ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 803 มิติสีเลือด
เสียง “ปึง” ดังขึ้นทีหนึ่ง
หลัวเทียนเฉิงรู้สึกว่าแสงรัศมีสีเขียวอมฟ้าเบื้องหน้ากะพริบวูบวาบไม่หยุด หลังมึนหัวตาลายพักหนึ่ง ครั้นลืมตาขึ้นเงยหน้ามองไปรอบด้าน ทันใดนั้นในสายตาก็เต็มไปด้วยสีเลือด เผยสีหน้าตกตะลึงอย่างห้ามไม่อยู่
“นี่มันที่ไหน?”
เมื่อครู่เขาขยี้โซ่แห่งโชคชะตาแหลกในสถานการณ์วิกฤติ ผลกลับปรากฏว่าไม่ได้ถูกเคลื่อนย้ายออกจากแดนลึกลับแต่ร่วงลงมาในมิติสีเลือดแห่งนี้
มิติสีเลือดแห่งนี้คล้ายจะไม่ใหญ่นัก แต่รอบด้านหมอกโลหิตลอยวนเวียนขมุกขมัว ท้องฟ้าทั้งผืนถูกหมอกพร่ามัวสีเลือดชั้นหนึ่งหุ้มอยู่ประหนึ่งเปลือกไข่ ในอากาศทุกหนแห่งล้วนอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
ส่วนบนพื้นดินที่เขายืนอยู่ก็เป็นดินไหม้เกรียม ผืนดินสีแดงคล้ำประหนึ่งเคยถูกเลือดนับไม่ถ้วนอาบย้อม ไม่ไกลออกไปมีวัตถุนูนขึ้นมาประหนึ่งยอดเขาตั้งตระหง่านลูกแล้วลูกเล่าเห็นได้อยู่เลือนราง พวกมันหุ้มด้วยสีเลือดชั้นแล้วชั้นเล่าเช่นกัน แม่น้ำสายหนึ่งที่อ้อมผ่านภูเขาก็มีน้ำโลหิตแดงฉานไหลริน
มิติสีเลือดแห่งนี้เป็นโลกที่ย้อมด้วยเลือดทั้งหมด!
ไม่ไกลออกไปจากเขา มีคนสามคนยืนอยู่ที่นั่น
หนึ่งในนั้นคือสตรีชุดเขียวผู้หนึ่ง นางก็คือสตรีสำนักเฮ่าหรานที่แพ้ให้แก่หลิ่วหมิงบนแท่นทองแดงก่อนหน้านี้แล้วถูกเคลื่อนย้ายมาก่อนหน้าเขาก้าวหนึ่งนั่นเอง
เวลานี้นางยืนอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าฉงน หลังพบว่าหลัวเทียนเฉิงปรากฏตัวก็อดไม่ได้มองมาแวบหนึ่ง
หลัวเทียนเฉิงไม่ได้อยากสนใจสตรีนางนี้ เขาหันศีรษะมองไปอีกด้านหนึ่งทันที
อีกสองคนที่เหลือกลับเป็นบุรุษหน้าเหยี่ยวแห่งหุบเขาปีศาจสวรรค์กับชายหนุ่มอัปลักษณ์แห่งนิกายปีศาจลี้ลับซึ่งตกรอบที่ลานหินเขียว ทั้งสองคนมีบาดแผลทั่วร่าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความดุร้ายประจันหน้ากันอยู่
ชุดสีขาวของบุรุษหน้าเหยี่ยวเลือดย้อมไปทั่วตัว จากหัวไหล่ซ้ายไปถึงแผ่นหลังด้านซ้ายปรากฏรอยดาบลึกเห็นกระดูกเส้นหนึ่ง บนบาดแผลมีปราณสีดำชั้นหนึ่งแผ่ออกมา บาดแผลกำลังปิดสนิทอย่างเชื่องช้า ส่วนเล็บแหลมคมที่มือขวาของเขามีเลือดปนกับเนื้อแหลกเหลวหลายก้อนติดอยู่
