ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 81 อุโมงค์หมื่นกระดูก
“วางใจเถอะ ที่นี่จะมีคนได้อย่างไร ข้าแค่พูดเล่นๆ เท่านั้น” หญิงที่ชื่อลวี่อวิ๋นเหมือนจะรู้ว่าตัวเองเผลอหลุดปากออกไปจึงกล่าวออกมาอย่างรีบร้อน
“อวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าต้องเข้าใจนะว่าที่พวกเราช่วยศิษย์น้องเกาก็เพราะว่าเมื่อเขากลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณแล้วจะได้ช่วยพวกเราอีกแรง เรื่องอื่นๆ ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราจะเข้าไปยุ่งได้ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องเตาหลอมพลัง ข้าไม่เชื่อว่ามู่อวิ๋นเซียนจะไม่เคยพูดเรื่องนี้กับหลานสาวของตน แต่มู่หมิงจูไม่เชื่อเองคงไม่อาจโทษผู้อื่นได้ ชะตาชีวิตของนางคงจะต้องเป็นเช่นนี้ เอาล่ะ! ต่อไปอย่าพูดถึงเรื่องนี้อีก พวกเรากลับไปปรึกษาเรื่องที่เราคุยกันเมื่อสักครู่กับศิษย์พี่อู๋ก่อน” ชายหน้าดำกล่าวด้วยน้ำเสียงที่คลี่คลายลง
ลวี่อวิ๋นพยักหน้าตอบรับ
ดังนั้นทั้งสองจึงขี่เมฆทะยานขึ้นฟ้าแล้วเหาะตรงไปยังที่ตั้งของสาขาพลังโลหิต
ในขณะเดียวกันหลิ่วหมิงก็มาถึงหน้าประตูหอเก็บคัมภีร์อีกครั้ง เขายืนอยู่ด้านนอกด้วยสีหน้าสับสนปนเปครู่หนึ่ง แล้วถึงก้าวยาวๆ เข้าไป
พอเข้าประตูใหญ่ไป ยังคงเป็นห้องเล็กๆ นั้น แต่บนเก้าอี้ตัวหนึ่งกลับมีผู้อาวุโสชุดแดงนั่งอยู่ เขากำลังก้มหน้าดูคัมภีร์โบราณหนาๆ เล่มหนึ่ง พอเห็นมีคนเข้ามาถึงได้เงยหน้าขึ้นมาถาม
“แลกวิชาฝึกฝนพลัง เคล็ดวิชาหรือว่าวิชา?”
ผู้อาวุโสชุดแดงผู้นี้มีดวงตาที่ถมึงทึง หนวดที่งอโง้ง ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกเกรงขามเป็นพิเศษ
“เอ๋! ทำไมไม่ใช่อาจารย์อาหร่วนที่เฝ้าหอเก็บคัมภีร์ ผู้อาวุโสคือ…” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รีบก้าวไปคารวะ และถามด้วยความตกตะลึง
“ข้าคือเลี่ยวเฟิงจากสาขาพิษจิตวิญญาณ เจ้าเรียกอาว่าอาจารย์อาเลี่ยวก็พอ หนึ่งปีก่อนหน้านี้เจ้าอ้วนหร่วนปลดออกจากตำแหน่งคนเฝ้าดูแลหอเก็บคัมภีร์กลับไปเก็บตัวฝึกฝนแล้ว เอาล่ะ! ตอนนี้บอกจุดประสงค์ที่เจ้ามาที่นี่ได้แล้ว” ผู้อาวุโสชุดแดงกลับแสดงออกอย่างอ่อนโยน
