ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 798 ด่านจิตใจ
เผิงเยวี่ยย่อมรู้ว่าตนสู้สองพี่น้องโอวหยางไม่ได้จึงเป็นฝ่ายยกคัมภีร์เล่มนี้ให้แทน
“คิกคิก นับว่าสหายเผิงผู้นี้รู้จักสถานการณ์ ประหยัดเวลาพวกเราแล้ว” สาวน้อยชุดเขียวเห็นเช่นนี้ ในที่สุดก็สงบอารมณ์ท้อใจที่ยังเหลือในหัวใจได้แล้วหัวเราะเบาๆ เอ่ยขึ้น
โอวหยางเชี่ยนก็ยิ้มน้อยๆ เช่นเดียวกัน นางก้าวแผ่วเบาไปด้านหน้าต่อกันหลายก้าว ถือคัมภีร์เล่มนั้นขึ้นมาแล้วเริ่มเปิดอ่าน
มาดินแดนแห่งมรดกครั้งนี้พวกนางสองพี่น้องคล้ายจะได้แต่หยุดอยู่เท่านี้ แต่หลังมีคัมภีร์เล่มนี้ ก็นับว่าไม่ได้กลับไปมือเปล่า นอกจากนี้รอหลังออกจากที่แห่งนี้ไปก็ยังมีโอกาสมากมายตามหามรดกอื่นที่ซ่อนอยู่ในแดนลึกลับอีก
ดังนั้นโอวหยางเชี่ยนจึงมีท่าทางสบายๆ ไม่รีบร้อนอยู่ตลอด
……
ในลานหินเขียวอีกด้านหนึ่ง หลังพวกหลิ่วหมิงแปดคนก้าวเข้ามาในค่ายกล แสงสีทองรอบด้านค่ายกลก็ผนึกรวมกันเป็นม่านสีทองจางๆ ตั้งตรงชั้นหนึ่ง
มองจากไกลๆ ประหนึ่งเสากลมสีทองขนาดมหึมาต้นหนึ่งอยู่กลางลานหินเขียว
ผู้ที่ยืนหยัดเดินมาถึงที่แห่งนี้ได้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา!
พวกเขาทุกคนทำเสมือนไม่เห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นรอบด้าน ทยอยนั่งลงบนพื้น ตาสองข้างหลับลงนั่งทำสมาธิสงบจิตใจ
ในเวลานี้เองพื้นดินตรงกลางค่ายกลพลันมีเสียงดนตรีดังก้องไปทั่วทั้งม่านแสงอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงรู้สึกเพียงในหูเจ็บแปลบวูบหนึ่ง ดวงจิตสะท้าน ทันใดนั้นก็รู้สึกจิตใจกระสับกระส่ายนั่งไม่ติด นอกจากนี้ประหลาดยิ่งนักที่สลัดไม่หลุดสักนิด
หลิ่วหมิงตกตะลึงฉับพลันลืมตาทั้งสองข้างขึ้น เขารู้สึกว่าเบื้องหน้าขาวโพลนไปหมด หลังดวงจิตเลื่อนลอยวูบหนึ่งก็เหมือนกลับมาอยู่บนเกาะมฤตยู ทั้งยังกลายเป็นเด็กอายุไม่กี่ขวบไปกะทันหัน ผ่านฉากที่พบอาเฉียนรวมถึงความทุกข์ทรมานนานัปการหวุดหวิดเสี่ยงตายอื่นๆ บนเกาะเมื่อตอนนั้นใหม่อีกหน
เวลาชั่วครู่สั้นๆ เขาผ่านประสบการณ์สิบกว่าปีบนเกาะมฤตยูจบอีกครั้งแล้วปรากฏตัวหน้าประตูนิกายปีศาจอีกหน ภาพพิธีเปิดจิตวิญญาณยังคงน่าตื่นตาตื่นใจ
