ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 804 มรดกสุดท้าย
พร้อมกับที่ตำหนักใหญ่ลอยออกมา พื้นดินก็ยิ่งสะเทือนรุนแรง พวกหลิ่วหมิงสามคนกระตุ้นพลังเวทลอยขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัด ทว่าแต่ละคนล้วนมองตำหนักขนาดมหึมาที่ผุดขึ้นมาจากพื้นไม่หยุดอย่างไม่ละสายตา
เวลาชั่วจิบชาหนึ่งถ้วยให้หลัง แรงสั่นสะเทือนดังครืดคราดถึงสงบลง
ตำหนักใหญ่สีทองสูงถึงเจ็ดแปดสิบจั้งกินพื้นที่ราวหลายหมู่ ตำหนักใหญ่ทั้งหลังไม่ว่ายอดเสาปลายหลังคาหรือราวล้วนสลักด้วยสีทอง ด้านบนมีอักขระที่ไม่รู้จักเคลื่อนจากบนลงล่างไม่หยุดอยู่เลือนราง ทำให้คนรู้สึกพรั่นพรึงอย่างไม่อาจเข้าใจได้
หลายลมหายใจให้หลัง แสงสีทองบนประตูตำหนักก็สลายไปเล็กน้อย ประตูใหญ่ซึ่งทาสีทองส่องแสงเรืองรองสามบานปรากฏขึ้น
ประตูแต่ละบานสูงห้าหกจั้ง กว้างสองสามฉือ ตรงใจกลางประตูมียันต์สีเลือดขนาดเท่าฝ่ามือดวงหนึ่งกำลังกะพริบไม่หยุด
สิ่งที่ทำให้ทั้งสามคนยิ่งสนใจก็คือตำแหน่งของประตูทั้งสามบานแม้อยู่ไกลแต่พอดีตรงกับทั้งสามคน
“ฮ่าฮ่า ดูท่านี่ถึงจะเป็นการทดสอบของมรดกชิ้นสุดท้ายนั่น” หลังบุรุษผมม่วงหัวเราะฮ่าฮ่าครั้งหนึ่งก็ไม่สนใจสองคนที่เหลืออีก รอบร่างเปล่งแสงสีม่วงกลายเป็นแสงสีม่วงสายหนึ่งพุ่งเข้าไปทันที
ความเร็วของเขาเร็วอย่างที่สุด กะพริบวูบวาบสองสามครั้งก็ปรากฏตัวตรงหน้าประตูใหญ่ เขายกมือขึ้นกลางอากาศ เงาฝ่ามือยักษ์สีม่วงขนาดหนึ่งจั้งกว่าข้างหนึ่งก่อตัวขึ้นกลางอากาศพัดหวีดหวิวไปหาประตูตำหนัก
เสียง “ปึง” ดังขึ้นทีหนึ่ง
เงาฝ่ามือยักษ์สีม่วงแตะถูกประตูใหญ่ปุบก็ส่องแสงเล็กน้อยแล้วระเบิดกระจาย กลายเป็นปราณสีม่วงถูกยันต์สีเลือดดูดซับไปหมดสิ้นประหนึ่งวาฬยักษ์สูดน้ำ
ยันต์สีเลือดที่เดิมทีขนาดกำปั้นบนประตูพริบตาขยายใหญ่ขึ้นเท่าหนึ่งแล้วเริ่มกะพริบวูบวาบอย่างบ้าคลั่ง
บุรุษผมม่วงเห็นเช่นนี้สีหน้าก็เคร่งขรึม แววตาครุ่นคิดแล่นผ่านในดวงตาแล้วหายไป โจมตีออกมาอีกสองฝ่ามือติด
เสียงตุบตับแผ่วเบาสองครั้งดังออกมา เงาฝ่ามือยักษ์สองข้างกลายเป็นไอหมอกสีม่วงระเบิดแตกกระจายแล้วถูกยันต์สีเลือดดูดเข้าไปอีกหนเช่นเดิม
หลังยันต์นี้ดูดกลืนไอหมอกเหล่านี้ไปก็ประหนึ่งกินโอสถบำรุงขยายพรวดขึ้นอีกหนึ่งเท่าจนมีขนาดหนึ่งฉื่อกว่า
บุรุษผมม่วงแค่นเสียงเหอะคำหนึ่ง สองมือยังคงต่อยใส่ประตูยักษ์สีทองอย่างบ้าคลั่งไม่หยุด
ชายหนุ่มรถเงินกับหลิ่วหมิงเห็นสภาพเช่นนี้ หลังมองตากันทีหนึ่ง หัวใจก็หวั่นไหว ร่างกายขยับไม่กี่ครั้งก็ปรากฏตัวขึ้นตรงด้านหน้าของประตูใหญ่ที่ใกล้ตัวเองที่สุดเช่นกัน
ชายหนุ่มรถเงินยกมือขึ้น ยันต์สีเทาขมุกขมัวบินพุ่งออกมา
เสียงบึ๊มดังสนั่นลอยมา!