“ที่แท้ก็คืออาจารย์อาเลี่ยว ข้าน้อยมาที่เพื่อเลือกวิชาป้องกันตัว!” หลิ่วหมิงโค้งตัวคำนับแล้วกล่าวออกมา
เขาได้ยินว่า ‘อาจารย์อาหร่วน’ ผู้นั้นไม่อยู่แล้วในใจก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา แต่ขณะเดียวกันก็มีหน้าผิดหวังอยู่ลางๆ
“เขาเก้าทารก ที่แท้ก็เป็นศิษย์ของศิษย์พี่กุย ดูเจ้าอายุยังน้อยอย่าเพิ่งทะเยอทะยานลมๆ แล้งๆ โดยทั่วไปวิชาป้องกันนั้นจะต้องฝึกฝนให้ถึงระดับที่แน่นอนแล้วถึงสำแดงออกมาได้ ข้าจะดูสักหน่อยว่าเจ้าฝึกฝนถึงระดับไหนแล้ว?” เพิ่งสิ้นสุดเสียงของผู้อาวุโสชุดแดง แขนข้างหนึ่งก็ตบเบาๆ ลงบนไหล่ของหลิ่วหมิงอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวความร้อนก็พุ่งเข้าไปในร่างหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงตกใจ พลังเวทย์ภายในร่างถูกกระตุ้นด้วยความร้อนเหล่านี้ พริบตาเดียวก็พุ่งไปบนไหล่อย่างเต็มกำลัง
“เอ๋! ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลาย?” เลี่ยวเฟิงค่อยๆ เก็บฝ่ามือกลับมาด้วยสีหน้าแปลกใจ
“อาจารย์อาเลี่ยว ที่ท่านทำคือ…” หลิ่วหมิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปมา
“ไม่ต้องกังวล ข้าแค่ทดสอบการฝึกฝนของเจ้าเท่านั้น ถ้าเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายล่ะก็ย่อมมีสิทธิ์เรียนวิชาป้องกันแล้ว เจ้าชื่อไป๋ชงเทียนใช่ไหม ดูท่าสาขาของศิษย์พี่กุยจะได้ศิษย์ที่ไม่เลว ตามข้ามาเถอะ!” เลี่ยวเฟิงยิ้มกล่าวชมเชยไปหนึ่งประโยค เขาสะบัดแขนเสื้อแล้วแสงสีขาวก็ม้วนตัวออกมา
พริบตาเดียวร่างของคนทั้งสองก็กระพริบหายเข้าไปในแสงสีขาว
ครู่ต่อมา ผู้อาวุโสชุดแดงและหลิ่วหมิงปรากฏตัวขึ้นที่ห้องโถงที่มีผนังแสงกั้นไว้
“ไปเถอะ ทางนั้นเป็นอาณาเขตบันทึกเคล็ดวิชาที่ใช้ฝึกฝน แค่วางมือไว้บนโต๊ะแท่นหินที่อยู่ด้านล่าง ก็จะรู้เนื้อหาของวิชากับจำนวนแต้มคุณูปการที่ต้องใช้ จากนั้นใช้ป้ายชื่อของตัวเองประทับลงไปก็จะหยิบสิ่งของออกมาได้” เลี่ยวเฟิงชี้มือผ่านอากาศไปยังทิศทางบางแห่ง ผนังแสงทางนั้นก็กลายเป็นจุดๆ แล้วหายไป
หลิ่วหมิงตอบรับแล้วเดินเข้าไป เขาวางฝ่ามือข้างหนึ่งลงบนโต๊ะแท่นหินที่ใกล้ที่สุด บนม่านแสงสีทองมีม้วนไผ่สีเขียววางอยู่
เสียงดัง “ตู้ม!”
