มชุดดำไม่ได้เหมือนกัน
เวลานี้สีหน้าตื่นเต้นบนใบหน้าของชายหนุ่มชุดดำหายไปแล้ว กลับกันเขาเผยสีหน้าประหลาดใจจางๆ ออกมา เขาไม่ได้ลงมือต่อ หลังมองหลิ่วหมิงที่นิ่งเงียบอยู่นาน ฉับพลันก็หัวเราะเอ่ยขึ้นว่า
“สหายหลิ่วเก่งกาจไม่ธรรมดาจริงๆ มู่หรงเซวี่ยเยวี่ยได้รับการสั่งสอนแล้ว วันนี้พวกเราเพิ่งเข้าแดนลึกลับประตูสวรรค์มาไม่นาน ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนสู้ศึกใหญ่กันเดี๋ยวนี้ วันเวลายังอีกยาวไกล หนี้เก่าของน้องเล็กรอวันหลังค่อยสะสางเถอะ น้องเล็ก พวกเราไป”
ชายหนุ่มชุดดำเด็ดขาดฉับไว เอ่ยจบพลันส่งสายตาให้เซียนหงส์ดำที่อยู่ไม่ไกล รอบร่างแสงสีดำม้วนออกมากลายเป็นลูกบอลแสงลูกหนึ่งลอยขึ้นฟ้าไปทันที
เซียนหงส์ดำได้ยินดังนั้น สีหน้ามืดครึ้มเปลี่ยนไปมาพักหนึ่ง ทว่าหลังมองหลิ่วหมิงอย่างเคียดแค้นทีหนึ่งแล้ว ท้ายที่สุดก็ยังคงกระทืบเท้าทีหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้าไป
ชั่วพริบตาทั้งสองคนก็กลายเป็นลำแสงสีดำสองสายแหวกท้องฟ้าจากไปอีกครั้ง ลำแสงกะพริบวูบไหวไม่กี่ทีก็หายไปจากสายตาของหลิ่วหมิงอย่างสิ้นเชิง
หลิ่วหมิงมองทิศทางที่ทั้งสองคนหายไปด้วยแววตาสั่นไหวเล็กน้อย ไม่มีความคิดที่จะไล่ตามไปเลยสักนิด
“ครั้งนี้ต้องขอบคุณพี่หลิ่วอย่างยิ่งจริงๆ ที่ลงมือช่วยเหลือ!” เวลานี้เผิงเยวี่ยทั้งตกตะลึงทั้งยินดีระคนกัน หลังก้าวเร็วเข้ามาก็ประสานมือเอ่ยขอบคุณหลิ่วหมิงอย่างซาบซึ้ง
“พี่เผิงเกรงใจไปแล้ว ต่อให้ไม่มีพี่เผิง สองคนนี้ในเมื่อพบข้าแล้วย่อมไม่มีทางปล่อยไป” หลิ่วหมิงได้ยินจึงหมุนตัวกลับมาเอ่ยตอบอย่างเกรงใจ
“คิดไม่ถึงว่าครานั้นจากกันที่ใกล้ๆ ทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์จากกันทีก็หลายสิบปี พลังของพี่หลิ่วก้าวหน้าก้าวกระโดดจนถึงขั้นนี้ เป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นปลายแล้ว น่ายินดีน่าฉลองจริงเชียว” หลังเผิงเยวี่ยมองประเมินหลิ่วหมิงอย่างละเอียดอีกสองสามทีก็เอ่ยขึ้นอย่างตกตะลึงอยู่บ้าง
“นี่นับเป็นอันใดได้! พี่เผิงไม่ใช่ว่าก็เข้าสู่ระดับผลึกขั้นกลางแล้วเหมือนกันหรือ ผนวกกับหุ่นแข็งแกร่งสองตัวนี้ เกรงว่าผู้ฝึกฝนขั้นปลายทั่วไปก็คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพี่เผิง” หลิ่วหมิงคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเอ่ยขึ้น พร้อมกันนั้นสายตาก็เหล่มองหุ่นสองตัวด้านข้างทีหนึ่ง