ยันต์กลางอากาศค่อยๆ กลายเป็นแสงรัศมีสีเทาดวงแล้วดวงเล่าระเบิดออก พุ่งโจมตีอย่างรุนแรงจนอากาศใกล้ๆ บิดเบี้ยวไปพักหนึ่ง ประตูใหญ่สีทองทั้งบานสั่นสะเทือนจนส่งเสียงดังฮึมขึ้นมาด้วย
หลังยันต์สีเลือดบนประตูส่องแสง เส้นไหมสีเลือดนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมาจากข้างในอย่างเงียบเฉียบโอบรัดรัศมีสีเทาลากเข้าไป แสงรัศมียันต์สีเลือดสว่างเพิ่มขึ้นไม่น้อยเช่นกัน
ส่วนหลิ่วหมิงรอบร่างปราณสีดำพลุ่งพล่านออกมา สองแขนพร่าเลือนไปวูบหนึ่งก็สร้างเงาหมัดสีดำเหมือนกันเปี๊ยบเจ็ดแปดหมัดออกมา
เสียง “ฟึบๆ” ดังขึ้น เงาหมัดแต่ละหมัดโจมตีลงบนยันต์สีเลือดบนบานประตูอย่างแม่นยำไม่มีพลาด ทำให้มันสั่นคลอนเล็กน้อยแล้วใหญ่ขึ้นในทันใดเช่นกัน
ทั้งสามคนล้วนโจมตีประตูใหญ่เบื้องหน้าอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้
ครู่หนึ่งให้หลังบนประตูใหญ่เบื้องหน้าบุรุษผมม่วง ยันต์สีเลือดก็มีขนาดถึงสองจั้ง แทบจะอัดเต็มครึ่งค่อนประตูใหญ่ นอกจากนี้พร้อมกับที่เงาฝ่ามือยักษ์โจมตีออกมาไม่หยุด แสงรัศมีก็ยิ่งกะพริบเร็วขึ้น ท่าทางคล้ายจะระเบิดอยู่เลือนราง
หลังยันต์สีเลือดขยายใหญ่ขึ้นอีกเท่าหนึ่ง ในที่สุดมันก็ลอยหลุดออกมาจากประตูพร้อมกับเสียงแผ่วเบา จากนั้นมันก็หมุนติ้วรอบหนึ่งกลายเป็นแสงสีเลือดจุดแล้วจุดเล่าระเบิดออก
ประตูใหญ่ตรงหน้าบุรุษผมม่วงเปิดออกดังปัง
“ฮ่าฮ่า! ทั้งสองท่านไม่ต้องรีบร้อน ข้าไปรับสมบัติก่อนล่ะ” บุรุษผมม่วงโจมตีเต็มแรงต่อเนื่อง ผลาญพลังเวทไปไม่น้อย สีหน้าจึงซีดขาวอยู่บ้าง แต่เห็นสถานการณ์เช่นนี้เขาก็หัวเราะบ้าคลั่งทีหนึ่ง ร่างกายโฉบวูบหายไปจากสายตาของทั้งสองคน
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ทำหน้าเสียดาย หลังตวาดเบาๆ คำหนึ่ง สองแขนพลันหนาขึ้นต่อยหลายสิบหมัดต่อเนื่องเข้าใส่ยันต์สีเลือดบนประตู
เสียงมังกรกรีดร้องพยัคฆ์คำรามดังขึ้นพักหนึ่ง เงาหมัดมากมายถี่รัวโจมตีลงบนยันต์ ยันต์สีเลือดบนประตูที่ตรงกันดูดกลืนปราณดำสายแล้วสายเล่าจากสายลมหมัดของเขาแล้วขยายขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