พลังบางอย่างพุ่งออกมาจากบนโต๊ะแท่นหิน แล้วเข้าไปหมุนวนอยู่ในศีรษะของเขา พริบตาเดียวก็เปลี่ยนแปลงเป็นอักขระสีขาวอย่างน่าอัศจรรย์
‘วิชาคมมหาธาตุ’ เป็นวิชาธาตุโลหะ ใช้ธาตุโลหะเสริมพลัง สามารถเพิ่มพลังโจมตีจากธาตุโลหะ และมือเท้าทั้งสี่ ทำให้ร่างกายแหลมคมเป็นอย่างมาก สามารถทำลายโลหะต่างๆ หรือหยกได้ แต้มคุณูปการสี่ร้อยแต้ม
หลิ่วหมิงส่ายศีรษะเดินออกไปจากโต๊ะแท่นหินนี้แล้วเดินตรงไปยังโต๊ะแท่นหินตัวอื่น
‘วิชาม่านหมอกวารี’ เป็นวิชาธาตุน้ำใช้ในการหลบซ่อนตัว สามารถสร้างไอหมอกบริเวณกว้างๆ ใช้อำพรางกาย แต้มคุณูปการสามร้อยแต้ม
‘วิชาไฟอสรพิษ’ เป็นวิชาธาตุไฟ ควบคุมการโจมตีด้วยไฟ ขอบเขตการโจมตีระดับกลาง พลังการทำลายล้างสูง แต้มคุณูปการหนึ่งพันแต้ม
‘วิชาแหอัสนี’ เป็นวิชาธาตุอัสนี ขอบเขตการโจมตีกว้างมาก พลังการทำลายล้างสูงมาก ผู้ที่ไม่มีชีพจรจิตวิญญาณอัสนีไม่สามารถฝึกฝนได้ แต้มคุณูปการหนึ่งพันสี่ร้อยแต้ม
……
หลิ่วหมิงดูโต๊ะแท่นหินแต่ละตัวไปเรื่อยๆ ด้วยสีหน้าที่สงบ แต่แอบทอดถอนใจอยู่ไม่หยุด
วิชาในนี้ต้องใช้แต้มคุณูปการมากกว่าที่เขาคาดคิดไว้ แต้มคุณูปการสามร้อยแต้มที่เหลืออยู่ในมือคงแลกได้แค่วิชาระดับต่ำแค่วิชาเดียวเท่านั้น
ผ่านไปไม่นานเขาก็ดูวิชาบนโต๊ะแท่นหินไปเกือบครึ่งหนึ่ง แต่ดูจากคิ้วที่ขมวดกันบนหน้าเขาแล้ว เห็นได้ชัดว่ายังไม่เจอวิชาตามที่ต้องการ
ทันใดนั้น เมื่อเขาวางฝ่ามือลงไปยังโต๊ะแท่นหินสีเขียวดำตัวหนึ่ง สีหน้าเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป เท้าเขาหยุดชะงักในทันที
‘วิชาเถาวัลย์โลหิต’ วิชาธาตุไม้ ใช้ในการป้องกัน นำเมล็ดพันธุ์ประเภทที่มีเถาวัลย์มาเพาะเลี้ยงไว้ในร่าง ใช้โลหิตบริสุทธิ์ในการหล่อเลี้ยง เมื่อเจอศัตรูก็สามารถกระตุ้นมันให้กลายเป็นเครือเถาวัลย์ปกคลุมทั่วทั้งร่างได้ภายในพริบตา ประสิทธิภาพของมันขึ้นอยู่กับชนิดของเมล็ดพันธุ์และระยะเวลาในการหล่อเลี้ยง จำให้ดีว่าวิชานี้ต้องใช้โลหิตบริสุทธิ์เป็นจำนวนมาก ในขณะเดียวกันเวลาแสดงวิชาก็จะรู้สึกเจ็บปวดอย่างหาที่เปรียบมิได้ และเมื่อเมล็ดพันธุ์ถูกบ่มเพาะไว้ในร่างนานเกินไปอาจจะทำให้ร่างกายกลายเป็นไม้ได้ อันตรายเป็นอย่างมาก แต้มคุณูปการสามร้อยแต้ม
หลิ่วหมิงอ่านอักขระสีขาวในศีรษะทบทวนไปมาหลายรอบ แล้วก็หยิบป้ายชื่อออกมาจากตัววางลงไปบนม่านแสงตรงโต๊ะแท่นหินโดยไม่ลังเล
ถึงแม้วิชานี้จะมีข้อบกพร่องเยอะ แต่วิชาป้องกันที่ใช้แต้มคุณูปการในการแลกน้อยเช่นนี้ คาดว่าคงมีแต่วิชานี้เท่านั้น แน่นอนว่าเขาย่อมไม่เลือกวิชาอื่นๆ อีก
เสียงดัง “ฟู่!” แสงกะพริบออกจากป้ายชื่อ แต้มคุณูปการสามร้อยแต้มที่สะสมอยู่ในนั้นก็หายไป ขณะเดียวกันม่านแสงที่ปกคลุมก็แตกกระจายหายไป
คัมภีร์สีเขียวบางๆ เล่มหนึ่งตกลงมาอยู่ในมือของเขา
หลิ่วหมิงได้คัมภีร์แล้วก็หมุนตัวเดินกลับไปอย่างไม่ลังเล
