ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 825 เพียงพอนผลึกม่วง
ตอนที่ 825 เพียงพอนผลึกม่วง
ครึ่งชั่วยามให้หลัง
ในโถงถ้ำซึ่งหมอกสีเทาขมุกขมัวอึมครึม บุรุษผู้มีปราณดำสายเล็กๆ วนเวียนล้อมรอบคนหนึ่งนั่งสง่าอยู่บนเก้าอี้ไม้ สองตาจับจ้องหญ้าจิตวิญญาณที่มีเกสรรูปกลมกลีบสีส้มถูกเปลวเพลิงจิตวิญญาณสีเหลืองอ่อนล้อมอยู่ต้นหนึ่งในมือ
“ดี! หญ้าหัวใจอัคคีไม่ผิดจริงๆ อายุยังมากกว่าที่ต้องการนิดหน่อยด้วย ไม่เลว!”
ในดวงตาของเขาฉายแววพึงพอใจจางๆ หัวเราะฮ่าๆ เอ่ยขึ้น
“ภารกิจที่อาจารย์อาเถียนมอบหมาย ศิษย์จะกล้าลืมได้อย่างไร ว่าแต่…” หลิ่วหมิงที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ก็รีบเอ่ยตอบ
“วางใจ ข้ารับปากเจ้าแล้วย่อมไม่กลับคำ! ที่อยู่ของปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่าบันทึกไว้บนแผนที่แผ่นนี้แล้ว แต่สถานที่นี้อันตรายอย่างยิ่ง เกรงว่าคงจะทำสำเร็จไม่ง่ายปานนั้น ข้าแนะนำเจ้าสักประโยคเตรียมพร้อมให้มากค่อยออกเดินทางก็ไม่สาย”
“นอกจากนี้ปีศาจอสูรตัวนี้พลังระดับแก่นแท้ ศิษย์หลานหลิ่วระวังไว้บ้างเป็นเยี่ยม อย่าจับอสูรตัวนี้ไม่ได้แต่กลายไปเป็นอาหารโอชะในท้องมันแทนเสียเล่า” ผู้อาวุโสเถียนยังคงจ้องหญ้าจิตวิญญาณในมือ เอ่ยต่อทั้งที่ศีรษะไม่เงย ในเวลาเดียวกันมืออีกข้างหนึ่งก็ยกขึ้น ม้วนสาส์นที่เก่าอยู่บ้างม้วนหนึ่งถูกโยนออกมา
“ขอบคุณอาจารย์อาเถียนยิ่งที่เตือน!”
หลิ่วหมิงรับม้วนสาส์นมา หลังใช้จิตสัมผัสกวาดทีหนึ่งก็เก็บมันเข้าไปในแหวนย่อส่วนอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงประสานมือเอ่ยขอบคุณผู้อาวุโสเถียน
“เอาล่ะ ไม่มีธุระอื่นแล้ว เจ้าก็ออกไปเถอะ” หลังผู้อาวุโสเถียนได้หญ้าจิตวิญญาณแล้วก็รีบไล่แขก ราวกับว่าไม่ยินดีถูกคนรบกวนนัก
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สถานการณ์ขอตัวออกจากถ้ำที่พักไปทันที
หลังจากนั้นเขาก็กลับไปในถ้ำที่พัก ติดป้ายว่าไม่รับแขก มุ่งมั่นศึกษาแผนที่ในมือ
เวลาสองเดือนผ่านไปเพียงชั่วพริบตา
ในช่วงเวลานี้เจียหลานสตรีนางนี้เคยมาถ้ำที่พักของหลิ่วหมิงหลายครั้ง
เพียงแต่ทุกครั้งทั้งสองคนเพียงสนทนาเคล็ดลับการฝึกฝนบางอย่าง ส่วนเรื่องหมั้นหมายปิดปากไม่พูดถึง หลังกิจธุระสตรีนางนี้ก็ไม่พูดอันใดมากจากไปอย่างรวดเร็วประหนึ่งระหว่างทั้งสองคนเป็นพียงสหายที่ดีทั่วไปเท่านั้น
สถานการณ์เหล่านี้ในสายตาของคนที่ไม่รู้นอกในเหล่านั้นย่อมคิดว่าหลิ่วหมิงกับเจียหลานคบหากันสนิทสนม รักกันดียิ่ง
ส่วนเวินอันนั่นยิ่งไม่กล้าหมายตาเจียหลานแล้ว ทุกครั้งยามผ่านใกล้ยอดเขาลั่วโยวกับยอดเขาเลื่อนลอยก็อ้อมทาง ไม่พบหน้าหลิ่วหมิงหรือเจียหลานแม้แต่น้อย
วันนี้หลิ่วหมิงตรวจสอบสภาพของเซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์อีกครั้ง
พบว่าแม้อาการบาดเจ็บของทั้งสองจะฟื้นดีขึ้นเจ็ดแปดส่วนแล้ว แต่ปราณก็ยังคงแผ่วจางอยู่บ้าง เวลาส่วนใหญ่ของทุกวันล้วนนอนหลับ ดูท่าการตามหาปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่า อสูรเลี้ยงสองตัวนี้จะช่วยงานไม่ได้เสียแล้ว
หลิ่วหมิงครุ่นคิดระยะหนึ่งก็ตัดสินใจทิ้งทั้งสองตัวไว้ในห้องลับของถ้ำที่พักให้รักษาแผลดีๆ พร้อมกำชับทั้งสองไว้ หลังเปิดชั้นจำกัดทั้งหมดด้านในด้านนอกถ้ำที่พักแล้ว เขาก็ออกจากถ้ำที่พักของตนเอง มือทำท่าเคล็ดกระบี่กลายเป็นแสงสีทองสายหนึ่งแหวกท้องฟ้าจากไป ชั่วครู่ให้หลังก็หายไปท่ามกลางหมู่เขากว้างขวาง