“ขายหน้าแล้ว! ข้าไหนเลยจะเทียบกับพี่หลิ่วได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่ถูกสองคนนั้นไล่ล่าหนีหัวซุกหัวซุน พูดไปแล้วแดนลึกลับประตูสวรรค์นี่ก็มีอันตรายรายล้อมรอบด้าน วันนี้การต่อสู้ระหว่างนิกายและตระกูลใหญ่แต่ละแห่งเกิดขึ้นไม่หยุด ไม่สู้พี่หลิ่วร่วมเดินทางกับข้าดีหรือไม่ หากท่านกับข้าร่วมมือกันคงหลบเลี่ยงความยุ่งยากได้ไม่น้อย” หลังลังเลพักหนึ่งเผิงเยวี่ยก็กวักมือข้างหนึ่งเก็บหุ่นทั้งสองตัวไปแล้วเอ่ยเช่นนี้
“นี่…” หลิ่วหมิงนิ่งงันไปชั่วครู่ เริ่มลังเลอยู่บ้าง
เผิงเยวี่ยพูดไม่ผิด หลายวันนี้การต่อสู้ในแดนลึกลับรุนแรงขึ้นทุกที ขนาดเขาหลบอยู่ในเทือกเขาแห่งนี้ยังพบการต่อสู้อยู่หลายครั้ง
ด้วยพลังของเขาแม้เชื่อมั่นว่าจะปกป้องตนเองได้ แต่คิดจะคว้าโชคชะตาให้มากขึ้นหน่อย ไม่ไปใจกลางแดนลึกลับสักเที่ยวคงไม่ได้
ส่วนเขตใจกลางที่นั่นเป็นแหล่งรวมตัวของผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงของแต่ละนิกายแต่ละสำนัก เกรงว่าคนไม่น้อยคงไม่อ่อนแอไปกว่าเซียนหงส์ดำกับพี่ชายที่พบเมื่อครู่ เขาบุกเข้าไปเพียงลำพังคนเดียว พลังอ่อนแออยู่บ้างจริงๆ
“พี่หลิ่ว ท่านลองดูสิ่งนี้ก่อนค่อยตัดสินใจก็ไม่สาย” เผิงเยว่คล้ายมองความลังเลของหลิ่วหมิงออก เขาล้วงเศษแผ่นค่ายกลที่ดูเก่ามากชิ้นหนึ่งออกมาแล้วกรอกพลังเวทเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว
บนแผ่นค่ายกลส่งเสียงดังฮึมฮำพักหนึ่ง แสงสีทองก็สว่างขึ้น พร้อมกันนั้นเมฆแสงสีทองผืนใหญ่ก็ลอยออกมาฉายแผนที่แผ่นหนึ่งขึ้นกลางอากาศ บนนั้นเห็นชัดว่ามีจุดแสงสีทองสะดุดตาจุดหนึ่งกะพริบวูบไหวไม่หยุด
“มรดกแผ่นค่ายกล แล้วยังเป็นสีทองด้วย!” หลิ่วหมิงเห็นสิ่งนี้แล้วตกตะลึงจริงๆ
“ไม่ผิด มันก็คือมรดกแผ่นค่ายกล สองวันก่อนหน้านี้หลังข้าทุ่มสุดกำลังสังหารปีศาจอสูรระดับแก่นเสมือนตัวหนึ่งได้ก็พบเศษแผ่นค่ายกลชิ้นนี้ในร่างของมัน สาเหตุที่ตระกูลมู่หรงสองคนนั้นไล่ตามข้าไม่เลิกราก็เพื่อของชิ้นนี้ คิดว่าพี่หลิ่วก็คงรู้ ตามธรรมเนียมขอเพียงรวบรวมเศษแผ่นค่ายกลทั้งแปดชิ้นได้สำเร็จก็จะเปิดทางไปยังดินแดนแห่งมรดกสำคัญในแดนลึกลับประตูสวรรค์ได้ เศษแผ่นค่ายกลชิ้นอื่นเกรงว่าคงมีคนหาพบและเร่งเดินทางไปที่นั่นแล้ว ดังนั้นข้าหวังว่าพี่หลิ่วจะช่วยข้าอีกแรง หลังรวบรวมแผ่นค่ายกลของครั้งนี้ครบจะได้เข้าไปยังดินแดนแห่งมรดกด้วยกัน” เผิงเยวี่ยอธิบายอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงได้ฟังเกี่ยวกับการเปิดทางไปสู่มรดกในดินแดนลึกลับประตูสวรรค์มาจากพวกหลงเหยียนเฟยนานแล้ว
ตามที่สตรีนางนั้นเล่า โดยปกติดินแดนแห่งมรดกที่แสดงตำแหน่งด้วยสีทองบ่งบอกว่ามรดกที่ซ่อนไว้ไม่ใช่ของเล็กน้อย แต่เหนือกว่ามรดกชิ้นเล็กชิ้นน้อยทั่วไปจนเทียบกันไม่ได้ พลังแห่งโชคชะตาที่แฝงอยู่ย่อมน่าตะลึงยิ่งเช่นกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ หลังหลิ่วหมิงพิจารณาเพียงชั่วครู่ก็พยักหน้าตกลง
“ในเมื่อพี่เผิงพูดเช่นนี้ หากข้าปฏิเสธก็เป็นการไม่เคารพแล้ว เดินทางไปดินแดนแห่งมรดกบนแผนที่ด้วยกันเถอะ”
“ดี! มีพี่หลิ่วช่วยเหลือ เชื่อว่าการเข้าไปยังดินแดนแห่งมรดกของพวกเราย่อมไม่ใช่เรื่องยากอะไรแน่!” เผิงเยว่ได้ยินก็ยินดียิ่ง
ดังนั้นทั้งสองคนจึงศึกษาแผนที่ซึ่งแผ่นค่ายกลแสดงออกมาด้วยกัน หลังปรึกษากันพักหนึ่งจึงกลายเป็นลำแสงสองสายสีทองสายหนึ่งสีเงินสายหนึ่งแหวกท้องฟ้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง
…..
ในเวลาเดียวกัน ลึกลงไปยังที่ใดสักแห่งของใต้ดินที่ทั้งมืดมิดและไร้แสงสว่าง เสียงสามเสียงกำลังพูดคุยกันอยู่
“ฮ่ะฮ่ะ เศษชิ้นส่วนมรดกของผู้เฒ่าหลัวถูกกระตุ้นเจ็ดชิ้น ขาดเพียงชิ้นสุดท้าย ขอเพียงครั้งนี้เศษชิ้นส่วนแปดชิ้นถูกคนหาพบ คนเหล่านี้ก็จะเปิดมรดกของเขาได้” เสียงแหลมเล็กเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ดีเหลือเกิน! ในที่สุดวันที่รอก็มาถึง! หลายหมื่นปีนี้พวกเราสั่งสมโชคชะตาทีละเล็กละน้อยจนใกล้จะอิ่มตัวแล้ว ขอเพียงมดปลวกในโลกมนุษย์เหล่านี้เปิดมรดกออกมา พวกเราก็สังหารพวกเขาให้เกลี้ยงโดยไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็นแล้วชิงเอาพลังแห่งโชคชะตาในมรดกของผู้เฒ่าหลัวไป จากนั้นพวกเราก็อาศัยพลังของมันทำลายแดนลึกลับแห่งนี้ในครั้งเดียวได้แล้ว” เสียงหัวเราะหวานของสตรีที่ฟังแล้วชวนให้วิญญาณของคนหลุดออกจากร่างเสียงหนึ่งฉับพลันดังขึ้น ในถ้อยคำเต็มไปด้วยความรู้สึกยินดีไร้ที่สิ้นสุด
