ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 816 ศึกดุเดือดสุดท้าย
ตอนที่ 816 ศึกดุเดือดสุดท้าย
เสียง “เปรี้ยง” ดังขึ้น รุ้งสีทองยาวสิบกว่าจั้งสายหนึ่งแล่นผ่านไปอีกครั้ง ฉวยโอกาสทะลวงผ่านร่างชวีเหยาทิ้งรูเลือดขนาดเท่ากำปั้นรูหนึ่งไว้
หลังแสงสีทองดับลง ไม่ไกลนักหลิ่วหมิงก็ปรากฏตัวออกมาอีกครั้งพร้อมด้วยมือที่กำกระบี่ว่างเปล่า การโจมตีของรุ้งสีทองเมื่อครู่ เห็นชัดว่าเขาใช้วิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่งทำร้ายมันบาดเจ็บหนักได้อีกครั้ง
“คนรุ่นหลังเผ่ามนุษย์ใจกล้านักนะ ข้าจะเอาชีวิตน้อยๆ ของเจ้า!” ร่างกายมหึมาของชวีเหยาส่ายสองสามกี่หน เสียงเคียดแค้นของสตรีก็ระเบิดโกรธเกรี้ยวออกมาจากปาก
เสียงพูดเพิ่งจบ หนอนยักษ์ก็อ้าปากพ่นลูกบอลกลมสีน้ำเงินเข้มขนาดเท่าศีรษะลูกหนึ่งออกมา ลูกบอลกลมหมุนติ้วกลางอากาศรอบหนึ่ง ทันใดนั้นแสงเรืองรองสีน้ำเงินอ่อนวงหนึ่งก็สว่างขึ้นมา จุดที่แสงสีน้ำเงินผ่านไม่ว่าเงาผี ดวงไฟสีทองหรือเปลวเพลิงสีเงินล้วนถูกมันงัดลอย กระแทกกระจายออกไปสี่ด้านพร้อมเสียงดังสนั่น
“แก่นปีศาจหรือ?” หลิ่วหมิงตกใจ ขณะที่แสงเรืองรองสีน้ำเงินกวาดผ่านหน้าร่างตน เขาก็รีบกระตุ้นปีกทั้งคู่บนแผ่นหลังพุ่งรวดเร็วไปด้านหลัง
เวลานี้หัวอวบอ้วนของชวีเหยายกขึ้นท่ามกลางแสงสีน้ำเงินที่ห้อมล้อม ดวงตาแมลงสีแดงฉานที่เผยแววตาดุร้ายออกมาสองข้างกวาดผ่านบนร่างพวกหลิ่วหมิงอย่างเหี้ยมโหด
เวลานี้บนหัวของมันเลือดเนื้อปนกันเละเทะ เลือดสีเขียวไหลโชก เห็นชัดว่าการโจมตีเมื่อครู่ทำให้มันบาดเจ็บไม่น้อย
หลัวเทียนเฉิงเห็นเช่นนี้ก็แค่นเสียงหยัน ตอนที่คิดจะลงมืออีกครั้ง ชวีเหยากลับอ้าปากอีกครั้งส่งเสียงคำรามแหลมแสบแก้วหู
ทันใดนั้นใยไหมแถบใหญ่ก็พ่นบ้าคลั่งออกมารวมตัวกันใกล้แก่นปีศาจเบื้องหน้าร่าง ไอหมอกสีเทาที่ลอยกระจายอยู่รอบด้านทยอยรวมตัวเข้ามาผสานเข้ากับใยไหมสีขาว
ใยไหมสีขาวกลายเป็นสีเทาในทันใด
“จงกลายเป็นผีเสื้อ!”