ชายหนุ่มอัปลักษณ์แห่งสำนักปีศาจลี้ลับก็มีรอยเลือดประปรายเช่นเดียวกัน ชุดสีดำที่หุ้มร่างถูกกระชากเปิดเป็นรอยขาดหลายเส้น เมื่อมองผ่านรอยขาดที่แหวกเปิดก็เห็นบาดแผลเลือดเนื้อกระจุยที่ถูกกรงเล็บแหลมคมกรีดฉีกหลายเส้น ส่วนดาบแหลมสีดำเล่มนั้นในมือเขาก็มีเลือดหลายหยดร่วงลงเบื้องล่างดังติ๋งๆ
ทั้งสองคนคล้ายเพิ่งต่อสู้ศึกใหญ่กันมายกหนึ่งก่อนหน้านี้ไม่นาน แต่ตอนนี้กลับไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงโผล่มาที่นี่ทั้งคู่
เวลานี้เองอากาศสีเลือดสี่ด้านก็แทบจะไหวกระเพื่อมพร้อมกัน แต่ละทิศปรากฏลำแสงเส้นหนึ่งพุ่งเร็วรี่มา
หลัวเทียนเฉิงกับคนอื่นตกใจไปวูบหนึ่งแล้วทยอยเรียกอาวุธจิตวิญญาณออกมาตั้งท่าระวัง
“สหายทั้งหลาย ช้าก่อน ข้าคือเผิงเยวี่ยแห่งนิกายเทียนกง!” เสียงหนึ่งฉับพลันดังออกมาจากลำแสงสีเหลืองเส้นหนึ่งในนั้น
หลัวเทียนเฉิง สตรีชุดเขียวและคนอื่นได้ยินก็ล้วนมีสีหน้าประหลาดใจ
หลัวเทียนเฉิงปล่อยจิตสัมผัสกวาดออกไปทันที หลังแน่ใจว่าเป็นเผิงเยวี่ยไม่ผิดจึงกวาดต่อไปยังลำแสงอีกสามสายที่เหลือต่อ
หลังลำแสงอีกสามสายดับลงร่อนลงใกล้ๆ กับเผิงเยวี่ย พี่น้องโอวหยางกับเซวียผานจากหุบเขาปีศาจสวรรค์ก็ก้าวออกมาจากด้านใน
หลัวเทียนเฉิงเห็นสถานการณ์นี้แม้ทั้งร่างเจ็บปวดจากบาดแผลก็ตาโตอ้าปากค้างอยู่บ้าง
ส่วนสตรีชุดเขียว บุรุษหน้าเหยี่ยวและชายหนุ่มอัปลักษณ์สามคนที่อยู่ไม่ไกลเห็นเข้าก็มองหน้ากันเช่นกัน
ต้องรู้ว่าเผิงเยวี่ยกับพี่น้องโอวหยางรวมถึงเซวียผานตอนนั้นไม่ได้เข้ามาที่ลานหินเขียว บ่งบอกว่าพวกเขาไม่ตกรอบจากด่านแรกของ ‘ดาราจันทราตะวัน’ ก็จากเขาวงกตด่านที่สอง
ส่วนบุรุษหน้าเหยี่ยวรวมถึงชายหนุ่มอัปลักษณ์สองคนตกรอบในด่านที่สาม
แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่สมควรปรากฏตัวขึ้นที่นี่พร้อมกัน
ในเวลานี้เองเผิงเยวี่ยก้าวออกมาก่อน หลังประสานมือให้พวกเขาก็เอ่ยเสียงแผ่วเบาทันที
“คิดว่าสหายทั้งหลายคงค้นพบความประหลาดของที่แห่งนี้แล้ว พูดไปแล้วก็น่าละอาย พวกเราเสียสิทธิ์เข้าร่วมแดนแห่งมรดกก่อนทุกท่านก้าวหนึ่ง แต่คิดไม่ถึงว่าหลังพวกเราผ่านค่ายกลของแดนแห่งมรดกเพื่อออกไปกลับมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ พวกเราปรึกษากันพักหนึ่งจึงตัดสินใจว่าจะแยกย้ายกันหาทางออก ผลปรากฏว่าพวกเราเหาะไปจนถึงปลายสุดกลับพบกำแพงเนื้อสีแดงที่ขยับยุกยิกไม่หยุดผืนใหญ่ ไม่เพียงน้ำไฟไม่อาจลอดผ่าน อาวุธจิตวิญญาณหรือวิชาใดๆ ก็ไม่อาจทำลายได้สักนิด คิดว่าทุกท่านที่เหลือก็เป็นเช่นนี้เหมือนกันสินะ”
