ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 787 เปิด
“อ้อ ที่แท้เจ้าพบสหายจากนิกายยอดบริสุทธิ์” บุรุษชุดน้ำเงินได้ยินพลันมองไปทางหลิ่วหมิงทันที จากนั้นพยักหน้าให้อย่างเป็นมิตร
หลิ่วหมิงได้ยินเผิงเยวี่ยเรียกบุรุษผู้นี้ว่าอาจารย์อา แม้ในใจรู้สึกประหลาดนัก แต่ย่อมไม่กล้าชักช้ารีบประสานมือคำนับกลับ
หลังเผิงเยวี่ยกระซิบเสียงเบากับบุรุษชุดน้ำเงินอีกสองสามประโยคแล้ว ก็ค้อมกายอีกครั้ง จากนั้นถึงหมุนตัวเหาะกลับไปข้างกายหลิ่วหมิง นั่งขัดสมาธิรอคอยเงียบๆ
เวลานี้เองเสียงอ่อนโยนเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหูหลิ่วหมิง
“สามสิบกว่าปีไม่พบหน้า พี่หลิ่วสง่างามยิ่งกว่าวันวานเสียอีก”
หลิ่วหมิงหันศีรษะไปก็เห็นโอวหยางเชี่ยนที่อยู่ไม่ไกลเอ่ยขึ้นเหมือนจะยิ้มให้เขา
“ที่แท้เป็นแม่นางโอวหยางนี่เอง ตั้งแต่จากกันสบายดีนะ” หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อยพลางกวาดจิตสัมผัสออกไป ในดวงตาฉายแววประหลาดใจ
พลังของสตรีผู้นี้ไปถึงระดับผลึกขั้นปลายแล้ว
แม้เขาก็ระดับผลึกขั้นปลายเช่นกัน แต่ย่อมรู้ตัวเองดี หากไม่ใช่อาศัยโอสถจำนวนมากกับฟองอากาศลึกลับเพิ่มความบริสุทธิ์ของพลังเวทไม่หยุด เขาไม่มีทางเลื่อนระดับได้เร็วเช่นนี้แน่นอน
ส่วนศิษย์คนอื่นในนิกายยอดบริสุทธิ์ที่ยามนั้นระดับเดียวกันกับเขาเช่นพวกซาทงเทียน วันนี้ก็ยังวนเวียนอยู่ที่ระดับผลึกขั้นต้นหรือขั้นกลาง
ดูท่าสตรีนางนี้หากไม่ใช่ยอดอัจฉริยะแห่งการฝึกฝนอย่างแท้จริงประเภทนั้น หลายปีนี้ตระกูลโอวหยางก็คงทุ่มเทเงินทุนมากมายลงไปกับทรัพยากรการฝึกฝนของนาง
“ตอนนั้นจากกันที่วังมายานภาหยก คิดไม่ถึงว่าเจ้ากับข้าแล้วก็สหายเซวียจะได้มารวมตัวกันอีกครั้งที่งานประตูสวรรค์” โอวหยางเชี่ยนหัวเราะคิกคัก หัวเราะเบาๆ พลางเอ่ยขึ้นคล้ายระลึกความหลัง
“ฮ่ะๆ ผู้แซ่หลิ่วไม่เคยคิดมาก่อนจริงๆ ว่าจะพบหน้าท่านทั้งสองที่นี่ แต่สหายเซวียกับแม่นางโอวหยางล้วนเป็นสุดยอดในสำนัก ข้าอยู่ตรงนี้ก็แค่เติมจำนวนให้ครบเท่านั้น” หลิ่วหมิงหาวพลางกวาดตามองเซวียผานอีกด้านหนึ่ง
