ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 792 ต่างแสดงอิทธิฤทธิ์
หลายชั่วยามให้หลังริมสระน้ำสีเงินที่สะท้อนแสงดาวระยิบระยับ
ค่ายกลเจ็ดกลุ่มดาวมังกรครามในบึงน้ำเริ่มเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ มันถูกไอหมอกสีฟ้าหนาทึบปกคลุม ใต้ผิวน้ำแสงดาวดวงแล้วดวงเล่าหักเหฉายส่องทั้งสี่คนข้างบึงน้ำจนประหนึ่งตกอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว ชวนให้รู้สึกประหลาดลึกล้ำอย่างยิ่ง
หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิ สองตาจ้องเขม็งอยู่ตรงแสงดาวที่ไหลเคลื่อนเปลี่ยนผันไม่หยุด ส่วนมือทำท่ามืออันลึกลับท่าแล้วท่าเล่า
ทันใดนั้นเสียงครวญครางเบาๆ จนแทบไม่ได้ยินเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น กระบี่บินสีทองจางเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของเขา
พร้อมกับที่เคล็ดกระบี่ที่มือชักนำ ตัวกระบี่บินฉับพลันระเบิดแสงดาราออกมาประหนึ่งดาวตกสีทองดวงหนึ่งพุ่งเข้าไปกลางค่ายกลเจ็ดกลุ่มดาวมังกรคราม จากนั้นพุ่งตัดด้านในนั้นเป็นเส้นทางประหลาดบางอย่าง
แสงดาวในค่ายกลกะพริบวูบวาบตรงนั้นตรงนี้ตามการเคลื่อนผ่านของกระบี่บินว่างเปล่าไม่หยุด
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้สองตาก็ปิดสนิท จิตสัมผัสของเขารับรู้ถึงภาพสัญลักษณ์เจ็ดกลุ่มดาวมังกรครามที่รวมตัวขึ้นมาจากลวดลายดารานับหมื่นสายซึ่งกำลังคอยๆ ลอยเด่นชัดออกมา
บนใบหน้าหลิ่วหมิงเผยสีหน้ายินดีจางๆ อาศัยพลังแห่งแม่เหล็กดาราของกระบี่บินว่างเปล่า ในที่สุดเขาก็หาจุดที่ดวงตาค่ายกลของเจ็ดกลุ่มดาวมังกรครามพบ
เผิงเยวี่ยที่อยู่ไม่ไกลสีหน้าซีดขาว ตาจ้องดวงดาราที่ไหลเคลื่อนบนผิวน้ำไม่หยุดกลัวว่าจะพลาดรายละเอียดเล็กน้อยไป
เขาอาศัยความเร็วจากการเคลื่อนที่ของดวงดาว ระยะห่างระหว่างดวงดาวผนวกกับความสว่างยามสว่างและมืดของแสงดาว คาดคำนวนเส้นทางการเคลื่อนที่ของมหาค่ายกลดารากลางผืนฟ้าในใจ
สองมือของเผิงเยวี่ยขยับเร็วไวทำท่ามืออันลึกลับท่าแล้วท่าเล่าใส่ผิวบึงสีเงินเบื้องหน้า คัดลอกเส้นทางของดวงดาราที่วาดอยู่ในใจ เงามังกรครามชัดเจนราวกับของจริง ครึ่งร่างค่อยๆ ปรากฏบนผิวของบึงเบี้องหน้าเขา
โอวหยางเชี่ยนกับน้องสาวอีกด้านหนึ่งนั่งเคียงข้างกัน
ในมือโอวหยางเชียนถืออาวุธจิตวิญญาณเป็นแผ่นกลมชิ้นหนึ่ง อีกมือหนึ่งขับเคลื่อนเคล็ดวิชาไม่หยุด ลำแสงสีน้ำเงินสายแล้วสายเล่าพุ่งจากแผ่นกลมเข้าไปกลางแสงดารา ทว่าเพียงกะพริบวูบหนึ่งก็หายไปไร้ร่องรอย
คิ้วงามของโอวหยางเชี่ยนขมวดเล็กน้อย!