ชวีเหยาร้องเสียงแหลม ทันใดนั้นแสงเรืองรองสีน้ำเงินอ่อนบนแก่นปีศาจก็ล้อมใยไหมสีเทาทั้งหมดไว้ด้านใน
ท่ามกลางแสงเรืองรองสีน้ำเงิน ใยไหมสีเทาพาดผ่านถักทอกันประหนึ่งสายฟ้าแลบ หลังตาพร่าลายวูบหนึ่ง ใยไหมก็หายไปแล้ว สิ่งที่มาแทนที่ก็คือผีเสื้อสีเทาขนาดเท่าฝ่ามือเกือบหนึ่งร้อยตัวบินร่อนระบำอยู่ใกล้ๆ
ชวีเหยายิ้มน่าขนลุกแล้วอ้าปากส่งเสียงร้องแผ่วเบาออกมาทีหนึ่ง ผีเสื้อสีเทาที่วนล้อมอยู่รอบตัวมันกระพือปีก บินโถมเข้าใส่พวกหลิ่วหมิงสี่คนอย่างมืดฟ้ามัวดินประหนึ่งเมฆสีเทาแถบหนึ่งทันที
“เหอะ! ก็แค่การดิ้นรนของสัตว์ที่จนมุมเท่านั้น!”
หลัวเทียนเฉิงแค่นเสียงหยันทีหนึ่งแล้วอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์ลงไปในโคมไฟทองแดงโบราณในมือทันที
ไฟโคมสีเงินลุกโชนขึ้นสูงหลายฉื่อ ตามติดมาด้วยลูกบอลเพลิงสีเงินสิบกว่าลูกบินพุ่งออกมา
เสียง “ฟู่ๆ” ดังขึ้นหลายหน!
ระหว่างทางลูกบอลเพลิงสีเงินเหล่านี้ฉับพลันกลายเป็นอสรพิษเพลิงสีเงินที่ประหนึ่งมีชีวิตสิบกว่าตัว พุ่งประจันเข้าหาผีเสื้อสีเทาเต็มฟ้า
ทันใดนั้นเพลิงสีเงินก็หอบผีเสื้อจิตวิญญาณผืนใหญ่เข้าไปด้านใน ระหว่างที่เปลวเพลิงกลืนกินก็ส่งเสียงดังชี่ๆ ออกมา ผีเสื้อจิตวิญญาณคล้ายดิ้นรนอย่างทุกข์ทรมานท่ามกลางเปลวเพลิงสีเงิน ปีกกระพือช้าลงทุกทีๆ
เห็นสถานการณ์เช่นนี้ บนหน้าของหลัวเทียนเฉิงก็เผยสีหน้าได้ใจ
“ไม่ใช่ พลังงานในเปลวเพลิงสีเงินของเจ้ากำลังถูกผีเสื้อจิตวิญญาณเหล่านั้นดูดกลืนไปแล้ว”
ชายหนุ่มรถเงินฉับพลันสีหน้าเปลี่ยนไปพลางเอ่ยเตือนเสียงดัง
หลัวเทียนเฉิงสีหน้าแข็งทื่อ เพ่งสายตามองไป
เป็นดังว่าขนาดร่างของอสรพิษเพลิงสีเงินสิบกว่าตัวนั้นหดเล็กลงช้าๆ ตรงกันข้ามผีเสื้อจิตวิญญาณด้านในปรากฏเปลวเพลิงสีเงิน แม้เคลื่อนไหวช้าลงไม่น้อย แต่กลับมีขนาดใหญ่กว่าก่อนหน้านี้เท่าหนึ่งอยู่เลือนราง
“ฮ่าๆ วิชาผีเสื้อจิตวิญญาณของข้า แม้จะถูกเพลิงจิตวิญญาณพลังมากหลายชนิดข่มได้ แต่อาศัยพวกเจ้าเด็กน้อยระดับผลึกไม่กี่คนคิดจะทำลายวิชาลับนี้เป็นคนบ้าเพ้อฝันโดยแท้!” ชวีเหยาหัวเราะเสียงแหลมน่าขนลุก
ในเวลาเดียวกันผีเสื้อสีเทาก็พลันโปรยผงสีเทาแถบใหญ่จากบนปีก ประหนึ่งเมฆประหนึ่งหมอกครอบลงมา เพียงชั่วครู่อสรพิษสีเงินทั้งหมดก็สลายไปสิ้น
ซ่า!