ชายหนุ่มรถเงินหน้าประตูใหญ่อีกบานหนึ่งเห็นชายหนุ่มผมม่วงชิงนำไปก่อน สีหน้าก็เคร่งขรึมเช่นกัน เขาล้วงลูกแก้วกลมใสที่ส่องแสงสีเขียวเรืองรองหลายลูกออกมาจากในกำไลเก็บของแล้วโยนลงไปบนพื้นอีกครั้ง
พร้อมกับที่ปากเขาท่องมนตร์ ผิวหน้าของลูกแก้วกลมก็ส่องแสงสีเขียวจากนั้นกลายร่างเป็นหุ่นวิหคยักษ์ซึ่งดูราวกับมีชีวิตสูงหนึ่งจั้งกว่าหลายตัวยืนเรียงแถวหน้ากระดานอยู่หลังร่างเขา
ชายหนุ่มรถเงินสิบนิ้วขยับรัวใช้เคล็ดวิชาท่าแล้วท่าเล่า สองตาของหุ่นวิหคสีเขียวก็ส่องประกาย ปากใหญ่อ้ากว้างพ่นลำแสงสีเขียวสายแล้วสายเล่าพุ่งดังหวีดหวิดตรงไปยังประตูใหญ่
เสียงบึ๊มดังสนั่น!
เวลานี้หลังหลิ่วหมิงโถมโจมตีมาได้พักหนึ่ง ยันต์สีเลือดบนประตูใหญ่ก็ขยายพรวดไม่หยุด แต่ขาดอีกนิดหน่อยจึงยังไม่อาจบินหลุดออกมาจากประตูได้ เขาสีหน้าเคร่งขรึมในทันใด มือข้างหนึ่งทำท่าเคล็ดกระบี่ กระบี่เล็กสีทองเล่มหนึ่งก็บินออกมาจากหว่างคิ้วกลายเป็นแสงสีทองฟันออกไปในพริบตา
หลังเสียง “ปัง” ดังขึ้นทีหนึ่ง แสงกระบี่ก็ฟันลงบนยันต์สีเลือด ปราณกระบี่สายแล้วสายเล่าพุ่งกรอกเข้าไปด้านใน
ครู่ต่อมายันต์บนประตูพลันกะพริบแล้วลอยออกมา จากนั้นส่งเสียงดังเปรี้ยงกลายเป็นแสงสีเลือดดวงแล้วดวงเล่าระเบิดกระจาย
แสงรัศมีบนกระบี่บินสีทองหม่นแสงลงไปประมาณหนึ่งเนื่องจากเสียปราณกระบี่ไปจำนวนมากในชั่วพริบตาหลังถูกหลิ่วหมิงกวักมือข้างหนึ่งเรียกมันก็กลายเป็นกระบี่น้อยสีทองเล่มหนึ่งบินพุ่งกลับไปในร่างเขา
แทบจะในพริบตาที่หลิ่วหมิงทำลายชั้นจำกัดบนประตูได้ หลังถูกลำแสงสีเขียวโจมตีต่อเนื่อง ประตูใหญ่ด้านหน้าชายหนุ่มรถเงินก็ส่งเสียงดังครืนเปิดออกเช่นกัน
ทั้งสองคนไม่ลังเลสักนิดทะยานร่างเข้าไปพร้อมกัน
เมื่อเข้ามาด้านในตำหนักใหญ่ สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าพวกเขาก็คือห้องโถงใหญ่สีทองอร่ามยาวร้อยจั้ง กว้างยี่สิบกว่าจั้งแห่งหนึ่ง
เช่นเดียวกับด้านนอกตำหนักใหญ่แห่งนี้ ด้านในห้องโถงแทบจะเป็นสีทองอร่ามทั้งหมด นอกจากนี้ส่วนใหญ่ยังถูกทะเลหมอกสีทองจางๆ ล้อมอยู่ด้วย