ครู่ต่อมาภาพก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง เขาปรากฏตัวขึ้นในแดนลึกลับแห่งการทดสอบเมื่อครั้งนั้นอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุอีกหน หลังภาพตรงหน้าพร่าเลือนวูบหนึ่ง ฝ่ามือมารค้ำฟ้าข้างนั้นก็ไล่ตามดังหวีดหวิวมา
ภาพน่าหวาดกลัวภาพแล้วภาพเล่านี้แล่นผ่านตรงหน้าหลิ่วหมิงไปอย่างเร็วไว ทำให้เขาไม่มีเวลาครุ่นคิดอะไรได้เลย
หลิ่วหมิงฉับพลันเคร่งเครียด จิตมารในกายคล้ายเริ่มขยับนิดๆ
เขาตกตะลึง พลังเวททั้งร่างไหลเข้าไปยังโซ่ตรวจสะกดวิญญาณ ทันใดนั้นความเย็นสบายสายหนึ่งก็แผ่ไปทั่วร่าง คลื่นความปั่นป่วนที่ผุดขึ้นในใจฉับพลันสงบลงใหม่อีกครั้ง
ทว่าหลังความรู้สึกนี้หายไป เบื้องหน้าเขาก็พร่าไปวูบหนึ่ง เขาผ่านเหตุการณ์ที่ถูกจิตปีศาจยึดครองร่างครั้งแรกเมื่อตอนนั้นใหม่อีกครั้ง
แม้ทุกสิ่งนี้เป็นเพียงความทรงจำกระจัดกระจายจำนวนหนึ่ง แต่ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่เขาหวาดกลัวที่สุดซึ่งซ่อนอยู่ในหัวใจ
หลิ่วหมิงดูเหมือนนั่งขัดสมาธิไม่ขยับอยู่ในค่ายกล หลับตาทั้งสองข้างแน่น บนหน้าผากเหงื่อขนาดเท่าเม็ดถั่วไหลรินลงมาไม่หยุด
แม้เขารู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงภาพลวงตา ทว่าในห้วงความสับสนเขาก็ต้องการกระโดดข้ามประสบการณ์น่าหวาดกลัวเหล่านี้ให้เร็วสุดกำลัง แต่ภาพที่เกี่ยวข้องกลับยิ่งชัดเจนขึ้นทุกที
เมื่อเขาเห็นหลิ่วหมิงในร่างแปลงปีศาจที่สีหน้าไร้อารมณ์นั้นอีกครั้ง จิตสังหารสายหนึ่งพลันเกิดขึ้นเองในก้นบึ้งหัวใจ ปากของเขาเปล่งเสียงหัวเราะประหลาดที่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมออกมาโดยไม่มีสาเหตุ จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นโดยไม่อาจควบคุมตัวเองได้
เวลานี้เองศิลาหุนเทียนในทะเลจิตรับรู้ของหลิ่วหมิงพลันส่งเสียงครางดังขึ้นพักหนึ่ง
เขาฉับพลันได้สติ ในดวงตาฉายแววกระจ่างใส เขาตกตะลึงชั่วครู่ก็กัดปลายลิ้น ความเจ็บแปลบรุนแรงทำให้เขาหลุดออกจากภาพลวงตาในพริบตา สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ลุกขึ้นจากที่นี่ แต่อดไม่ได้เหงื่อกาฬไหลโชก
ชั่วความคิดแล่นหลิ่วหมิงรีบปล่อยจิตสัมผัสทะลุเข้าไปในร่างตน หลังสำรวจภายในจึงพบว่าจิตปีศาจถูกวิชาสายฟ้าสวรรค์สะกดไว้อย่างว่าง่าย ไม่มีวี่แววว่าจะดิ้นหลุดสักนิด
ความรู้สึกทั้งหมดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นความรู้สึกลวงเท่านั้น!