แม้นางจะรู้จักค่ายกลเจ็ดกลุ่มดาวมังกรคราม ทว่าก็เคยเห็นเพียงในตำราเท่านั้น ไม่เคยศึกษาฝึกฝนจริงๆ เวลานี้จึงไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรอยู่บ้าง
มือของสาวน้อยชุดเขียวด้านข้างถือพู่กันหยกสีเขียวหยกด้ามหนึ่งขยับวาดกลางอากาศสองสามหนเป็นระยะ ใบหน้านางเผยสีหน้าเคร่งขรึม คล้ายกำลังใช้จิตสัมผัสไปพลาง วาดบางอย่างไปพลาง
ทันใดนั้นโอวหยางเชี่ยนก็เก็บอาวุธจิตวิญญาณแผ่นกลมไป นางพลิกมือเรียกมุกกลมสีแดงเม็ดหนึ่งออกมาอีก ขณะที่ปากท่องมนตร์ มือข้างหนึ่งก็โยนออกมา ไข่มุกกลมสีแดงฉับพลันส่องแสงสีแดงสว่างจ้ากลายเป็นแสงสีแดงสายหนึ่งบินเข้าไปในค่ายกล
ครั้งนี้แสงดาราบนผิวน้ำไหวเป็นระลอกพักหนึ่ง
โอวหยางเชี่ยนเห็นเช่นนี้ ในที่สุดบนใบหน้าก็เผยสีหน้ายินดีจางๆ
ขณะที่เผิงเยวี่ยรวมถึงสองพี่น้องโอวหยางยังตรากตรำบรรลุอยู่นั่นเอง ธงค่ายกลสิบกว่าคันก็ลอยขึ้นรอบร่างหลิ่วหมิงจากนั้นเรียงตัวเป็นรูปค่ายกลเจ็ดดาวเหนือ
นิ้วของเขาชี้ไปยังธงค่ายกล ทันใดนั้นแสงสิบกว่าเส้นก็พุ่งออกมาจากธงค่ายกลรวมตัวกลายเป็นลำแสงหนาสายหนึ่งพุ่งตรงเข้าไปกลางแสงดาวบนผืนน้ำ
เสียงมังกรคำรามดังออกมา แสงดาวของค่ายกลเจ็ดกลุ่มดาวมังกรครามฉับพลันสว่างเจิดจ้า เงามังกรครามมหึมาตัวหนึ่งพุ่งแหวกผืนน้ำสีเงินประหนึ่งรุ้ง บินร่อนเป็นวงในห้องศิลา ครู่หนึ่งให้หลังจึงร่อนกลับลงในบึงน้ำอีกหน
พี่น้องโอวหยางกับเผิงเยวี่ยได้ยินเสียงมังกรคำรามต่างได้สติ พากันเงยศีรษะมองไป ในดวงตาเต็มไปด้วยแววตาไม่อยากเชื่อ
บนหน้าหลิ่วหมิงปรากฏสีหน้ายินดีอย่างยิ่ง ขณะที่มือทำท่าประหลาดท่าแล้วท่าเล่า เคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าก็ร่วงจมลงไปในบึงน้ำ ผิวน้ำสีเงินพลันโถมคลั่งม้วนรัดร่างของหลิ่วหมิงลากเขาลงไปในบึงน้ำ
ครู่ต่อมาค่ายกลที่ส่องแสงสีเงินจางๆ ในบึงน้ำพลันส่องสว่างวูบหนึ่ง จากนั้นเงาร่างของหลิ่วหมิงก็หายไปในนั้นอย่างไร้ร่องรอย
เผิงเยวี่ยกับพี่น้องโอวหยางเห็นเช่นนี้ก็อดไม่ได้มองหน้ากัน
หลิ่วหมิงรู้สึกว่ามิติรอบร่างสั่นไหวอย่างรุนแรง แสงเรืองรองสีเงินที่สะท้อนเข้ามาเต็มม่านตาค่อยๆ สลายไป ทันใดนั้นภาพเบื้องหน้าก็เปลี่ยนไป เขาปรากฏตัวขึ้นในห้องศิลาห้องหนึ่ง
“ฟู่!”