เผิงเยวี่ยพูดถึงตรงนี้ก็มองไปทางเซวียผานรวมถึงพี่น้องโอวหยางที่อยู่ด้านหลังร่าง
“สิ่งที่พวกเราสองพี่น้องพบเป็นเช่นเดียวกับสหายเผิง ที่แห่งนี้ไม่ใหญ่แต่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด แปลกประหลาดอย่างที่สุดจริงๆ” หลังโอวหยางเชี่ยนส่งกระแสจิตกับเด็กสาวชุดเขียวครู่หนึ่งแล้วเห็นสายตาของเผิงเยวี่ยที่มองมาหาตน คิ้วงามก็ขมวดเล็กน้อยขณะที่พยักหน้าเอ่ยบอก
เสียงพูดเพิ่งจบลง โอวหยางเชี่ยนก็หันหน้ามองไปทางเซวียผาน
เซวียผานพยักหน้า เห็นชัดว่าสิ่งที่เขาพบไม่ต่างอันใดกับทั้งสามคนที่เหลือ แต่หลังครุ่นคิดนิดหนึ่งก็เอ่ยปากอีกหน
“ดูท่าพวกเราคงได้แต่บีบโซ่โชคชะตาให้แหลก แม้ทำเช่นนี้โชคชะตาที่ได้มาก่อนหน้านี้จะเสียเปล่า ทว่านี่ก็เป็นหนทางที่เลือกไม่ได้ อย่างไรก็ดีกว่าถูกขังอยู่ที่นี่”
“ข้าคิดว่าเรื่องนี้ไม่ต้องลองแล้ว” เวลานี้เองหลัวเทียนเฉิงกลับเปิดปากเอ่ยขึ้น
“สหายหลัวหมายความว่าอย่างไร” เผิงเยวี่ยได้ยินก็อดไม่ได้เอ่ยถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
“พวกเจ้าดูเอาเองเถิด” หลัวเทียนเฉิงมองสตรีชุดเขียวที่อยู่ไม่ไกลทีหนึ่งแล้วถอนหายใจแผ่วเบา ค่อยๆ ยกข้อมือข้างขวาของตนเองขึ้นมาช้าๆ จนเห็นว่าบนนั้นมีโซ่โชคชะตาเส้นน้อยเส้นหนึ่งทอประกายแสงสีเทาจางๆ อยู่
“เมื่อครู่ข้าตกอยู่ในช่วงความเป็นความตายจึงบีบโซ่โชคชะตาแหลกด้วยตนเอง แต่คิดไม่ถึงว่าไม่เพียงไม่ถูกส่งออกจากแดนลึกลับประตูสวรรค์กลับมายังที่แห่งนี้ แล้วโซ่แห่งโชคชะตาก็ก่อตัวขึ้นมาใหม่อีก เพียงแค่โชคชะตาน้อยลงไปครึ่งหนึ่งจากตอนแรกเท่านั้น” หลัวเทียนเฉิงมองทุกคนด้วยแววตาไม่เข้าใจเล็กน้อยแล้วเอ่ยปากบอกช้าๆ
ทุกคนได้ยิน ในที่สุดสีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
“ข้าคิดว่าแดนแห่งมรดกนี่เหมือนจะมีบางสิ่งผิดปกติ พวกเราอาจถูกขังไว้แล้ว” เซวียผานยิ้มขมขื่นทีหนึ่งพลางเอ่ยบอก
……
ในสถานที่ลึกที่สุดในอาณาจักรลึกลับคือแท่นเรียบขนาดยักษ์มืดสลัวไม่ทราบใหญ่เท่าไรแท่นหนึ่ง ด้านบนคือท้องนภาดำทะมึน ขอบเวทีเชื่อมกลืนเป็นสีเดียวกันกับท้องฟ้า คล้ายมองไม่เห็นปลายสุดอย่างสิ้นเชิง
เวลานี้เองเสียง “ฟึบๆ” หลายหนก็ดังขึ้น แสงรัศมีสีน้ำเงินสามสายแหวกอากาศ ทิ้งรอยยาวสีน้ำเงินหลายสิบจั้งสามเส้นไว้กลางอากาศ ประหนึ่งดาวตกสามดวงพุ่งอย่างรวดเร็วไปยังใจกลางแท่นเรียบ