เขาสูดหายใจลึกทันที รีบเคลื่อนพลังเวทในร่างถ่ายเทเข้าไปในโซ่ตรวนสะกดวิญญาณอย่างบ้าคลั่ง ในเวลาเดียวกันก็ถ่ายเทพลังจิตของหนอนพลังจิตในอกเสื้อเข้าไปในทะเลจิตรับรู้ของตนอย่างไม่ลังเลสักนิด
ทันใดนั้นพลังเย็นสบายประหนึ่งเส้นผมก็ผุดออกมาจากในทะเลจิตรับรู้ต่อเนื่องไม่ขาดสาย ทั้งยังก่อตัวเป็นเกราะใสแน่นสนิทจนลมไม่อาจลอดชั้นหนึ่ง ปกป้องดวงจิตของตนไว้อย่างแน่นหนา
เช่นนี้ในใจหลิ่วหมิงถึงผ่อนคลายลงเล็กน้อย
แต่ในตอนนี้เองทำนองประหลาดก็ดังก้องขึ้นในหูเขา จิตสัมผัสของเขาพร่าเลือนไปวูบหนึ่งหลังจากนั้นเขาก็ผ่านเหตุการณ์ที่สู้รบกับราชาปีศาจสมุทร ราชาโลหิตและผู้อาวุโสจินหมานทีละฉากๆ อีกหน
ครั้งนี้หลิ่วหมิงเคยฝึกฝนเผชิญหน้ากับสิ่งที่คล้ายคลึงกันในภาพมายาของห้องว่างเปล่าลึกลับมาแล้วจึงทำให้เขารับมือผ่านไปได้อย่างง่ายดาย สีหน้าบนใบหน้าค่อยๆ นิ่งสงบขึ้นมา
“ฆ่า! พวกเจ้าล้วนต้องตาย!” เสียงคำรามฉับพลันดังขึ้นจากด้านข้าง
หลิ่วหมิงตกใจหลุดจากภาพลวงตา สองตาเหล่มองทีหนึ่ง พบว่าเสียงมาจากชายหนุ่มอัปลักษณ์ของนิกายปีศาจลี้ลับ
ดวงตาสองข้างของเขายามนี้ถูกมีความบ้าคลั่งครอบงำ แม้ยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นแต่สองมือกลับปัดไปมาอลหม่าน
ครู่ต่อมาชายหนุ่มอัปลักษณ์พลันแหงนหน้ากู่ร้อง ปราณดำรอบร่างทะลักออกมาล้อมร่างกายทั้งหมดของเขาไว้ด้านใน เสียงฟึบดังขึ้น เงาร่างสายหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้าจากกลางปราณสีดำ มือขยับไม่หยุด ส่งเงาฝ่ามือสีดำขนาดแตกต่างกันฝ่ามือแล้วฝ่ามือเล่าไปสี่ด้านแปดทิศอย่างไร้จุดหมาย
เสียงฟู่ดังขึ้นทีหนึ่ง แสงสีทองสายหนึ่งม้วนขึ้นมาจากค่ายกลด้านล่างล้อมร่างของคนผู้นี้ไว้ด้านในอย่างรวดเร็ว มิติไหวเป็นระลอกหลังจากนั้นเขาก็หายไปจากในค่ายกลนี้อย่างไร้ร่องรอย
เวลานี้พวกเขาเพิ่งเข้ามาในค่ายกลได้เพียงครึ่งเค่อก็มีผู้ที่พลังไม่ธรรมดาคนหนึ่งกดจิตสังหารในใจไม่ไหวถูกเคลื่อนย้ายออกไปก่อนแล้ว
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ในใจตะลึงไปชั่ววูบ
เห็นชัดว่าในด่านนี้ทดสอบขีดจำกัดในการรับแรงกดดันของพลังจิต ไม่ค่อยเกี่ยวกับความแข็งแกร่งอ่อนแอของพลังเฉพาะตัวมากนัก
หลิ่วหมิงกระตุ้นพลังจิตต่อต้านเสียงทำนองดนตรีประหลาดในหูอย่างต่อเนื่อง ในเวลาเดียวกันสายตาก็กวาดมองผู้คนรอบด้าน
เขาเห็นเหนือกระหม่อมของชายหนุ่มผมม่วงของหอเป๋ยโต่วมีระฆังทองแดงที่ลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงจางๆ แผ่เต็มใบหนึ่งลอยอยู่ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร มันแกว่งเบาๆ ตามลม ส่งคลื่นไหวกระเพื่อมวงแล้ววงเล่าออกมาบนอากาศรอบด้าน ปกป้องรอบกายของเขาไว้