คลื่นพลังเวทบนร่างคนผู้นี้พลังเพียงระดับผลึกขั้นต้นเท่านั้น แต่ไอปีศาจบนร่างยิ่งใหญ่จนน่าตะลึง เห็นชัดว่าฝึกฝนวิชาพิเศษบางอย่าง
ครั้งนั้นในวังมายานภาหยก ยามคนผู้นี้เผชิญหน้ากับการไล่ล่าสังหารจากเงาลวงตาของจินเลี่ยหยางนับได้ว่าลูกเล่นไม่หมดไม่สิ้น ตอบโต้ได้ดั่งใจ อีกทั้งเผ่าปีศาจยิ่งพลังเพิ่มพูน กายเนื้อก็แข็งแกร่งเหนือกว่าผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์มากจนเทียบกันไม่ได้ พลังในวันนี้ย่อมพลิกฟ้าพลิกดินได้เช่นเดียวกัน
บุรุษหน้าเหยี่ยวผู้นั้นข้างกายเซวียผานคล้ายสัมผัสได้ถึงสายตาที่มองมาของหลิ่วหมิง จึงหันศีรษะมองตรงมาที่หลิ่วหมิงเช่นกัน สองตาของเขาดุดันไม่ธรรมดาทำเอาใบหน้าของหลิ่วหมิงรู้สึกเจ็บแปลบ
ในใจหลิ่วหมิงตระหนกเล็กน้อยรีบรั้งสายตากลับไป
พลังของเผ่าปีศาจหน้าเหยี่ยวผู้นี้เหมือนจะมากมายไม่ธรรมดา
“พี่หลิ่วพูดเช่นนี้ออกจะหลอกตัวเองและหลอกผู้อื่นไปหน่อยแล้ว พลังของสหาย ยามนั้นที่อยู่ในวังมายานภาหยกข้าได้ประจักษ์แล้ว…” โอวหยางเชี่ยนกลอกนัยน์ตาหวาน เอ่ยเคืองเล็กๆ
ระหว่างที่ทั้งสองคนพูดคุยกัน ขอบฟ้าไกลก็พลันมีเสียงแหวกนภาวูบหนึ่ง แสงสีเงินสายหนึ่งพุ่งเร็วรี่ประหนึ่งสายลมสายฟ้ามายังหุบเขา
ในเวลาเดียวกันนี้ตรงช่องว่างช่องที่เจ็ดใจกลางค่ายกลบนแท่นศิลาตรงกลางหมู่คนก็มีแสงจิตวิญญาณส่องประกายออกมาเลือนราง
ทุกคนเห็นเช่นนี้ก็ล้วนยินดี
หลิ่วหมิงกลับเลิกคิ้วเล็กน้อย ลำแสงสายนี้เหมือนจะคุ้นตาอยู่นะ
ผลปรากฏว่าหลังแสงสีเงินไหววูบสองสามครั้งแล้วร่อนลงบนพื้นที่ว่างเบื้องหน้าผู้คน เงาร่างของชายหนุ่มอายุราวยี่สิบสามยี่สิบสี่ปีคนหนึ่งก็ปรากฎขึ้น บนร่างสวมเครื่องแต่งกายของนิกายยอดบริสุทธิ์ หลัวเทียนเฉิงนั่นเอง
ในมือของเขาถือเศษแผ่นค่ายกลชิ้นหนึ่งที่กำลังส่องแสงสีทองเรืองๆ อยู่เช่นกัน!
หลัวเทียนเฉิงเห็นแท่นศิลามหึมาตรงกลางก็เผยสีหน้าทั้งตะลึงทั้งยินดีออกมาเช่นกัน จากนั้นกวาดสายตาผ่านผู้คนที่นั่น
“เจ้า! เจ้าโจรตัวดี ครั้งนี้ดูสิเจ้าจะหนีไปไหน!”