ชายหนุ่มชุดน้ำเงินคนหนึ่งใจกลางแสงสีน้ำเงินล้อมอยู่ก็คือหลิ่วหมิง ส่วนอีกสองคนย่อมไม่ต้องพูดมาก พวกเขาก็คือชายหนุ่มผมม่วงแห่งหอเป๋ยโต่วที่ล้มหลัวเทียนเฉิงผ่านด่านก่อนหน้านี้กับชายหนุ่มรถเงินแห่งนิกายเทียนกงผู้เข้ารอบมาโดยไม่ต้องสู้
เสียง “ปังๆๆ” สามครั้งดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน
แสงสีน้ำเงินสามสายร่วงลงบนแท่นเรียบอย่างรวดเร็ว หลังระเบิดก็เผยร่างของทั้งสามคนออกมา
หลิ่วหมิงรู้สึกเพียงร่างกายสั่นสะเทือนเล็กน้อย เมื่อแสงสีน้ำเงินเบื้องหน้ากระจายออกเขาก็ปรากฏตัวขึ้นในมิติดำขมุกขมัวแห่งหนึ่ง
เขาเพิ่งยืนมั่นคง ทอดสายตามองไปก็เห็นชายหนุ่มผมม่วงกับชายหนุ่มรถเงินกำลังแยกย้ายกันยืนอยู่สองด้านของตน ระยะห่างห่างกันราวเจ็ดแปดจั้ง
ดูจากสภาพไม่กี่ด่านก่อนหน้านี้ ในใจเขาสันนิษฐานว่าต่อไปอาจเป็นการทดสอบด่านสุดท้ายแล้ว ตอนนี้เขายืนอยู่ตรงกลางระหว่างสองคน ตำแหน่งไม่ดีกับเขานัก
เขาคิดรวดเร็ว ร่างขยับไหววูบหนึ่งอย่างเงียบเชียบ ถอยหลังไปหลายก้าวทันที ทำให้ทั้งสามคนยืนคุมเชิงกัน
หลังชายหนุ่มผมม่วงมองเขาอย่างดูแคลนทีหนึ่งก็สนใจสำรวจสภาพรอบด้านต่อ
ส่วนชายหนุ่มรถเงินยิ้มอย่างเป็นมิตรให้หลิ่วหมิง หลังจากนั้นจึงชะเง้อมองรอบด้าน มือข้างหนึ่งก็ล้วงลูกแก้วกลมสีเหลืองขุ่นขนาดเท่าข้อนิ้วห้าหกลูกออกมาจากข้างเอวโยนลงบนพื้น และยิงเคล็ดวิชาหลายสายใส่มันอย่างต่อเนื่อง
เสียงแครกดังขึ้นทีหนึ่งพร้อมกับที่แสงสีเหลืองฉายวาบ ลูกแก้วกลมเหล่านี้ฉับพลันกลายเป็นหุ่นหนอนเกราะทองขนาดหลายชุ่นกว่าตัวแล้วตัวเล่า หลังพวกมันส่งเสียงแสกสากไม่กี่ทีก็บินต่ำๆ รวดเร็วไปรอบด้าน
หลิ่วหมิงเห็นก็ปล่อยจิตสัมผัสออกมาสำรวจสภาพรอบด้านบ้าง
ที่แห่งนี้คือมิติโล่งกว้างแห่งหนึ่ง ทอดสายตามองออกไปนอกแท่นเรียบใต้เท้า ทั้งสี่ด้านคล้ายไม่มีขอบปลายสักนิด แม้จิตสัมผัสของเขาจะแข็งแกร่งจนครอบคลุมอาณาเขตหลายลี้ได้ แต่ไม่ว่าค้นหาอย่างไรก็ไม่พบสิ่งใดเป็นพิเศษ
เมื่อเขารั้งจิตสัมผัสกลับมา สายตาก็เหล่มองบุรุษผมม่วงทีหนึ่ง คนผู้นี้คล้ายจะไม่พบสิ่งใดเช่นกัน บนหน้าฉายสีหน้ารำคาญเล็กน้อย
ชายหนุ่มรถเงินอีกด้านหนึ่งเองก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา หุ่นหนอนเกราะที่ปล่อยออกไปคล้ายไม่ได้อันใดมาสักนิด