บุรุษผมม่วงนั่งตัวตรงอยู่ด้านใน ท่าทางนิ่งสงบผ่อนคลายคล้ายไม่ได้รับผลกระทบจากเสียงดนตรีประหลาดนั่นสักนิด
บุรุษชุดน้ำเงินของนิกายเทียนกงนั่งตัวตรงอยู่บนรถสีเงินนานแล้ว สองตาหลับลงเบาๆ ปากท่องมนตร์งึมงำฟังยากออกมาไม่ขาดสาย
หุ่นอาชาสีทองแปดตัวที่ลากรถสีเงินบนผิวเปล่งแสงเรืองรองสีทองออกมาแปดแถบล้อมตัวเขารวมถึงรถสีเงินไว้ด้วยกัน เห็นชัดว่าได้รับผลกระทบจากเสียงดนตรีประหลาดไม่มากนักเช่นกัน
สตรีชุดเขียวของสำนักเฮ่าหรานกลับนั่งขัดสมาธิอยู่ที่เดิม สองมือถือคัมภีร์โบราณที่ส่องแสงสีฟ้าอ่อนเล่มหนึ่งไว้ ตั้งแต่ต้นจนจบบนใบหน้าประดับรอยยิ้มน้อยๆ สองตานิ่งสงบประหนึ่งไร้คลื่นลม ราวกับว่าไม่ได้ยินทุกสิ่งรอบด้าน เพียงจดจ่อพลิกอ่านหนังสือในมือเท่านั้น
หลัวเทียนเฉิงรวมถึงบุรุษหน้าเหยี่ยวจากหุบเขาปีศาจสวรรค์ผู้นั้นอีกด้านหนึ่งเห็นชัดว่าไม่ได้สบายเช่นสองสามคน
แม้หลัวเทียนเฉิงจะยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ แต่สองตาแทบจะถูกสีแดงฉานกลืนกิน เสียงตวาดต่ำดังออกมาจากปากไม่ขาด รอบตัวมังกรและพยัคฆ์สีเงินบินวนเวียนไม่หยุด สองแขนเส้นเอ็นปูดนูนขึ้นมา โจมตีพื้นดินดังสนั่นไม่ขาด
แต่ละหมัดล้วนทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนส่งเสียงดัง บนหมัดเลือดไหลโชก แม้บาดแผลทั้งหมดจะฟื้นคืนดังเดิมในชั่วพริบตา แต่คราบเลือดที่หลงเหลืออยู่ภายนอกก็ยังคงทำให้คนเห็นแล้วใจหนาวเหน็บอย่างที่สุด
ก็ไม่รู้ว่าพื้นหินเขียวนี้ที่แท้สร้างมาจากวัสดุใด เงาหมัดถี่รัวเช่นนี้โจมตีลงไปดังสนั่นกลับไม่ทิ้งรอยไว้สักนิด
หลัวเทียนเฉิงคล้ายกำลังฝืนอาศัยสติที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดผลาญพลังเวทในร่างไม่หยุดเพื่อบังคับให้ตนไม่ลุกขึ้นยืน
บุรุษหน้าเหยี่ยวผู้นั้นใบหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวแดง สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เหงื่อขนาดเท่าเม็ดถั่วไหลลงมาจากหน้าผาก สองมือเปลี่ยนเคล็ดวิชาท่าแล้วท่าเล่าต่อเนื่องไม่หยุด เรียกมุกจิตวิญญาณสามสีเม็ดออกมาลอยอยู่ตรงหน้าอก
อักขระบนผิวด้านนอกของมุกจิตวิญญาณเม็ดนี้ไหลเคลื่อนเชื่องช้า ด้านในส่องแสงเรืองรองสีน้ำเงิน สีแดงและสีขาวสามสีพุ่งตรงเข้าไปกลางหว่างคิ้วของเขา คล้ายเป็นอาวุธจิตวิญญาณที่ป้องกันจิตใจชนิดหนึ่ง
ทว่าแม้เป็นเช่นนี้ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจผู้เคยสังหารศิษย์หัวกะทิของนิกายยอดบริสุทธิ์สองคนได้ในคราวเดียวผู้นี้กลับดูแล้วอเนจอนาถดูไม่ได้มากขึ้นอีก