เมื่อเขาเห็นบุรุษหน้าเหยี่ยวที่อยู่ข้างหลังร่างเซวียผานแล้ว ทันใดนั้นสองตาก็ประหนึ่งจะพ่นไฟตวาดเสียงดังขึ้น จากนั้นแสงสีเงินทั่วร่างพลันสว่างจ้า หนึ่งหมัดโจมตีรุนแรงออกมา
เสียงมังกรคำรามกึกก้องฟ้าเสียงหนึ่งดังขึ้น เงามังกรสีเงินยาวสามสิบจั้งสองตัวกู่ร้องโผล่ออกมาจากบนแขนของเขา หลังมันบินวนไขว้สลับกันหนึ่งหนกลางท้องฟ้าแล้วก็แยกเขี้ยวกางกรงเล็บพุ่งเข้าใส่จุดที่บุรุษหน้าเหยี่ยวกับเซวียผานอยู่ทันที
มังกรสีเงินสองตัวท่าทางเปี่ยมพลัง มันผ่านไปที่ใดล้วนชักพาให้อากาศรอบด้านสะเทือนรุนแรง คนที่อยู่ใกล้เห็นสภาพนี้ล้วนใจสะท้าน
ศิษย์นิกายเล็กที่ยืนอยู่ใกล้หลายคนยิ่งตระหนกลนลานทะยานร่างหนีจากบริเวณใกล้ๆ
เซวียผานยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับหลบสักนิด เพียงมองเงามังกรสีเงินที่คำรามพุ่งเข้ามาอย่างเย็นชา
บุรุษหน้าเหยี่ยวด้านข้างกลับแค่นเสียงหยันคำหนึ่งแล้วสะบัดแขนเสื้อ แสงสีเงินกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมา กระจกหกเหลี่ยมขนาดเล็กบานนั้นนั่นเอง หลังกระจกหมุนติ้วครู่หนึ่งรัศมีสีเงินแวววาวผืนใหญ่ก็พุ่งเร็วปรี่ออกมาจากบานกระจก ประจันหน้ากับการโจมตีของมังกรเงินที่มาถึงได้พอดี
เสียงเปรี้ยงดังขึ้น เงามังกรสีเงินสองตัวถูกแสงเรืองรองที่เกิดมาจากรัศมีแวววาวโจมตีจนโซไม่หยุด มันเหาะวนคลุ้มคลั่งกลางท้องฟ้า ทว่าชั่วขณะหนึ่งไม่อาจร่อนลงมาได้
เวลานี้เคล็ดวิชาในมือของบุรุษหน้าเหยี่ยวก็เปลี่ยนไปอีกหน กลางท้องฟ้าเสียงดังสนั่นดังลอยมา รัศมีสีเงินแวววาวฉับพลันระเบิดออก วงแหวนแสงสีเงินที่มีจุดสีเงินปะปนอยู่ด้านในวงแล้ววงเล่าขยายพรวดออกมา ชั่วพริบตาซัดเงามังกรสีเงินสองตัวจนแตกสลาย จากนั้นสวนกลับไปซัดเข้าใส่หลัวเทียนเฉิงที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
หลัวเทียนเฉิงคล้ายหวั่นเกรงคลื่นปราณสีเงินนี้ยิ่งนัก เขาคิดก็ไม่คิดพุ่งถอยหลังไปสิบกว่าจั้งในชั่วพริบตาถึงหยุดร่างยืนมั่นคง แต่บนใบหน้าสีหน้ายิ่งโกรธเกรี้ยว สองแขนยกขึ้นกำลังจะลงมืออีกครั้ง
“ทั้งสองท่าน พวกท่านมีความขัดแย้งอันใดกันข้าไม่ยุ่ง แต่ที่นี่เป็นทางเข้าดินแดนแห่งมรดกของแดนลึกลับ หากท่านทั้งสองจะลงมือกันอย่างไรก็ขอให้ย้ายไปที่อื่นเถิด” แสงสีทองสว่างขึ้นวูบหนึ่ง บุรุษในรถสีเงินของนิกายเทียนคงขมวดคิ้ว ฉับพลันบังคับรถมาขวางอยู่ด้านหน้าแท่นศิลา รอบร่างหุ่นอาชาสีทองแปดตัวที่ลากรถส่องแสงสีทองวงแล้ววงเล่าออกมาขวางคลื่นพลังนับไม่ถ้วนจากการต่อสู้ของทั้งสองคนไว้
หลัวเทียนเฉิงได้ยินก็ลังเลอยู่บ้าง เขาเก็บสีหน้าโกรธเกรี้ยวไป แต่ยังคงจ้องบุรุษหน้าเหยี่ยวอย่างเคียดแค้น ท่าทางพร้อมลงมือตลอดเวลา