ผีเสื้อสีเทาซัดผงสายแล้วสายเล่าเข้าใส่ทั้งสี่คนต่อประหนึ่งคลื่นสมุทร พลังท่วมท้นยิ่งกว่าก่อนหน้านี้หลายส่วน
“ทุกท่าน จะปล่อยให้ผีเสื้อจิตวิญญาณเหล่านี้ถ่วงมือเท้าไม่ได้ สังหารร่างต้นของชวีเหยาตัวนั้นเลย! ในเมื่อแก่นแท้ของมันออกมาย่อมบ่งบอกว่าปีศาจร้ายตัวนี้ทนอีกได้ไม่นานนักแล้ว!” บุรุษผมม่วงสายตาเปล่งประกายส่งกระแสจิตเอ่ยบอก
“แต่ผีเสื้อจิตวิญญาณเต็มฟ้านี่คงจัดการไม่ง่าย ข้าเหลือพลังเวทไม่เท่าไรแล้ว” หลิ่วหมิงกวาดสายตาผ่านผีเสื้อจิตวิญญาณเต็มฟ้าแล้วเอ่ยพึมพำ
“เหอะ เจ้าพวกนี้ยกให้ข้าเถิด” หลัวเทียนเฉิงด้านข้างเก็บโคมทองแดงโบราณในมือไป จากนั้นพลิกมือเรียกยันต์สีฟ้าแผ่นหนึ่งออกมา แสงรัศมีสีฟ้าเข้มฉายออกมาพร้อมนำพาความเย็นเยียบมาในทันใด
“ยันต์เหมันต์ปรโลก! ดีมาก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้ข้ากับสหายหลัวพยายามถ่วงเวลาผีเสื้อจิตวิญญาณเหล่านี้เอง สหายหลิ่วกับสหายหอเป๋ยโต่วพยายามสังหารชวีเหยาตัวนี้ให้เร็วที่สุดเถอะ!” ชายหนุ่มรถเงินมองหลัวเทียนเฉิงด้วยสีหน้าประหลาดเล็กน้อยจากนั้นเอ่ยอย่างเร็วไวเช่นกัน
คนอื่นย่อมไม่เห็นต่าง
เพียงครู่เดียวที่ทั้งสี่คนส่งกระแสจิตอย่างเร็วไว ผีเสื้อจิตวิญญาณเต็มฟ้าก็บินมาห่างทั้งสี่คนไม่กี่จั้งแล้ว มืดฟ้ามัวดินประหนึ่งเมฆสีเทามหึมาก้อนหนึ่ง กลืนทั้งสี่คนหายลงไปในครู่ต่อมา
หลัวเทียนเฉิงไม่พูดพร่ำยกมือข้างหนึ่งขึ้น แสงรัศมีสีฟ้าสายหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกมา ล้อมผีเสื้อสีเทาเต็มฟ้า
“ระเบิด!”
