ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 824 ชื่อเสียงลือลั่น
ตอนที่ 824 ชื่อเสียงลือลั่น
ชื่อเสียงลือลั่น
เขาหยิบหีบไม้ที่ล้อมด้วยเปลวเพลิงสีเงินออกมาจากแหวนย่อส่วนอย่างไม่ลังเลสักนิด พร้อมกันนั้นมือข้างหนึ่งก็ปัดบนหีบไม้เบาๆ สายลมอ่อนโชยผ่าน เปลวเพลิงบนหีบไม้ส่ายไหววูบหนึ่งก็หายไปไม่เห็น หีบไม้สีเงินใบหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขาอย่างไม่มีสิ่งใดปกปิดแม้แต่น้อย
ต่อจากนั้นมือข้างหนึ่งของหลิ่วหมิงก็ลูบเบาๆ หีบไม้ส่งเสียงดัง “กึก” แล้วเปิดออกช้าๆ แสงสีน้ำเงินสายหนึ่งฉายออกมา ในหีบไม้คัมภีร์เก่าแก่อย่างที่สุดเล่มหนึ่งนอนนิ่งอยู่
คัมภีร์เล่มนี้บนปกสลักลวดลายจิตวิญญาณสีเงินอ่อนลี้ลับอย่างที่สุดไว้เต็ม คล้ายถูกเพิ่มชั้นจำกัดบางอย่างไว้เพียงแต่วันนี้สิ้นแสงรัศมีไปนานแล้ว นอกจากนี้ตรงมุมยังเผยอเปิดเล็กน้อย เห็นชัดถึงอายุอันเนิ่นนาน
หลิ่วหมิงหยิบคัมภีร์ในหีบไม้ออกมาทันทีจากนั้นจดจ่อพลิกอ่าน
ครู่หนึ่งให้หลังเขาก็หัวเราะเฝื่อนๆ ปิดมันลงแล้ววางกลับลงไปในหีบไม้สีเงินยวง
สิ่งนี้คือวิชาฝึกฝนที่สิบทอดต่อกันมาจากยุคโบราณเล่มหนึ่งชื่อวิชาดวงใจเทพธิดา บอกไว้ว่าเป็นวิชาพิทักษ์สำนักของสำนักที่ชื่อวังเมฆาหยกในยุคโบราณซึ่งโด่งดังในเรื่องมีแต่ผู้ฝึกฝนสตรี มันลี้ลับอย่างยิ่ง ฝึกฝนยากอย่างยิ่ง ทว่าเมื่อฝึกสำเร็จ พลังน่าตะลึงอย่างที่สุด
ตามที่ในคัมภีร์กล่าวไว้ ในยามนั้นวิชานี้มีเพียง “เทพธิดา” หกคนที่ถูกเลือกจากวังเมฆาหยกถึงจะฝึกฝนได้ เทพธิดาเหล่านี้ท้ายที่สุดจะผ่านการคัดเลือกอีกหน เลือกเพียงคนหนึ่งในนั้นมาเป็นประมุขวังเมฆาหยก สตรีห้าคนที่เหลือจะถูกประหารอย่างโหดร้าย วิถีแห่งวังเมฆาหยกนี้เห็นได้ว่าแปลกประหลาดและแปลกแยกจากสังคม
ท้ายที่สุดไม่ทราบเพราะเหตุใดวังเมฆาหยกจึงหายไปจากแผ่นดินจงเทียน คัมภีร์นี้นายท่านคนก่อนหน้านี้ของแดนมรดกได้มาจึงกลายเป็นหนึ่งในมรดกที่เป็นรางวัล
แม้วิชานี้มีที่มาอันยิ่งใหญ่ แต่ไม่มีประโยชน์กับหลิ่วหมิงแม้แต่น้อย เพราะตอนต้นของวิชานี้เขียนไว้ชัดเจน จำเป็นต้องเป็นสตรีผู้มีร่างหยินบริสุทธิ์เท่านั้นถึงฝึกฝนได้
เขาจึงได้แต่ส่ายศีรษะกับสิ่งนี้ แล้วเก็บหีบไม้สีเงินยวงนี้ไว้ชั่วคราว วันหน้าค่อยคิด
หลิ่วหมิงปล่อยจิตสัมผัสกวาดผ่านถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณที่ข้างเอวอีกหน
เฟยเอ๋อร์กับเซียเอ๋อร์เวลานี้กำลังหลับสนิทอย่างยิ่งอยู่ด้านใน ฟื้นพลังกายไปพลาง รักษาอาการบาดเจ็บไปพลาง