ส่วนบุรุษหน้าเหยี่ยวก็คว้ากระจกหกเหลี่ยมพลางหัวเราะ คล้ายไม่เห็นการโจมตีของหลัวเทียนเฉิงอยู่ในสายตาสักนิด
ในเวลานี้เองเสียงถมึงทึงเสียงหนึ่งก็ดังชัดเจนมาจากด้านนอกหุบเขาอีกฝั่ง
“ที่แท้เศษชิ้นส่วนเจ็ดชิ้นที่เหลือรวบรวมครบแล้ว ดูท่าข้าจะมาได้เวลาพอดี”
เสียงพูดเพิ่งจบลง ฝั่งตะวันออกของหุบเขาพลันมีเสียงเปรี้ยงดังสนั่นขึ้น เพลิงปราณสีม่วงสายหนึ่งพวยพุ่งขึ้นมา ชั่วครู่ก็พาสายลมคลั่งสายหนึ่งมาถึงท้องฟ้าเหนือแท่นศิลาแล้วม้วนลงมาเหนือพื้นที่ว่างจุดหนึ่ง กลางเพลิงปราณเห็นบุรุษผมม่วงหยักศกรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งยืนอยู่เลือนราง
หลิ่วหมิงเห็นภาพนี้ หางตาพลันกระตุกเล็กน้อย
บุรุษผมม่วงจมูกราชสีห์ผู้นี้ก็คือหนึ่งในศิษย์ที่เห็นอยู่ข้างกายประมุขหอเป๋ยโต่ววันนั้นก่อนงานประตูสวรรค์จะเริ่ม เพียงแต่ไม่เห็นเงาร่างสตรีผมเงินอีกคนหนึ่ง
ในเวลาเดียวกันนี้ช่องว่างช่องที่แปดใจกลางแท่นศิลาก็มีแสงจิตวิญญาณจางๆ สว่างขึ้นมา ค่ายกลทั้งหมดคล้ายสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง เริ่มเคลื่อนหมุนช้าๆ ด้วยตนเอง ในช่องว่างแปดช่องแสงสีทองเจิดจ้าสว่างขึ้น ลวดลายจิตวิญญาณสีทองเล็กละเอียดที่ล้อมรอบสี่ด้านก็สว่างขึ้นเป็นพรวนตามไปด้วย
แสงรัศมีสีทองสว่างจ้าแสบตา!
ครู่ต่อมาวังวนพลังจิตวิญญาณที่ถาโถมรุนแรงสายหนึ่งก็วนเป็นเกลียวพุ่งขึ้นฟ้าพร้อมกับการหมุนวนของแท่นศิลา ทำให้อากาศในหุบเขาสั่นสะเทือนเกิดเป็นเสียงฮึมๆ ระลอกแล้วระลอกเล่า
ภาพที่น่าตกใจเช่นนี้ทำให้ผู้คนที่เดิมทีคาดไม่ถึงกับการปรากฏตัวกะทันหันของบุรุษผมม่วง ฉับพลันถูกดึงความสนใจทั้งหมดไป ทุกคนเพ่งสมาธิมองไปบนแท่นศิลา
“ดียิ่ง ดินแดนแห่งมรดกในที่สุดก็จะเปิดออกแล้ว” สาวน้อยชุดเขียวข้างกายโอวหยางเชี่ยนพึมพำขึ้นมาประโยคหนึ่ง
สตรีชุดเขียวที่เดิมทีหลับตาทำสมาธิอยู่ด้านข้างก็ลืมตาสองข้างขึ้นเล็กน้อย เผยรอยยิ้มจางๆ ที่แทบจะสังเกตไม่เห็นออกมาด้วย
คนอื่นๆ เห็นภาพนี้ในดวงตาก็ทยอยเผยแววตาเร่าร้อนออกมาเช่นกัน
“สหายทั้งสอง ดินแดนแห่งมรดกกำลังจะเปิดออกแล้ว หากลงมือตอนนี้คงได้ไม่คุ้มเสีย หากทั้งสองท่านมีความแค้นที่ไม่สะสางไม่ได้จริงๆ ไม่สู้รอหลังพวกเราเข้าไปคว้าโชคชะตาจากมรดกด้านในแล้วค่อยออกมาสะสาง” เผิงเยวี่ยรั้งสายตากลับมาจากแท่นศิลา จากนั้นมองหลัวเทียนเฉิงกับบุรุษหน้าเหยี่ยวแล้วนก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวเอ่ยขึ้น
หลังหลัวเทียนเฉิงครุ่นคิดเล็กน้อย แววตาดุร้ายในดวงตาในที่สุดก็ค่อยๆ หน้าไป สุดท้ายก็พยักหน้าด้วยใบหน้าถมึงทึง
ส่วนบุรุษหน้าเหยี่ยวหัวเราะหยันสองสามครั้งก็เก็บกระจกหกเหลี่ยมในมือไปบ้าง