สองมือเขาทำท่าเคล็ดวิชา ปากตวาดแผ่วเบาคำหนึ่ง ยันต์สีฟ้าก็ระเบิดส่งเสียงดังกึกก้อง ทันใดนั้นแสงสีฟ้าก็ส่องวูบวาบ เสียงสายลมบ้าคลั่งดังขึ้นมา ลำแสงสีฟ้าสายหนึ่งแหวกอากาศร่วงลงในหมู่ผีเสื้อจิตวิญญาณ ทั้งยังขยายออกไปหลายสิบจั้งรอบด้านในชั่วพริบตา
อากาศรอบด้านฉับพลันเย็นยะเยือก อากาศจับตัวกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งสีฟ้าอ่อนจุดแล้วจุดเล่า บริเวณที่ลำแสงสีฟ้าร่วงลงมาหลายสิบจั้งรอบด้านล้วนถูกแช่แข็งจนเป็นชั้นน้ำแข็งหนา
ผีเสื้อจิตวิญญาณเหล่านั้นย่อมไม่ใช่ข้อยกเว้น ผีเสื้อจิตวิญญาณครึ่งหนึ่งแทบจะถูกก้อนน้ำแข็งแช่แข็ง ทยอยร่วงลงมาบนพื้นประหนึ่งลูกเห็บ ส่งเสียงดัง “ปังๆ” เป็นระลอก
ทว่าผีเสื้อจิตวิญญาณที่เหลือกลับโถมเข้ามาหาทั้งสองคนจากสองด้านต่อ
“ทั้งสองท่านเตรียมตัว!”
ชายหนุ่มรถเงินเห็นเช่นนี้พลันตั้งท่าเคล็ดวิชา ชุดเกราะจักรกลบนร่างเปล่งแสงสีทองสว่างจ้า บนแผ่นหลังปรากฏปีกจักรกลสามคู่อีกครั้ง เขากระพือปีกครั้งหนึ่งกลายเป็นแสงสีทองสายหนึ่งประจันหน้าเข้าใส่ผีเสื้อจิตวิญญาณที่เหลือ
ขณะที่อยู่กลางอากาศ กระบอกกลมสีทองอ่อนหกแท่งที่อยู่บนสองแขนก็เปลี่ยนรูป กลายเป็นปลอกแขนติดดาบสีทองอ่อนคมกริบสองเล่มในทันใด ร่างกายเขาหมุนกลางอากาศ แขนเหวี่ยงเล็กน้อยทีหนึ่ง คมแสงสีทองอ่อนสายแล้วสายเล่าก็ฟันออกไปสี่ด้านแปดทิศประหนึ่งสายฟ้าแลบ
คมแสงเหล่านี้แล่นออกมาปุบก็พาดตัดสลับกันกลายเป็นคมตาข่ายผืนหนึ่ง พุ่งรวดเร็วเข้าใส่ผีเสื้อจิตวิญญาณแถบหนึ่งเบื้องหน้า ฉับพลังน่าตะลึงอย่างที่สุด
ทว่าผีเสื้อจิตวิญญาณเหล่านี้เผชิญหน้ากับคมแสง กลับประจันหน้าเข้ามาอย่างไม่หวาดกลัวสักนิด
เสียง “ฟึบๆ” ระลอกหนึ่งดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง!
ผีเสื้อสีเทาเหล่านี้สัมผัสถูกคมตาข่ายสีทองปุบก็ทยอยถูกกระแทกถอยหลังในพริบตา แต่กลับไม่ได้รับบาดเจ็บ หลังกระพือปีกไม่กี่หนก็โถมมาข้างหน้าพร้อมกับผีเสื้อสีเทาที่อยู่ใกล้ๆ ประจันหน้ากับคมตาข่ายสีทองซึ่งอยู่กลางท้องฟ้า
ในเวลาเดียวกันนี้แสงสีเงินก็สว่างวูบหลังร่างหลิ่วหมิง ปีกเนื้อกางออก เขากลายเป็นแสงสีดำสายหนึ่งพุ่งไปหาชวีเหยาอย่างรวดเร็ว
เงาผีหลังร่างของบุรุษผมม่วงขยับเคลื่อนตามไปในทันที ไม่ทราบว่าเขาใช้วิชาอันใด ขยับทีเดียวพุ่งออกไปไกลสิบจั้ง
เวลานี้มีผีเสื้อจิตวิญญาณจำนวนน้อยปกป้องอยู่หน้าร่างชวีเหยา ขอเพียงดึงพวกมันเอาไว้ได้ ชวีเหยาตัวนี้ก็ไม่มีกำลังสวนกลับอันใดแล้ว!