ศึกกับสัตว์ประหลาดเผ่าหนอนผีเสื้อตัวนั้นก่อนหน้านี้ แม้ตอนนั้นไม่ได้สังเกตเห็นว่าอสูรเลี้ยงสองตัวนี้มีอาการผิดปกติอันใด แต่ต่อมาถึงพบว่าทั้งสองถูกของเหลวสีเขียวที่หนอนประหลาดเหล่านั้นพ่นออกมาจนบนร่างมีรอยกัดกร่อนมากหลายที่
ดีที่อสูรเลี้ยงสองตัวนี้วันนี้เลื่อนระดับเป็นระดับผลึกขั้นปลายแล้ว ต้องการเพียงดูดซับปราณหยินจำนวนหนึ่งอยู่ในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณรักษาตัวหนึ่งปีครึ่งก็ฟื้นคืนดังเดิมได้
หลังหลิ่วหมิงคิดเช่นนี้ก็วางใจ สองตาหลับลง นั่งสมาธิอย่างสงบ
งานประตูสวรรค์ครั้งนี้เรียกได้ว่าเขาหมดสภาพ ผลาญสิ้นแรงกายแรงใจ วันนี้พอดีอาศัยเวลาว่างอันหาได้ยากช่วงนี้ระหว่างเดินทางกลับนิกายยอดบริสุทธิ์ได้โคจรปราณพักรักษาตัวดีๆ ค่อยๆ ฟื้นสภาพอาวุธจิตวิญญาณซึ่งมีจิตวิญญาณหลายชิ้นในร่างที่เสียหายมากบ้างน้อยบ้างอย่างเช่นกระบี่ว่างเปล่าสักหลายวัน
เส้นทางกลับนิกายยอดบริสุทธิ์จะว่าไกลก็ไม่ไกลจะว่าใกล้ก็ไม่ใกล้ การเดินทางครั้งนี้ใช้เวลาไปหลายเดือน
เช่นเดียวกับยามมา นอกจากสถานที่ซึ่งต้องลงจากรถเข้าค่ายกลเคลื่อนย้ายไม่กี่แห่ง เวลาอื่นหลิ่วหมิงก็แทบจะเก็บตัวไม่ออกมา สนใจเพียงพักผ่อนสงบใจอยู่ในห้องลับของตนเอง
ระหว่างนี้หลงเหยียนเฟยสตรีผู้นี้มาเยี่ยมเยือนครั้งหนึ่ง ทั้งสองคนพูดคุยถึงสิ่งที่พบและสิ่งที่ได้มาจากในงานประตูสวรรค์กันเล็กน้อย
นอกจากทรายธารดารา แก่นปีศาจของเผ่าหนอนผีเสื้อกับวิธีหลอมฝักกระบี่ว่างเปล่าที่ได้มาท้ายสุด หลิ่วหมิงไม่ได้จงใจปิดบังสิ่งใด
ผลสุดท้ายเมื่อหลงเหยียนเฟยเสนออ้อมๆ ขึ้นมา หลิ่วหมิงจึงแลกเปลี่ยนหญ้าจิตวิญญาณหลายต้นกับสตรีผู้นี้
อย่างไรสำหรับเขาแล้ว หญ้าจิตวิญญาณเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็จะนำไปแลกแต้มคุณูปการหรือแลกหินจิตวิญญาณอยู่แล้ว ดังนั้นขอเพียงราคาต่างกันไม่มาก เขาย่อมไม่ปฏิเสธความต้องการของหลงเหยียนเฟย
อย่างไรสตรีผู้นี้ก็เป็นทายาทของปรมาจารย์ลิ่วยิน เขาจับพลัดจับผลูทำลายตัวอ่อนกระบี่ที่ปรมาจารย์ลิ่วอินทิ้งไว้ให้แก่ทายาทไป ในใจอย่างไรก็รู้สึกผิดอยู่บ้าง
นอกจากนี้เทียนเกอเจินเหรินก็มาหาครั้งสองครั้ง จากการพูดคุยเหมือนจะเป็นห่วงหลิ่วหมิงไม่น้อย
ในที่สุดหลังจากเดินทางไกลระหกระเหิน คณะเดินทางของหลิ่วหมิงก็กลับมาในเทือกเขาหมื่นวิญญาณสถานที่ตั้งนิกายอีกครั้ง
หลิ่วหมิงขอตัวกับเทียนเกอเจินเหรินจากนั้นออกจากรถเหาะยักษ์ ขี่เมฆไปยังถ้ำที่พักของตนเอง