สองฝั่งของห้องโถงใหญ่มีเสาศิลาสีทองหนาทั้งหมดสิบแปดต้นตั้งตระหง่านอยู่ บนเสาศิลาเก้าต้นฝั่งซ้ายคือมังกรยักษ์ที่ดูราวกับมีชีวิตตัวแล้วตัวเล่ากำลังอ้าปากกางกรงเล็บพันขด ส่วนบนเสาศิลาฝั่งขวาคือหงส์ทองตัวแล้วตัวเล่ากางปีกโผบิน
สุดปลายห้องโถงใหญ่วางเก้าอี้ไม้ที่ส่องแสงสีทองจางๆ ตัวหนึ่งไว้ บนนั้นรูปสลักผู้เฒ่าชุดสีน้ำเงินผู้มีใบหน้าสงบดูราวกับมีชีวิตคนหนึ่งนั่งหลังตรงอยู่
เบื้องหน้ารูปสลักผู้เฒ่าคือโต๊ะบูชาหินสีเทาสี่เหลี่ยมสูงราวหนึ่งจั้งกว่าตัวหนึ่ง ด้านบนหีบไม้สามใบวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ แต่ละกล่องถูกแสงจิตวิญญาณจางๆ ต่างสีสันชั้นหนึ่งล้อมอยู่ แลดูค่อนข้างลึกลับ
ด้านบนหีบไม้สีม่วงใบแรกคือแสงจิตวิญญาณสีม่วงจางชั้นหนึ่ง ปรากฏลวดลายจิตวิญญาณรูปดอกโบตั๋นดอกแล้วดอกเล่าไหลเคลื่อนเชื่องช้าอยู่ บนหีบไม้ยังมีกลิ่นไม้จันทน์อ่อนๆ ลอยออกมาเลือนรางอีกด้วย
บนหีบไม้สีทองอ่อนใบที่สองคือแสงจิตวิญญาณสีทองอ่อนชั้นหนึ่ง ด้านบนมีลวดลายจิตวิญญาณรูปดอกบัววงแล้ววงเล่าประหนึ่งวงปี แผ่กลิ่นหอมเย็นอ่อนๆ ออกมา
หีบไม้ใบที่สามทั้งใบเป็นสีเงินยวง ด้านบนมีเปลวเพลิงสีเงินจางชั้นหนึ่งขยับวูบไหวไม่หยุดเช่นกัน ด้านบนลวดลายจิตวิญญาณรูปดอกสาลี่เล็กละเอียดเป็นดวงๆ ราวกับดวงดาราไหลเคลื่อนอยู่อย่างเห็นได้เจน ส่งกลิ่นหอมชวนเมามายชนิดหนึ่งออกมา
หลิ่วหมิงอยู่ห่างร้อยกว่าจั้งก็ยังคงได้กลิ่นหอมจางที่แผ่ออกมาจากหีบไม้สามใบอยู่เลือนราง จากสาเหตุนี้ยิ่งเห็นถึงความไม่ธรรมดาของวัตถุในหีบ
แม้ครั้งนี้ไม่มีคำสั่งใด แต่เห็นชัดยิ่งว่าหีบไม้สามใบนี้ย่อมเป็นของรางวัลของการทดสอบด่านนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อหลิ่วหมิงกวาดสายตาไปด้านข้างก็ค้นพบอย่างประหลาดใจว่าบุรุษผมม่วงยืนนิ่งอยู่ไม่ไกล ใบหน้าโกรธเกรี้ยวอยู่นิดๆ
เบื้องหน้าร่างเขาไอหมอกสีทองสายหนึ่งกลายเป็นกำแพงขวางทางอยู่ ทำให้เขาไม่อาจเคลื่อนไปข้างหน้าได้เลยสักนิด
“มรดกของข้า ผู้มีวาสนาจึงได้ครอง!”