ผลปรากฏว่าขณะที่หลิ่วหมิงกับบุรุษผมม่วงเพิ่งจะอ้อมผ่านขอบของผีเสื้อจิตวิญญาณเต็มฟ้ามาได้นั่นเอง เหตุผลิกผันก็บังเกิดขึ้น!
ลูกเห็บสีฟ้าอ่อนบนพื้นเหล่านั้นฉับพลันสั่นไหว เมื่อพินิจมองก็เห็นผีเสื้อจิตวิญญาณสีเทาในนั้นเริ่มกระพือสองปีกบินขึ้นมาช้าๆ บนผิวของลูกเห็บเหล่านี้ปรากฏรอยร้าวไม่น้อย!
หลัวเทียนเฉิงเห็นเช่นนี้ใบหน้าพลันปรากฏสีหน้าเย็นชาจางๆ เขาตวาดเสียงเบาคำหนึ่ง เปลวเพลิงสีเงินรอบร่างก็พลุ่งพล่านลุกโชน ร่างกายขยับไหววูบหนึ่งพุ่งเข้าใส่ผีเสื้อจิตวิญญาณที่คิดจะทำลายน้ำแข็งออกมาเหล่านั้นบนพื้น
คมตาข่ายสีทองที่ฟันออกมากลางอากาศของชายหนุ่มรถเงินก็คล้ายจะถูกผีเสื้อจิตวิญญาณเต็มฟ้าพุ่งโจมตีไม่หยุดจนสภาพคล้ายจะทนไม่ไหวเช่นกัน!
แม้หลิ่วหมิงกับบุรุษผมม่วงสองคนเห็นเช่นนี้จะตะลึงอยู่บ้าง แต่พวกเขาขยับไหววูบไม่กี่ทีก็มาถึงหน้าร่างชวีเหยาซึ่งห่างไปไม่กี่จั้งพร้อมกัน
“มาก็ดี จะได้ให้ผีเสื้อจิตวิญญาณของข้าดูดพวกเจ้าให้แห้ง!” ชวีเหยาเห็นเช่นนี้ก็อ้าปากพ่นหมอกสีน้ำเงินก้อนหนึ่งออกมาจมลงไปในแก่นปีศาจที่ลอยอยู่หน้าร่าง
ผิวของแก่นปีศาจฉับพลันปรากฏลวดลายจิตวิญญาณสีน้ำเงินเข้มกะพริบวูบวาบ ผีเสื้อจิตวิญญาณที่เดิมปกป้องอยู่หน้าร่างมันกระพือปีกพรึ่บพรั่บประจันหน้าเข้าใส่พวกหลิ่วหมิง
“ถ้าข้าถ่วงเวลาผีเสื้อจิตวิญญาณเหล่านี้ด้านหน้าได้สองสามลมหายใจ เจ้ามั่นใจไหมว่าจะโจมตีสังหารชวีเหยาตัวนี้ได้?” สายตาของบุรุษผมม่วงกวาดผ่านบนผีเสื้อสีเทาที่เฝ้าปกป้องอยู่เบื้องหน้าร่างชวีเหยาพลางส่งกระแสจิตหาหลิ่วหมิง
“ลองดูสักหน!” หลิ่วหมิงคิดก็ไม่คิดตอบกลับอย่างเร็วไว
บุรุษผมม่วงได้ฟังก็ไม่พูดพร่ำ อ้าปากพ่นระฆังทองแดงน้อยขนาดหนึ่งชุ่นกว่าที่มีลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงออกจางๆ แผ่อยู่เต็มบนผิวใบหนึ่งออกมา มือข้างหนึ่งยิงเคล็ดวิชาหลายสายเข้าไปในตัวมันอย่างรวดเร็ว
ลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงบนผิวหน้าของระฆังทองแดงน้อยเคลื่อนไหวพักหนึ่ง มันก็โต้ลมขยายพรวดจนใหญ่หนึ่งจั้งกว่า
“ระฆังมุกสวรรค์! เจ้ามีสมบัติชิ้นนี้ได้อย่างไรน?” ชวีเหยาเห็นเช่นนี้ก็ตกตะลึงในทันใด
ชายหนุ่มผมม่วงกลับทำประหนึ่งไม่ได้ยิน เขาท่องมนตร์แผ่วเบาไม่กี่ประโยคก็อ้าปากขึ้นอีกครั้ง พ่นโลหิตบริสุทธิ์สามคำใส่ระฆังทองแดงติดกัน สีหน้าซีดเผือดอย่างเร็วไว
หลังระฆังทองแดงดูดกลืนโลหิตบริสุทธิ์ไป ทันใดนั้นแสงจิตวิญญาณบนผิวหน้าก็สว่างจ้า มันแกว่งไกวตามลมส่งคลื่นสีม่วงอ่อนวงแล้ววงเล่าไปยังอากาศเบื้องหน้า!