ในช่วงเวลาสำคัญที่ดินแดนแห่งมรดกกำลังจะเปิดออก ไม่ใช่จังหวะที่จะต่อสู้กันจริงๆ
“คิดไม่ถึงว่าพี่หลิ่วก็มาถึงที่แห่งนี้ด้วย ดียิ่ง! ดูท่าหลังจากนี้ไม่นานที่นี่คงจะครึกครื้นยิ่งนัก” หลัวเทียนเฉิงเคลื่อนสายตาออกมา ในที่สุดก็เห็นหลิ่วหมิงที่อยู่หลังร่างเผิงเยวี่ย ในดวงตาฉายแววตาคิดไม่ถึงจางๆ
“ข้าก็คิดไม่ถึงเช่นนั้นว่าศิษย์น้องหลัวจะได้เศษชิ้นส่วนชิ้นหนึ่งมาเช่นกัน” หลิ่วหมิงประสานมือให้เขาด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนนับเป็นการทักทาย
ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนยามอยู่ในนิกายยอดบริสุทธิ์ไม่ดีนัก ถึงขั้นมีความรู้สึกเป็นอริอยู่บ้าง เวลานี้แม้อยู่ในแดนลึกลับประตูสวรรค์ก็พูดถึงมิตรไมตรีอันใดไม่ได้
“หลายวันก่อนหน้าคนผู้นี้ของหุบเขาปีศาจสวรรค์ลงมือลอบโจมตี สังหารศิษย์นิกายเราอีกสองคนที่ร่วมเดินทางกับข้าแล้วแย่งชิงโชคชะตาบนร่างพวกเขาไป ผู้แซ่หลัวเดิมทีต้องการไล่ล่าสังหารคนผู้นี้เพื่อแก้แค้นให้สหายร่วมสำนัก แต่ถูกเขาใช้ความเจ้าเล่ห์หนีรอดไปได้ หลังออกจากแดนลึกลับข้าจะรายงานเรื่องนี้กับนิกาย เจ้าในฐานะศิษย์นิกายเราคงจะรู้ว่าควรทำอย่างไร” หลัวเทียนเฉิงเหล่มองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง ริมฝีปากขมุบขมิบส่งกระแสจิตเอ่ย หลังจากนั้นเปลวเพลิงสีเงินก็ลุกโหมบนร่าง ร่างกายขยับวูบหนึ่งก็ร่อนลงบนเนินสูงแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล
หลิ่วหมิงได้ฟังสองตาพลันหรี่ลง กวาดมองบุรุษหน้าเหยี่ยวผู้นั้นอีกหลายหน
แม้หลัวเทียนเฉิงจะมีพลังเพียงระดับผลึกขั้นต้น แต่ความสามารถน่าตะลึงอย่างที่สุด
ถึงจะไม่รู้ว่าศิษย์ร่วมสำนักสองคนที่ถูกสังหารพลังเป็นอย่างไร แต่ในเมื่อได้สิทธิเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ก็คงไม่อ่อนแอแน่นอน ทว่าพลังของทั้งสามคนรวมกันกลับสู้บุรุษหน้าเหยี่ยวผู้นั้นไม่ได้ แล้วยังถูกเขาโจมตีทีเดียวสังหารไปสองคนอีก ดูท่าคนผู้นี้จะแข็งแกร่งกว่าที่ตนจินตนาการไว้ก่อนหน้านี้ไม่น้อย ต้องระวังไว้บ้างแล้ว
หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว
คล้ายสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังจิตวิญญาณประหลาดที่นี่ เพียงชั่วครู่ก็มีลำแสงหลากสีเจ็ดแปดสายแหวกท้องนภามายังหุบเขา ส่องสว่างร่อนลงบนพื้นที่ใกล้ๆ
คราวนี้รอบแท่นศิลากลางหุบเขาแอ่งกระทะจึงแทบจะถูกกลุ่มคนมากมายถี่ยิบล้อมเป็นวง มีมากเกือบสามสิบคน นี่ผิดจากสถานการณ์ที่หลิ่วหมิงกับเผิงเยวี่ยคำนวณไว้ในตอนแรกว่าอย่างน้อยแปดเก้าคน อย่างมากสิบกว่าคน เวลานี้ไปไกลแล้ว