……
สามวันให้หลัง ในตำหนักใหญ่บนยอดเขาหลักของนิกายยอดบริสุทธิ์
พวกหลิ่วหมิงศิษย์เจ็ดคนที่เข้าร่วงงานประตูสวรรค์แล้วปลอดภัยกลับมายืนนิ่งไม่กระดิก
สองฟากของห้องโถงผู้อาวุโสผู้ควบคุมยอดเขาแต่ละลูกนั่งอยู่ มากถึงเกือบร้อยคน อินจิ่วหลิงอาจารย์ของหลิ่วหมิงก็อยู่ในแถวด้วย ใบหน้าอิ่มเอิบภาคภูมิใจ กำลังพูดคุยอะไรเสียงเบากับเทียนอินซ่างเหรินผู้ควบคุมยอดเขาเลื่อนลอยที่อยู่ข้างกายเขา
เทียบกันแล้วในอีกมุมหนึ่ง ผู้ควบคุมยอดเขาแซ่หลูแห่งยอดเขาเมฆาเขียวหัวคิ้วขมวดแน่น สายตากวาดผ่านบนร่างหลิ่วหมิงเป็นระยะ สีหน้าไม่น่าดูอย่างใด
“ผู้อาวุโสผู้ควบคุมยอดเขาทุกท่าน คิดว่าคงได้ยินมาก่อนแล้วว่างานประตูสวรรค์ครั้งนี้ นิกายยอดบริสุทธิ์ของพวกเราโชคดีได้ครองอันดับหนึ่งทั้งยังได้รับโชคชะตามาจำนวนมาก นี่เป็นเรื่องดีใหญ่หลวงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาเกือบหมื่นปี”
“เมื่อได้โชคชะตานี้มา หลายร้อยปีหลังจากนี้นิกายยอดบริสุทธิ์ของเราก็จะยิ่งเจริญรุ่งเรือง นี่ต้องขอบคุณผู้อาวุโสผู้ควบคุมยอดเขาทุกท่านที่สั่งสอนศิษย์ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้เหล่านี้ออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งอินจิ่วหลิงแห่งยอดเขาลั่วโยว ในงานประตูสวรรค์ครั้งนี้หลิ่วหมิงแสดงความสามารถได้อย่างยอดเยี่ยมยิ่ง โชคชะตาที่รวบรวมมาได้เป็นอันดับหนึ่ง คิดว่าท่านผู้เป็นอาจารย์คนนี้คงทุ่มเทความใส่ใจไปไม่น้อย” บนที่นั่งประธาน เทียนเกอเจินเหรินในอาภรณ์สีเหลืองแย้มยิ้มเล็กน้อยเอ่ยขึ้น
“ตอบท่านประมุข หลิ่วหมิงเด็กคนนี้เกิดมาฉลาดเฉลียวทั้งยังขยันพากเพียร กราบเข้าเป็นศิษย์ข้าเป็นเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่สิบปีก็ก้าวมาจนถึงขั้นนี้ได้ ไม่ง่ายดายจริงๆ” อินจิ่วหลิงได้ยินก็รีบลุกขึ้นประสานมือเอ่ย แต่บนใบหน้ากลับปิดบังสีหน้ายินดีจางๆ ไม่มิด
“นอกจากนี้ ผลงานของหลัวเทียนเฉิงกับหลงเหยียนเฟยและศิษย์คนอื่นก็ค่อนข้างไม่เลว ลงแรงสร้างความชอบทำให้โชคชะตารวมทั้งหมดของนิกายยอดบริสุทธิ์เราได้อันดับหนึ่ง ต่อจากนี้ข้าจะมอบรางวัลให้ตามผลงานในงานประตูสวรรค์ ส่วนรางวัลของยอดเขาที่ศิษย์แต่ะคนสังกัดอยู่จะเพิ่มทรัพยากรที่แบ่งสรรให้แต่ละปีตามผลงาน” หลังเทียนเกอเจินเหรินกวักมือส่งสัญญาณให้อินจิ่วหลิงนั่งลงก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ขอบคุณท่านประมุขยิ่ง!” พวกหลิ่วหมิงเจ็ดคนทยอยค้อมกายคำนับขอบคุณ