เสียงแก่ชราเสียงหนึ่งฉับพลันดังก้องไม่หยุดในห้องโถงใหญ่ทั้งห้อง
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าสองหูดังอื้ออึง รู้สึกประหนึ่งวิญญาณจะถูกดึงออกจากร่างไปทั้งอย่างนั้น ทะเลจิตรับรู้ทั้งหมดสะเทือนประหนึ่งจะถล่มทลาย
เขาตกใจรีบร้อนกระตุ้นเคล็ดวิชา ในสมองกระแสความเย็นสายหนึ่งซัดเข้ามาถึงมีสติแจ่มชัด เมื่อยืนตั้งร่างมั่นคงได้ใหม่อีกครั้ง เขาก็รีบกวาดสายตามองไปด้านหน้า
เสียงที่เอ่ยวาจานี้คล้ายดังออกมาจากรูปสลักผู้เฒ่าชุดสีน้ำเงินที่นั่งสง่าอยู่บนเก้าอี้ไม้ซึ่งส่องแสงสีทอง
บุรุษผมม่วงรวมถึงชายหนุ่มรถเงินที่อยู่อีกด้านสีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาวอยู่พักหนึ่งเหมือนกัน เห็นชัดว่าถูกเสียงเมื่อครู่สั่นสะเทือนดวงจิตไปครู่หนึ่งเช่นกัน
ทว่าหลังเสียงนี้จบลงกำแพงปราณสีทองเบื้องหน้าบุรุษผมม่วงพริบตาก็แตกสลายหายไป
ตอนนี้เองเสาศิลาสีทองสิบแปดต้นรอบด้านฉับพลันส่องสว่าง แสงสีทองสายแล้วสายเล่าพุ่งออกมาจากดวงตาของมังกรกับหงส์บนเสาศิลาเกี่ยวกระหวัดไขว้กันจนคนตาพร่าพักหนึ่งก็จมลงไปในทะเลหมอก
ทันใดนั้นทะเลหมอกสีทองก็เคลื่อนโถมแยกออกซ้ายขวา ก่อตัวเป็นทางสามเส้น ทางแต่ละเส้นเชื่อมตรงไปยังโต๊ะบูชาที่อยู่ห่างไปสี่ห้าจั้ง
ทั้งสามคนเห็นเช่นนี้ ไหนเลยจะไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น พวกเขาต่างบินพุ่งตรงดิ่งไปยังทางที่ใกล้ที่สุดเบื้องหน้า
หลิ่วหมิงพุ่งเข้าไปในเส้นทางปุบก็รู้สึกว่าอากาศรอบด้านอึดอัด ทั้งร่างหนักอึ้ง ทั้งตัวกลายเป็นหนักหมื่นชั่ง
เสียงหนักหน่วงดังขึ้น!