“หึหึ หรือว่าด่านสุดท้ายของแดนมรดกแห่งนี้คือให้พวกเราสามคนต่อสู้กันในแดนลึกลับนี่จนกระทั่งท้ายที่สุดเหลือแค่คนเดียว” บุรุษผมม่วงฉับพลันหมุนตัวมองมาหาพวกหลิ่วหมิง ในดวงตาปรากฏไอสังหารเล็กน้อยเอ่ยขึ้น
“สหายอย่าได้ใจร้อนเกินไป รอสักประเดี๋ยวจะกลัวอันใด คิดว่าเจ้าเพียงคนเดียวบดขยี้ข้ากับสหายหลิ่วได้ง่ายๆ จริงหรือ” ชายหนุ่มรถเงินผู้สงบปากสงบคำมาตลอดได้ฟังสายตาพลันเย็นเยียบ ไม่เห็นเขาเคลื่อนไหวอย่างใด ทว่าบนร่างกลับมีไอหมอกสีทองระลอกหนึ่งม้วนออกมา หลังวนเวียนรอบหนึ่งก็กลายเป็นชุดเกราะที่ส่องแสงสีทองเรืองรองชิ้นหนึ่งคล้ายกับชุดนั้นที่เผิงเยวี่ยสวมก่อนหน้านี้อยู่เล็กน้อย
หลิ่วหมิงหรี่สองตาลงเช่นกัน แสงสีเหลืองฉายออกมาจากในแขนเสื้อ โล่เล็กสีน้ำตาลทองแผ่นหนึ่งฉับพลันปรากฏขึ้นในมือ
บุรุษผมม่วงมองชายหนุ่มรถเงินจากนั้นมองหลิ่วหมิงที่ไม่พูดสักคำ แววตาเขาดุร้ายอย่างมากคล้ายจะลงมือกับทั้งสองคนพร้อมกันจริงๆ
ขณะที่บรรยากาศระหว่างทั้งสามคนตึงเครียดอยู่นั้น กลางอากาศที่เดิมเงียบสงบฉับพลันกลับมีเสียง “ชี่” ดังสนั่นสะเทือนแก้วหูแทบดับขึ้นมา
ทั้งสามคนต่างเงยศีรษะมองไปพร้อมกัน
พวกเขาเห็นท้องนภาที่เดิมทีสีดำทะมึนฉับพลันถูกแสงสีทองกลุ่มหนึ่งสาดส่อง
แสงสีทองประหนึ่งดาวตกดวงหนึ่งบินรวดเร็วผ่านท้องฟ้าทิ้งรอยลากสีทองจางยาวเฟื้อยเส้นหนึ่งไว้ประหนึ่งฉีกท้องนภาสีดำสนิทเป็นรอยแผลเส้นหนึ่ง
ครู่ต่อมาแสงสีทองก็ร่วงตรงลงมาฟันหนักหน่วงกลางแท่นเรียบเบื้องหน้าทั้งสามคนดัง “เปรี้ยง”
แสงแสบตาระเบิดออกมาในพริบตาประหนึ่งดวงตะวันร้อนแรงดวงหนึ่งลอยขึ้นมาทำให้คนไม่กล้ามองตรงๆ แม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงใช้แขนขึ้นบังแสงสีทองส่วนหนึ่งไว้โดยไม่รู้ตัว สองตาหรี่ลงเพ่งมองไปด้านหน้า เห็นเพียงตรงกลางแท่นเรียบม่านแสงสีทองจางรูปกระบอกกลมวงหนึ่งส่องสว่างขยายออกไปรอบด้านพร้อมกับที่สั่นสะเทือนน้อยๆ
ทั้งสามคนตกตะลึงกระโดดถอยหลังพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย พวกเขายืนห่างไปหลายจั้ง มองฉากน่าตะลึงตรงหน้านี้อย่างสงสัย
ม่านแสงสีทองขยายจนกระทั่งเส้นผ่านศูนย์กลางมีขนาดร้อยกว่าจั้งถึงหยุด เสียงฟู่ดังขึ้นทีหนึ่งแสงรัศมีสีทองจุดแล้วจุดเล่ากระเพื่อมไหวต่อเนื่อง พร้อมกับเสียงดังครืน ตำหนักใหญ่ที่ส่องแสงสีทองเรืองรองหลังหนึ่งก็ผุดขึ้นทีละนิดๆ ออกมาจากใต้ดิน แสงสีทองสว่างจ้าจับตา ส่องมิติสีดำจนสว่างไสวอย่างยิ่งประหนึ่งยามกลางวัน