หลังจากนั้นพวกหลิ่วหมิงก็ก้าวเข้าไปรับรางวัลตามสัญญาณของเทียนเกอเจินเหรินทีละคน
ทุกครั้งที่เทียนเกอเจินเหรินเรียกชื่อใครคนหนึ่งก็จะมีเด็กรับใช้ด้านข้างประคองถาดใบหนึ่งเข้ามา บนถาดคือยันต์เก็บของแผ่นหนึ่ง
ท้ายที่สุดหลิ่วหมิงก็ได้รับมอบแต้มคุณูปการของนิกายสามล้านแต้ม โอสถที่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกต้องการหลายขวด รวมถึงสิทธิ์เลือกอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดในนิกายหนึ่งครั้งกับ “โอสถอู่หลิง” ที่มีฤทธิ์ช่วยเสริมการผนึกแก่นแท้ระดับหนึ่งหนึ่งเม้ด
ส่วนพวกหลัวเทียนเฉิง หลงเหยียนเฟยหกคน นอกจากแต้มคุณูปการที่ได้น้อยกว่าหลิ่วหมิงอยู่บ้าง ได้แค่หนึ่งล้านกว่าแต้ม อย่างอื่นก็ใกล้เคียงกัน
ทว่าเพียงแต้มคุณูปการหนึ่งล้านกว่าแต้มนี้ สำหรับศิษย์สายในธรรมดาคนหนึ่งก็เป็นความมั่งคั่งไม่น้อยแล้ว ต่อให้ไปรับภารกิจจากป้ายประกาศภารกิจของหอลี้ลับไม่หยุดก็ต้องสะสมอย่างน้อยสิบกว่าปีถึงมีโอกาสสะสมถึง
หลังพวกหลิ่วหมิงรับรางวัลจากเทียนเกอเจินเหรินแล้วก็ขอตัวออกจากตำหนักหลักไป ต่างคนกลับไปยังถ้ำที่พักของตนเอง
เนื่องจากผลงานในงานประตูสวรรค์ครั้งนี้ของหลิ่วหมิง ชั่วเวลาหนึ่งชื่อเสียงในนิกายของเขาจึงไม่มีใครเทียบเคียง ชื่อเสียงเพิ่มขึ้นเป็นเรือลอยตามน้ำอีกหนเพราะเรื่องนี้
ช่วงเวลาระยะหนึ่งหลังจากนั้น แม้หลิ่วหมิงจะฝึกฝนอยู่ในถ้ำที่พักของตนเองทุกวัน แต่ก็ยังมีศิษย์ไม่น้อยพากันมาเยี่ยมเยือนแสดงความเป็นมิตรถึงประตูเพราะชื่นชมชื่อเสียง แม้เขารำคาญเป็นที่สุด แต่โดยทั่วไปก็ต้อนรับทุกคน หากแสดงออกหยิ่งทะนงเกินไป กลับจะดึงเรื่องยุ่งยากที่ไม่จำเป็นมาได้
ในช่วงเวลานี้ยังมีผู้อาวุโสสายในที่เห็นคุณค่าเขาจำนวนหนึ่ง ส่งศิษย์ในสังกัดมามอบโอสถและอาวุธจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งให้อย่างต่อเนื่อง เพิ่มกำลังใจให้เขา ทั้งยังเชิญเขาไปเป็นแขกหากมีเวลาว่าง เจตนาชักชวนเป็นพวกไม่พูดก็รับรู้ได้
เรื่องนี้หลิ่วหมิงได้แต่รับปากไปก่อน ส่วนหลังจากนี้จะไปหรือไม่ไปเยี่ยมเยือน นั่นก็ได้แต่ค่อยว่ากันทีหลัง
ทว่าในใจเขาตัดสินใจแล้วว่ารอเรื่องนี้ซาลง เขาจะออกเดินทางอีกครั้ง มิเช่นนั้นเป็นเช่นนี้นานเข้าจะต้องกระทบการฝึกฝนของเขาแน่
ในเวลาเดียวกันนี้ในถ้ำที่พักแห่งหนึ่งที่ยอดเขากระบี่สวรรค์
เสียงแหวกอากาศดังฟึบๆ ดังขึ้นกลางอากาศพักหนึ่ง รุ้งสีน้ำเงินยาวหนึ่งจั้งกว่าสายหนึ่งก็พุ่งตัดผ่านไปมาในถ้ำไม่หยุด