“วิชาเถาวัลย์โลหิต? เจ้าจะฝึกมันจริงๆ หรือ วิชานี้ไม่ใช่วิชาที่ปรมาจารย์ของเราคิดค้นขึ้นมา แต่เป็นวิชาที่ผู้อาวุโสในนิกายท่านหนึ่งได้มาจากการค้นตัวผู้ฝึกฝนนอกรีตที่ท่านได้สังหารไป วิชานี้เคยมีคนฝึกมาไม่น้อย แต่เวลาแสดงวิชาจะรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ทั้งยังเสี่ยงต่อการที่ร่างกายจะกลายเป็นไม้ อีกอย่างยังถูกวิชาธาตุไฟควบคุมได้ง่าย ดังนั้นแต่ละคนต่างก็ทยอยเลิกฝึกกันไป ถ้าไม่ใช่เพราะว่าวิธีการฝึกวิชานี้ค่อนข้างพิเศษ และวิชาธาตุไม้ในนิกายเรานั้นมีน้อย มันอาจจะโดนถอดออกไปจากหอเก็บคัมภีร์แล้ว ดังนั้นมันจึงใช้แต้มคุณูปการจำนวนน้อยในการแลก เจ้าอายุยังน้อยแต่กลับฝึกฝนได้ถึงเขตแดนนี้ เห็นทีคงจะมีสติปัญญาไม่เลว ไม่จำเป็นต้องเลือกวิชานี้หรอก” เลี่ยวเฟิงกวาดสายตามองดูคัมภีร์สีเขียวในมือหลิ่วหมิงครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมาตรงๆ
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชี้แนะ แต่แต้มคุณูปการของข้าน้อยมีไม่มากคงเลือกได้แค่วิชานี้แล้ว” หลิ่วหมิงตอบกลับอย่างนอบน้อม
“ในเมื่อเจ้าตัดสินใจเช่นนี้แล้วข้าก็ไม่อาจห้ามได้ รีบทำการสาบานต่อสวรรค์เถอะ” เลี่ยวเฟิงถอนหายใจกล่าวออกมา
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป หลิ่วหมิงและผู้อาวุโสชุดแดงปรากฏตัวในห้องเล็กๆ อีกครั้ง
หลิ่วหมิงคารวะผู้อาวุโสแล้วก็หมุนตัวออกไปจากหอเก็บคัมภีร์
เลี่ยงเฟิงรอจนร่างของหลิ่วหมิงหายไปจากประตูใหญ่แล้วจึงกล่าวกับตนเองด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เจ้าเด็กคนนี้อายุน้อยเช่นนี้ คงเป็นศิษย์ที่เพิ่งรับเข้ามาเมื่อตอนพิธีเปิดจิตวิญญาณครั้งล่าสุด แต่ถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็ศิษย์เก้าชีพจรจิตวิญญาณที่สาขาเก้าทารกรับไปไม่ได้มีชื่อว่าไป๋ชงเทียนนี่ หรือว่าจะเป็นแค่ศิษย์หกชีพจรจิตวิญญาณ แปลกเสียจริง สามารถฝึกฝนมาถึงเขตแดนขั้นปลายได้รวดเร็วขนาดนี้ เกรงว่าแม้แต่ศิษย์เก้าชีพจรจิตวิญญาณก็ไม่อาจทำได้โดยง่าย”
สายตาของผู้อาวุโสเต็มไปด้วยความฉงนสนเท่ห์ แต่พอส่ายศีรษะแล้วก็กลับไปนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมอ่านคัมภีร์ในมือต่อ
ในขณะเดียวกัน หลังจากหลิ่วหมิงตรวจดูแต้มคุณูปการที่เหลือในป้ายชื่อแล้วก็เก็บมันเข้าที่เดิมพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ จากนั้นก็มุ่งไปยังหอดำเนินการ
ผ่านไปชั่วครู่ หลิ่วหมิงก็มายืนอยู่หน้าป้ายผลึกใสที่ประกาศภารกิจ เขาแหงนหน้ามองภารกิจอันบนสุดที่เขียนด้วยอักขระสีทองด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ผ่านไปสักครู่ เขาถึงหันตัวเดินไปยังโต๊ะแท่นหินเพื่อรับภารกิจพร้อมกับยื่นป้ายชื่ออกไป
“ข้าต้องการเข้าร่วมภารกิจปราบปรามที่เกิดขึ้นสามเดือนต่อครั้งที่อุโมงค์หมื่นกระดูก!”