ผีเสื้อจิตวิญญาณเหล่านั้นสัมผัสถูกคลื่นสีม่วงเหล่านี้ก็พากันสูญเสียทิศทาง บินหลงไปบนล่างซ้ายขวาในทันใด
ชวีเหยาดูแล้วค่อนข้างหวั่นเกรงต่อระฆังทองแดงใบนี้ ระหว่างที่ลวดลายจิตวิญญาณเคลื่อนไหวมันก็คิดหลบไปด้านหลัง จนใจที่ในเวลานี้มันเองก็ถึงขีดสุดเป็นโคมมอดหมดเชื้อไฟแล้ว ผนวกกับอาการบาดเจ็บที่ได้รับก่อนหน้านี้ ชั่วขณะร่างกายจึงหนีออกไปไม่พ้น
หลังคลื่นสีม่วงนี้ซัดออกมา ฉับพลันชวีเหยาก็รู้สึกมึนหัวตาลาย ร่างกายส่ายโงนเงน ในใจรู้ว่าท่าไม่ดีแล้วจึงกรีดร้องเสียงดัง คิดจะเรียกแก่นแท้กลับมา
“ฝันไปเถอะ!”
ในเวลานี้เองมือข้างหนึ่งของหลิ่วหมิงก็ทำท่าเคล็ดวิชา แสงสีน้ำเงินส่องสว่างออกมาจากเสื้อ เงาโคสีน้ำเงินที่ประหนึ่งมีชีวิตลอยออกมาพร้อมกับเสียงคำรามแผ่วเบา!
วิชาลับภาพสัญลักษณ์นั่นเอง!
เงาโคสีน้ำเงินปรากฏตัวปุบก็อ้าปากพ่นแสงสีเหลืองสายหนึ่งออกมาซัดเข้าใส่แก่นแท้
แก่นแท้ส่ายไหวเล็กน้อย แม้ไม่ได้ถูกมันหอบกลับไปทันที แต่อยู่ท่ามกลางแสงสีเหลืองก็ทำให้การเหาะกลับฉับพลันเชื่องช้าลง แสงรัศมีก็หม่นหมองไร้ประกายลงด้วย
หลิ่วหมิงสะบัดข้อมืออีกหน กระบี่ว่างเปล่าพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว ระหว่างทางแสงสีทองฉายวูบหนึ่ง แสงกระบี่สายหนึ่งก็พลันกลายเป็นสี่สาย ฟันเข้าใส่แก่นแท้สีน้ำเงินเข้มที่อยู่เหนือศีรษะร่างต้นของชวีเหยา
เสียง “เปรี้ยง” ดังขึ้นทีหนึ่ง
แสงสว่างสีดำกับน้ำเงินสองสายประสานเข้ากับแสงกระบี่สีทองสี่สายจากนั้นก็ระเบิดเสียงดังกึกก้อง