“อืม พวกเราสามตนเป็นตัวตนระดับใด ผลสุดท้ายกลับถูกพวกตาเฒ่าวังสวรรค์พวกนี้ลอบโจมตี แล้วบังคับกักขังอยู่ในแดนลึกลับแห่งนี้ อาศัยดูดพลังเวทและเลือดของพวกเรามาเสริมความแข็งแกร่งให้แดนลึกลับแห่งนี้ รอข้าหลุดออกจากพันธนาการของดินแดนแห่งนี้ปุบ จะต้องรายงานท่านหมิงหมู่ให้นำคนในเผ่าบุกโลกใบนี้ สังหารสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ให้เหี้ยนถึงจะระบายความแค้นในหัวใจของข้าได้!” เสียงบุรุษเสียงที่สามแหบแห้งอยู่บ้าง ฟังคล้ายสงบอย่างยิ่ง ทว่าเนื้อหาที่พูดกลับน่าตระหนกอย่างที่สุด
“ฮ่ะฮ่ะ พวกเราสองตนไม่ได้มีท่านหมิงหมู่ขุนเขาใหญ่เช่นนี้ให้พึ่ง เทียบกับพี่หมิ่นไม่ได้ ขอเพียงมีชีวิตรอดออกจากที่นี่ หนีไปจากโลกมนุษย์ได้ก็พอใจแล้ว” เสียงแหลมเล็กนั่นกลับหัวเราะเอ่ยตอบ
“เอาล่ะ คำพูดมาดร้าย รอพวกเราออกจากที่นี่ได้จริงๆ ค่อยพูดเถอะ เพื่อแผนการครั้งนี้ พวกเราวางแผนกันมายาวนานเช่นนี้ หากไม่สำเร็จ เกรงว่าเจ้าพวกวังสวรรค์นั่นคงไม่ให้โอกาสอันใดกับพวกเราอีกแล้ว ดังนั้นเผื่อเอาไว้ก่อน ข้าคิดว่าแทนที่จะรอเวลาที่มดปลวกพวกนั้นเปิดมรดกของผู้เฒ่าหลัวจริงๆ ไม่สู้พวกเรา…” เสียงสตรีเอ่ยขึ้นเช่นนี้
เสียงพูดคุยของทั้งสามคนท่ามกลางมิติอันมืดมิดแห่งนี้ฉับพลันกลายเป็นแผ่วเบาจนไม่อาจได้ยิน
ขณะที่หลิ่วหมิงกับเผิงเยวี่ยสองคนมุ่งหน้าไปยังดินแดนแห่งมรดกตามที่เศษแผ่นค่ายกลชี้บอก การเข่นฆ่าระหว่างศิษย์สำนักต่างๆ ในที่สุดก็เปิดฉากขึ้นทุกหลืบมุมในแดนลึกลับโดยสมบูรณ์
ในหุบเขาที่เต็มไปด้วยทิวสันเขาสีน้ำตาลแดงแห่งหนึ่ง ตะขาบสีเงินยาวสิบกว่าหมี่ตัวหนึ่งวิ่งเร็วรี่พุ่งผ่านหุบเขาไป ร่างกายแต่ละท่อนมันวาวและน่ากลัว ขาที่เหมือนคมดาบนับไม่ถ้วนวาดผ่านหินภูเขาเกิดเสียงดังกังวาน รวดเร็วจนกลายเป็นเงาเลือนรางสีเงินสายหนึ่ง
ฟึบ ฟึบ ฟึบ!
เงาคนสามร่างแหวกอากาศไล่ตามติดเร็วรี่อยู่ด้านหลัง ชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินคนหนึ่งในนั้นก็คือหลัวเทียนเฉิง ส่วนชายหนุ่มอีกสองคนสวมเครื่องแบบสีน้ำเงินของนิกายยอดบริสุทธิ์เช่นกัน คนหนึ่งสะพายกระบี่ยาวอยู่บนหลัง อีกคนหนึ่งสองมือว่างเปล่า รูปร่างผอมสูงอย่างเห็นได้ชัด