หลิ่วหมิงเห็นภาพนี้ ตอนนี้ถึงถอนหายใจยาวออกมา
พูดไปแล้วเมื่อครู่ที่เขาบรรลุการเปลี่ยนผันของค่ายกลเจ็ดกลุ่มดาวมังกรครามได้ ที่จริงอาศัยโชคอย่างที่สุด หากไม่มีพลังแห่งแม่เหล็กดาราของกระบี่ว่างเปล่าช่วยให้ค้นพบเงื่อนงำของค่ายกลเจ็ดกลุ่มดาวมังกรครามแล้ว และใช้ค่ายกลเจ็ดดาวเหนือทำให้มันเผยดวงตาค่ายกล เกรงว่าเวลานี้เขาก็คงไม่อาจมาโผล่ที่นี่ได้
หลังหลิ่วหมิงสงบจิตใจลงบ้างแล้ว เขาก็เริ่มสำรวจห้องศิลาเบื้องหน้า
ห้องศิลาแห่งนี้มีสีเขียวเทาทั้งห้อง รอบด้านล้วนเป็นกำแพงศิลาแกร่งสีเขียวเทาที่มืดหม่นอย่างยิ่ง สภาพเหมือนปิดตายมาเนิ่นนาน ไม่มีหน้าต่าง มีเพียงประตูศิลาต่ำเตี้ยบานหนึ่งเชื่อมไปด้านนอก
หลิ่วหมิงเชยตามอง ตรงกลางห้องศิลาแท่นศิลาสีดำแท่นหนึ่งตั้งอยู่ ด้านบนวางถุงผ้าสีเทาไม่สะดุดตาถุงหนึ่งอยู่
เมื่อเห็นสิ่งนี้สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปวูบหนึ่ง เขายื่นมือกวักทีหนึ่ง ปราณดำสายหนึ่งพลันม้วนถุงผ้าสีเทาลอยมาหาเขา
ถุงผ้าใบนี้ร่วงลงในมือปุบ หลิ่วหมิงก็รู้สึกได้ถึงน้ำหนักในมือ
ของสิ่งนี้แม้ดูเล็กแต่หนักถึงร้อยชั่ง
แน่นอนน้ำหนักเหล่านี้สำหรับเขาแล้วไม่เป็นปัญหาอย่างสิ้นเชิง
หลังหลิ่วหมิงครุ่นคิดครู่หนึ่งก็แกว่งถุงผ้าเบาๆ ได้ยินเสียงเม็ดทรายละเอียดกระทบกัน
สองตาของเขาเปล่งประกาย จากนั้นเขาก็เปิดปากถุงออกทันทีอย่างไม่ลังเล ผลึกละเอียดสีเงินที่ตุงอยู่ด้านในปรากฏโฉมออกมา
แต่ละเม็ดประหนึ่งดวงดาวบนฟากฟ้าราตรีส่องประกายแวววาววิบวับ
“ทรายธารดาราจริงๆ!” หลิ่วหมิงยกยิ้มตรงมุมปาก เขาผู้มีสีหน้านิ่งเฉยเสมอไม่ว่ายินดีหรือเกรี้ยวกราดยังอดไม่ได้ยิ้มกว้างออกมา
ทรายธารดารานี้เม็ดเดียวยังหายาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเต็มหนึ่งถุง มูลค่าสูงกระทั่งเกรงว่าผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์ก็ยังต้องหวั่นไหวเพราะมัน!