สองเท้าของเขาเหยียบลงบนเส้นทางสีทองอย่างหนักหน่วง ชักพาให้เส้นทางทั้งเส้นสั่นสะเทือนเล็กน้อย
ไม่รอให้เขายืนตั้งร่างมั่นคง ซ้ายขวาสองฝั่งก็มีเสียงหนักหน่วงสองเสียงดังขึ้นพร้อมกัน เสียงมาจากบุรุษผมม่วงกับชายหนุ่มรถเงินผู้นั้นนั่นเอง
บุรุษผมม่วงร่อนลงพื้นปุบ ร่างกายพลันสั่นสะท้าน ปราณสีม่วงรอบร่างไหลเคลื่อนพักหนึ่งถึงทนรับไหวได้อย่างสบายๆ
ชายหนุ่มรถเงินอีกด้านหนึ่งร่อนลงพื้นปุบร่างกายก็ซวนเซ หลังแค่นเสียงทีหนึ่งถึงหวุดหวิดตั้งร่างมั่นคงได้
“ชั้นจำกัดอาณาเขตเพิ่มแรงโน้มถ่วง น่าสนใจดี”
บุรุษผมม่วงพบสถานการณ์นี้กลับไม่ตระหนกแต่ยินดี หลังหัวเราะเขาก็เก็บเพลิงปราณสีม่วงทั่วร่างไป ลวดลายจิตวิญญาณเส้นแล้วเส้นเล่าบนใบหน้าส่องสว่างขึ้นอีกหน หลังเหล่มองทั้งสองคนด้านซ้ายขวาอย่างเย็นชา ทั่วร่างเขาก็เปล่งแสงสีม่วงวูบวาบก้าวยาวมุ่งไปหาโต๊ะบูชาประหนึ่งแรงโน้มถ่วงน่าตะลึงตลอดเส้นทางไม่มีผลกับเขาแต่อย่างใด
เวลานี้หลิ่วหมิงกำลังใช้เคล็ดวิชาด้วยมือข้างหนึ่ง ทั่วร่างหมอกสีดำพลุ่งพล่านโถมออกมา ร่างกายสูงขึ้นครึ่งจั้ง กระดูกส่งเสียงเปรี๊ยะดังกึกก้องเป็นพักๆ จากนั้นมือข้างหนึ่งก็พลิกเรียกยันต์ที่ส่องแสงสีฟ้าเรืองรองแผ่นหนึ่งออกมาจากแหวนย่อส่วนแล้วตบลงบนร่าง
เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้นทีหนึ่ง แสงสีฟ้าอ่อนชั้นหนึ่งก็ลอยออกมาล้อมไว้ จากนั้นเขาจึงใช้วิชาตัวเบาและวิชาลับช่วยเสริมอีกหลายวิชากับร่างตัวเอง
หลังหลิ่วหมิงทำทุกสิ่งนี้เสร็จสิ้นคิ้วถึงคลายออกเล็กน้อย เดินไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อนไม่ลนลาน
อีกด้านหนึ่งหลังชายหนุ่มรถเงินจากนิกายเทียนกงโงนเงนสักพักก็ยืนมั่นคงได้ มือข้างหนึ่งตบลงบนชุดเกราะจักรกลสีทองเรืองรองชุดนั้นบนร่างตน แสงสีทองก็กะพริบวูบหนึ่ง ปีกจักรกลสีทองขนาดหนึ่งจั้งกว่าสามคู่ก่อตัวออกมาจากแผ่นหลังของเขาแล้วกระพือขึ้นลงดังพรึ่บพรั่บไม่หยุด พัดสายลมแรงหอบแล้วหอบเล่าออกมา
ตอนนี้ชายหนุ่มรถเงินถึงเผยสีหน้ายินดีเล็กน้อย เขาอาศัยพลังของปีกจักรกลเคลื่อนไปด้านหน้าช้าๆ ความเร็วต่างจากหลิ่วหมิงไม่เท่าไร แต่เทียบกับบุรุษผมม่วงยังคงช้ากว่ามาก