“อุโมงค์หมื่นกระดูกอันตรายเป็นอย่างมาก ผู้ที่ไปที่นั่นต้องรับผิดชอบชีวิตของตนเอง ศิษย์น้องไป๋ เจ้าต้องการ่วมภารกิจนี้จริงๆ หรือ?” เห็นได้ชัดว่าผู้ดูแลหอดำเนินการวัยกลางคนจำหลิ่วหมิงผู้บ้าระห่ำภารกิจคนนี้ได้ พอได้ยินคำพูดเช่นนี้ หลิ่วหมิงที่เดิมทียิ้มอยู่ก็หยุดชะงักไป
“ไม่เป็นไร ศิษย์น้องตัดสินใจรับภารกิจนี้อย่างแน่นอนแล้ว” หลิ่วหมิงกล่าวโดยไม่ต้องคิด
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็จะใส่ชื่อของศิษย์น้องเข้าไปล่ะนะ อีกสามวันจะมีอาจารย์อาท่านหนึ่งนำไป ศิษย์น้องจะต้องเข้าไปในนั้นให้ตรงเวลามิเช่นนั้นจะถูกหักแต้มคุณูปการเป็นจำนวนมาก” ผู้ดูแลหอดำเนินการวัยกลางคนพยักหน้ากล่าวออกมา จากนั้นรับป้ายชื่อของหลิ่วไป แล้วใช้กระบองสั้นสีทองแตะลงไปบนนั้นหลายรอบ จากนั้นจึงคืนให้กับหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิวกล่าวขอบคุณผู้ดูแลหอดำเนินการวัยกลางคนแล้วก็จากไป
“ศิษย์พี่หวง เมื่อครู่ศิษย์น้องไป๋รับภารกิจอะไรไป ทำไมข้าถึงเห็นท่านเหมือนจะลังเลอยู่เล็กน้อย” ชายอายุสามสิบกว่าปีผู้หนึ่งก็เดินมายังโต๊ะแท่นหินเช่นกัน ดูเหมือนเขาจะถามแบบไม่ใส่ใจ
“ไม่มีอะไร ศิษย์น้องไป๋แค่เข้าร่วมการเดินทางไปปราบปรามที่อุโมงค์หมื่นกระดูกในอีกสามวันข้างหน้า” เห็นได้ชัดว่าผู้ดูแลหอดำเนินการวัยกลางคนรู้จักผู้ที่มาสอบถาม และเขาก็ตอบกลับไปอย่างไม่สนใจใยดี
“อะไรนะ อุโมงค์หมื่นกระดูก?” พอชายที่สอบถามได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
“ใช่แล้ว ดังนั้นข้าจึงพูดเกลี้ยกล่อมไปสองประโยค น่าเสียดายที่ศิษย์ไป๋ยังยืนกรานที่จะไป จุ๊ๆ! ถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็ในระยะปีกว่าๆ นี้มีศิษย์นิกายสายในที่เสียชีวิตในอุโมงค์หมื่นกระดูกมากกว่าสิบคนแล้ว ส่วนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บกลับมายิ่งไม่รู้ว่ามีเท่าไหร่ ศิษย์น้องไป๋ผู้นี้อายุยังน้อยแต่ใจกล้ากว่าคนปกติมาก” ชายวัยกลางคนกล่าว
และชายหนุ่มที่สอบถามเมื่อครู่กลับยังอยู่ในอาการตื่นตะลึง
……
“อะไรนะ รับภารกิจปราบปรามที่อุโมงค์หมื่นกระดูก? เจ้าเด็กคนนี้ช่างใจกล้าจริงๆ!” ศิษย์เก่าสาขาพลังโลหิตหลายคนรวมตัวกันในหอแห่งหนึ่งตรงตีนเขาสาขาพลังโลหิต ชายหน้าดำผู้หนึ่งที่อยู่ในนั้นได้หลุดปากพูดออกมา
……………………………………….