หลิ่วหมิงส่ายศีรษะ หลัวเทียนเฉิงอาจทนไหว แต่เผ่าปีศาจผู้นี้เห็นชัดว่าใกล้จะพังทลายแล้ว
ไม่ผิดจากที่เขาคิด เพียงเจ็ดแปดลมหายใจให้หลัง เสียงแตกดังกังวานเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น มุกจิตวิญญาณสามสีตรงหน้าอกบุรุษหน้าเหยี่ยวระเบิดออกในทันใด
หลังผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจคนนี้เสียอาวุธจิตวิญญาณที่ปกป้องดวงจิตไปก็ฝืนยืนหยัดได้แค่สองลมหายใจเท่านั้น จากนั้นก็คำรามเกรี้ยวกราดพุ่งขึ้นท้องฟ้า วาดมือวาดเท้ากลางอากาศ เพียงยกมือยกเท้าก็ใกล้จะคลุ้มคลั่ง
แสงเรืองรองสีทองสายหนึ่งซัดขึ้นมาจากค่ายกลบนพื้น ชั่วพริบตาล้อมบุรุษหน้าเหยี่ยวไว้ด้านใน เคลื่อนย้ายหายไปเช่นเดียวกัน
เมื่อผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจผู้นี้ฟื้นคืนสติอีกครั้ง ทันใดนั้นเขาก็พบว่าตนอยู่ในห้องศิลาแปลกหน้าห้องหนึ่ง
บนโต๊ะศิลาตรงกลางวางคัมภีร์ขนาดเท่าฝ่ามือที่กลายเป็นสีเหลืองหน่อยๆ เล่มหนึ่งอยู่ ที่มุมไม่ไกลมีค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดเล็กสีขาวนวลอยู่ค่ายกลหนึ่ง
ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะศิลา ชายหนุ่มอัปลักษณ์ของนิกายปีศาจลี้ลับก็อยู่ที่นี่ด้วย เพียงแต่ทั้งร่างถูกแสงสีทองเรืองรองชั้นหนึ่งกักอยู่ ไม่อาจกระดิกตัวได้ชั่วขณะ
ทว่าพริบตาที่บุรุษหน้าเหยี่ยวปรากฏตัวขึ้น แสงสีทองฝั่งตรงข้ามก็ส่งเสียงเปรี๊ยะ แตกกระจายออก
หลังทั้งสองคนสบตากันก็แทบจะลงมือพร้อมกันโดยไม่ลังเลสักนิด สู้ศึกใหญ่กันในห้องศิลา
……
ในลานหินเขียว
หลังชายหนุ่มอัปลักษณ์กับบุรุษหน้าเหยี่ยวพากันตกรอบ ที่นั่นก็เหลือเพียงหลิ่วหมิง บุรุษผมม่วง ชายหนุ่มรถเงิน สตรีชุดเขียวกับหลัวเทียนเฉิงห้าคน
เวลาคล้ายจะผ่านไปเร็วอย่างน่าประหลาด หลังเวลาหนึ่งเค่อมาถึง เสียงดนตรีประหลาดสายนั้นก็หยุดลง ไม่ดังต่ออีก
หลิ่วหมิงลืมตาสองข้างขึ้น ในใจพรูลมหายใจยาวออกมา จากนั้นหยุดส่งพลังให้โซ่ตรวนสะกดวิญญาณกับหนอนพลังจิต
หลัวเทียนเฉิงสีหน้าซีดเผือดเหงื่อไหลซึมแผ่นหลัง สองหมัดแทบจะถูกคราบเลือดสีแดงดำหุ้มไว้อย่างสิ้นเชิง สภาพปราณเสียหายไม่เบา แต่เมื่อพบว่าตนเองทนจนผ่านด่านนี้แล้ว ในดวงตากลับเต็มไปด้วยแววตายินดี ลุกขึ้นยืนด้วยร่างกายที่สั่นเทาทันที
สตรีชุดเขียว บุรุษผมม่วงกับชายหนุ่มรถเงินก็เก็บอาวุธจิตวิญญาณไปแล้วลุกขึ้นยืนเช่นเดียวกัน
ครู่ต่อมาพวกหลิ่วหมิงห้าคนพลันรู้สึกว่าค่ายกลใต้เท้าสั่นไหวเล็กน้อย เสียงแหวกอากาศดังขึ้น
ลำแสงสีทองหนาประหนึ่งถังน้ำห้าสายฉับพลันพุ่งจากใต้พื้นดินขึ้นไปบนฟ้า หอบทั้งห้าคนหายไปในค่ายกล