ข้างใต้รุ้งสีน้ำเงิน ชายหนุ่มชุดผ้าไหมใบหน้าตอบยาวผู้หนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ด้วยใบหน้าอึมครึม
เวลานี้เองสตรีรูปร่างอ้อนแอ้นหน้าตาสะสวยก็เยื้องย่างเดินเข้ามา
หลงเหยียนเฟยนั่นเอง
“ศิษย์น้องซา อาจารย์สั่งไว้แล้ว หลังจากนี้อย่าได้สร้างความลำบากให้หลิ่วหมิงคนนั้นเพราะเรื่องศิษย์น้องเจียหลานอีก จะได้ไม่เกิดเรื่องขึ้นเปล่าๆ คิดว่าเจ้าก็คงรู้แล้วว่าตนในตอนนี้อยู่ห่างจากเขามาก ไม่สู้ฝึกฝนดีๆ ใช้พรสวรรค์ของเจ้าไล่ตามเขา ไม่แน่อาจยังเป็นไปได้อยู่บ้าง” หลงเหยียนเฟยหัวเราะแผ่วเบา เอ่ยขึ้นเรียบๆ
“ในเมื่ออาจารย์ว่าเช่นนี้ ข้าย่อมเข้าใจเหตุผลของท่าน ไม่ไปหาหลิ่วหมิงผู้นั้นอย่างไม่ประมาณกำลังตนอีก”
หลังซาทงเทียนเงยหน้ามองหลงเหยียนเฟยทีหนึ่งก็ตอบกลับอย่างเย็นชา สนใจแต่ทำท่าเคล็ดวิชาฝึกฝนต่อไป
ภาพที่คล้ายกันยังเกิดขึ้นในตำหนักหลักของยอดเขาดับสูญด้วย
“เทียนเฉิง ฟ่านเจิ้ง พลังของหลิ่วหมิงคนนี้คิดว่าพวกเจ้าสองคนตอนนี้คงรู้ชัดยิ่ง นับจากวันนี้เป็นต้นไปไม่มีธุระก็อย่าไปหาเรื่องเด็กคนนี้ มิเช่นนั้นหากท่านประมุขลงโทษขึ้นมา ข้าก็คงแก้ตัวไม่ได้” ผู้ควบคุมยอดเขาดับสูญที่นั่งอยู่บนที่นั่งประธานเอ่ยขึ้นช้าๆ
“ศิษย์น้อมรับคำสั่ง!” หลัวเทียนเฉิงผู้สวมชุดสีเทากับฟ่านเจิ้งสองคนได้ยินก็สบตากันอย่างค่อนข้างจนปัญญาทีหนึ่ง ได้แต่ตอบรับอย่างว่าง่าย
ในเวลาเดียวกันนี้ฐานะของยอดเขาลั่วโยวที่หลิ่วหมิงอยู่ก็เลื่อนสูงขึ้นพร้อมกับการจบลงของงานประตูสวรรค์ ทรัพยากรในนิกายที่ยอดเขาลั่วโยวซึ่งจำนวนคนไม่มากได้ไปทำให้พวกเขามั่งคั่งอย่างมากเพราะเหตุนี้จึงชักนำให้ศิษย์ที่เพิ่งเข้าสายในพากันแสดงออกว่าปรารถนาจะเข้าสังกัดยอดเขาลั่วโยว
อินจิ่วหลิงผู้ควบคุมยอดเขาลั่วโยวกับเทียนอินซ่างเหรินผู้ควบคุมยอดเขาเลื่อนลอย ความสัมพันธ์ยิ่งแน่นแฟ้น สองยอดเขาท่าทางคล้ายไม่แยกเขาแยกเรา
หลิ่วหมิงผู้เป็นตัวละครหลักในเรื่องทั้งหมดกลับไม่รู้สึกสนใจเรื่องนี้ หลังปรากฏตัวในงานที่ขาดไม่ได้ไม่กี่หนก็ซุกอยู่ในหอเก็บคัมภีร์ไม่ออกมาอีก
เขาเริ่มหาอ่านข้อมูลเกี่ยวกับการจับปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่ารวมถึงคัมภีร์อื่นๆ ที่เกี่ยวกับการแก้ปัญหาติดขัดของเคล็ดวิชาฝึกฝนจำนวนหนึ่ง
ครึ่งเดือนให้หลังหลิ่วหมิงถึงเดินอาดๆ ออกมาจากในหอเก็บคัมภีร์ มือตั้งท่าเคล็ดวิชากลายเป็นแสงสีทองสายหนึ่งแหวกท้องฟ้าจากไป มุ่งไปยังถ้ำที่พักของผู้อาวุโสเถียนบนยอดเขาลั่วโยว