หลังหลิ่วหมิงตรวจสอบผลึกทรายในถุงเล็กน้อยก็เก็บทรายธารดาราเข้าไปในแหวนย่อส่วนอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงฝืนปรามอารมณ์ยินดีในหัวใจ หลังสายตากวาดไปรอบด้านอีกหน ทันใดนั้นแขนก็ขยับดีดนิ้ว
เสียงฟึบๆ ดังขึ้นหลายหน แสงกระบี่สีทองสายแล้วสายเล่าซัดออกมา ทั้งหมดโจมตีบนกำแพงหินสีเขียวเทา
ผลปรากฏว่าหลังเสียงหนักหน่วงไม่กี่หน แสงกระบี่ทั้งหมดก็ดีดกลับมาแล้วสลายไป แต่บนกำแพงสีเขียวเทาทิ้งไว้เพียงรอยกระบี่จางๆ ไม่กี่รอยเท่านั้น
“ศิลาแข็งนัก…”
หลิ่วหมิงอดประหลาดใจไม่ได้อยู่บ้าง เขาตรวจสอบห้องศิลาอย่างละเอียดอีกรอบหนึ่ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่ได้มองข้ามสิ่งใดไปจึงก้าวเชื่องช้ามาถึงตรงหน้าประตูเตี้ย หลังผลักประตูศิลาเปิดอย่างระมัดระวังก็เดินออกจากห้องไป
นอกห้องศิลาไม่ใช่ท้องฟ้ากว้าง แต่เป็นอุโมงค์หินเขียวทอดยาวที่ไม่ทราบว่ามุ่งไปที่ใด
หลังหลิ่วหมิงถอนหายใจเบาๆ เขาก็ได้แต่ยกเท้าก้าวเข้าไปในอุโมงค์อย่างระมัดระวัง
อุโมงค์เส้นนี้ไม่ตรงแต่คดเคี้ยวอยู่บ้าง พื้นดินก็เป็นหลุมเป็นบ่อ ไม่เรียบแม้แต่น้อย
ผลปรากฏว่าหลังเขาเดินไปเช่นนี้เป็นเวลาราวจิบชาหนึ่งถ้วย ทางแยกก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า
เขามองทางแยกทั้งสอง พวกมันล้วนเป็นอุโมงค์หินเขียวที่ไม่ทราบว่ามุ่งไปที่ใดเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้
ในใจเขามีลางสังหรณ์ไม่ดีนักผุดขึ้นมา หลังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็เดินไปที่ทางแยกฝั่งซ้าย
ทว่าครึ่งเค่อหลังจากนั้น เขาก็ย้อนกลับมายังทางเส้นเดิมนี้อีกครั้ง สีหน้าเขาถมึงทึงอย่างยิ่ง
เมื่อครู่เขาพบทางแยกและทางตันอื่นอีกหลายครั้ง หลังเขาเดินผ่านทางแยกส่วนใหญ่จนครบแล้ว ตอนนี้ถึงมั่นใจว่าที่แห่งนี้คือเขาวงกตประหลาดแห่งหนึ่ง!
“ดูท่านี่คงเป็นการทดสอบต่อไป” หลิ่วหมิงพึมพำกับตนเอง แต่จะเดินผ่านเขาวงกตนี้ไปได้อย่างไร ในใจยังไม่มีเงื่อนงำสักนิด
หลังหลิ่วหมิงพิจารณาครู่หนึ่ง มือข้างหนึ่งก็ตั้งท่าเคล็ดกระบี่ ปากเอ่ยท่องมนตร์พักหนึ่ง กระบี่น้อยสีทองเรืองรองยาวหนึ่งชุ่นกว่าเล่มหนึ่งพลันลอยออกมาจากกลางหว่างคิ้ว
หลิ่วหมิงจี้ดัชนีใส่ความว่างเปล่า กระบี่น้อยสีทองก็บินวนกลางอากาศ แสงสีทองระยิบระยับผุดออกมาก่อตัวเป็นแสงกระบี่ยาวหลายจั้งสายหนึ่ง
“เร็ว!”
เขาตวาดเสียงเบาคำหนึ่ง แสงกระบี่สีทองก็พุ่งออกไปฟันลงบนกำแพงหินสีเขียวด้านข้างอย่างหนักหน่วงจนเกิดประกายไฟ
หลังประกายไฟกระจายหายไป บนกำแพงที่ถูกฟันก็กลายเป็นรอยกระบี่ลึกครึ่งนิ้วเส้นหนึ่ง ทว่าผิวของกำแพงหินส่องประกายแสงสีเขียววูบหนึ่งชั่วพริบตาก็ฟื้นคืนดังเดิม
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ใบหน้าก็ย่ำแย่ขึ้นมาเล็กน้อย!
เห็นได้ชัดว่าเขาวงกตแห่งนี้ถูกพลังของชั้นจำกัดอันแข็งแกร่งควบคุมอยู่ จิตสัมผัสกับสมบัติธรรมดาไม่อาจทำลายได้สักนิด
เขาไม่มีวิธีอื่น ได้แต่ถอนหายใจดันทุรังเดินเข้าไปในทางแยกฝั่งขวา
ในตำหนักสีเหลืองทอง บุรุษผมม่วง หลัวเทียนเฉิงและชายหนุ่มอัปลักษณ์ของนิกายปีศาจลี้ลับทั้งสามคนกำลังนั่งขัดสมาธิ หลับตาสนิท ทุ่มเทใจบรรลุวิชาลับที่จารึกไว้บนกำแพงของตำหนักใหญ่
เวลานี้บนร่างทั้งสามคนมีวงแหวนสีทองจางๆ ชั้นหนึ่งลอยขึ้นมามากบ้างน้อยบ้าง แล้วยังมีอักษรสันสกฤตไหลวนผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในวงแหวนแสงไม่หยุด ทำให้คนรู้สึกศักดิ์สิทธิ์น่าเคารพ
เห็นชัดว่าทั้งสามคนบรรลุวิชาลับบนกำแพงบ้างแล้ว
หลัวเทียนเฉิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านซ้ายสุดคิ้วขมวดแน่น บนหน้าผากเหงื่อเม็ดใหญ่เท่าเม็ดถั่วไหลรินลงมาไม่หยุด ร่างกายส่งเสียงเปรี๊ยะๆ ดังออกมาเป็นระยะ กล้ามเนื้อทั้งร่างขยายจนแดงก่ำดั่งโลหิตประหนึ่งจะปริออกมา
วิชาลับสายพุทธนี้เห็นชัดว่าเป็นวิชาฝึกร่างอันสูงส่งวิชาหนึ่ง สำหรับเขาผู้เดิมทีฝึกฝนร่างอยู่แล้ว เรียกได้ว่าเป็นโชควาสนาใหญ่อย่างที่สุดครั้งหนึ่ง
น่าเสียดายวิชานี้เห็นชัดว่าต้องเป็นผู้ฝึกร่างระดับแก่นแท้ถึงจะฝึกฝนได้ มิเช่นนั้นเป็นไปได้อย่างที่สุดว่าร่างจะระเบิดสิ้นใจเนื่องจากกายเนื้อแข็งแกร่งไม่พอ
แม้ว่าพลังของหลัวเทียนเฉิงจะเหนือกว่ารุ่นเดียวกันมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็อยู่ในระดับผลึกขั้นต้นเท่านั้น หากไม่ใช่เพราะความร้ายกาจของร่างจิตวิญญาณตูเทียน เกรงว่าสิทธิ์จะบรรลุก็ยังไม่มี
แต่คนผู้นี้ก้าวเดินทีละก้าวจนมาถึงวันนี้ได้ไม่ใช่เพราะพึ่งร่างจิตวิญญาณอันร้ายกาจเพียงอย่างเดียว แม้ในสภาวะที่ร่างกายเจ็บปวดอย่างสาหัสเขาก็ยังอดทนต่อไปและบรรลุไปได้ค่อนครึ่งแล้ว ยามนี้ขาดเพียงบรรลุความลี้ลับสุดท้ายก็จะสำเร็จแล้ว
หลัวเทียนเฉิงคิดถึงสารีริกธาตุทองคำองค์นั้น ในใจมีความมุ่งมาดร้อนแรงลุกโหมขึ้นมาอีกหนอย่างห้ามไม่ได้
เวลานี้เองบุรุษผมม่วงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลางพลันเบิกสองตาขึ้น ทันใดนั้นวงแสงสีทองที่ลอยอยู่บนร่างก็มีลำแสงสีทองแปดสายพุ่งออกมา ระเบิดท่วมท้นท่ามกลางแสงสีทองระยิบระยับ
มองจากไกลๆ ร่างกายของบุรุษผมม่วงประหนึ่งอาบอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงสีทองที่ลุกโชน
ทันใดนั้นระฆังยักษ์สีทองเหนือตำหนักใหญ่ก็ส่งเสียงดังขึ้นควบคู่กับเสียงภาษาสันสกฤต
เมื่อชายหนุ่มอัปลักษณ์ของนิกายปีศาจลี้ลับกับหลัวเทียนเฉิงได้ยินก็ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นแทบจะในเวลาเดียวกัน ทั้งตกใจทั้งโกรธเกรี้ยวมองไปพร้อมกัน