หลายเดือนให้หลัง ณ ที่สักแห่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของแผ่นดินจงเทียน
ทอดสายตามองไปบนพื้นดินล้วนเป็นวัชพืชรกเขียวครึ้มสูงเท่าตัวคน ลมพัดหอบหนึ่งก็ไหวเป็นระลอกชั้นแล้วชั้นเล่าประหนึ่งน้ำทะเล อากาศแห้งผากเย็นยะเยือกผิดปกติ
สุดปลายทุ่งหญ้าคือเทือกเขาไม่สิ้นสุดสีแดงหม่นแถบใหญ่ซ้อนเป็นชั้นๆ มองไปสองด้านล้วนมองไปไม่เห็นสุดขอบ
แสงสีทองสายหนึ่งแหวกท้องฟ้ามาถึงทางเข้าตลาดแห่งหนึ่งตรงขอบเทือกเขา หลังแสงรัศมีดับลง ชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินคนหนึ่งก็ร่อนลงมาจากท้องฟ้า
หลังเขามองสำรวจผู้คุ้มกันใกล้ๆ สองสามทีก็เดินออกจากค่ายกลไปทางถนนใกล้ๆ อย่างไม่รีบร้อน
ชายหนุ่มคนนี้ก็คือหลิ่วหมิง
หลังเขาเคลื่อนย้ายสิบกว่าหนเร่งเดินทางหลายเดือนมาจนถึงที่แห่งนี้ตามแผนที่ซึ่งผู้อาวุโสเถียนมอบให้ เขาก็ค้นพบว่าเทือกเขาใกล้ๆ ใหญ่โตอย่างยิ่ง มีสถานที่อันตรายหมอกพิษนานามากมาย แม้มีแผนที่ชี้บอก จะหาปีศาจอสูรธาตุว่างเปล่าพบก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน
โชคดีที่ก่อนออกเดินทาง เขาอ่านเจอในคัมภีร์ของนิกายว่าถิ่นที่ปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่าปรากฏตัวมักจะมีเพียงพอนผลึกม่วงปีศาจอสูรระดับสองที่หายากอยู่ด้วย พวกมันประสาทรับกลิ่นไวผิดปกติ นอกจากนี้ชอบกลิ่นประหลาดที่แผ่ออกมาจากตัวปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่าซึ่งเผ่ามนุษย์ไม่อาจรับรู้ได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีส่วนช่วยผู้ฝึกฝนแกะรอยที่อยู่ของปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่าได้อย่างแม่นยำ
แม้เพียงพอนผลึกม่วงพลังค่อนข้างต่ำ แต่ขี้ขลาดและเจ้าเล่ห์ ทั้งยังมีทักษะยอดเยี่ยมต่างๆ นานาในการซ่อนตัวรักษาชีวิต ดังนั้นจึงจับไม่ง่าย
ผนวกกับเพียงพอนผลึกม่วงร่างกายยาวเพียงครึ่งฉื่อ หน้าตาค่อนข้างน่ารัก ขนบนร่างนุ่มนิ่ม อยู่ใต้แสงตะวันสาดส่องจะทอแสงแวววาวสีม่วงจางๆ ชั้นหนึ่ง ดูแล้วงดงามอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่ชมชอบของผู้ฝึกฝนสตรียิ่งนัก ศิษย์หญิงของตระกูลจำนวนหนึ่งถือว่าการเลี้ยงเพียงพอนผลึกม่วงตัวหนึ่งเป็นอสูรเลี้ยงได้เป็นหน้าเป็นตา
เมื่อเป็นเช่นนี้พอในตลาดมีเพียงพอนผลึกม่วงปุบก็มักจะถูกผู้ฝึกฝนสตรีจำนวนมากเอาตัวไปด้วยราคาสูงจึงยิ่งหาเจอยากขึ้นไปอีก
ครึ่งเดือนก่อนหลิ่วหมิงได้ข่าวว่าในตลาดแห่งนี้มีร้านแห่งหนึ่งชื่อ “โรงร้อยล่า” เคยขายเพียงพอนผลึกม่วงมาหลายครั้ง ดังนั้นจึงเร่งเดินทางไม่หยุดมาที่นี่ทันที
ใกล้ๆ ตลาดแห่งนี้ไม่มีนิกายหรือตระกูลใหญ่อันใดนัก ด้วยเหตุนี้คนที่ไปมาด้านในจึงไม่มากนัก นอกจากนี้ส่วนใหญ่มีเพียงผู้ฝึกฝนอิสระระดับต่ำอย่างระดับศิษย์จิตวิญญาณกับระดับของเหลวจิตวิญญาณจำนวนหนึ่ง บางครั้งถึงจะเห็นคนที่สวมเครื่องแต่งกายเหมือนคนของนิกายหรือตระกูลปรากฏตัวสักสองสามคน
ดังนั้นเพื่อไม่ให้ดึงดูดความสนใจของผู้คน เขาจึงเปลี่ยนเป็นชุดสีน้ำเงินธรรมดา ทั้งยังกดกลิ่นอายไปถึงสภาพระดับผลึกขั้นต้นเท่านั้น
หลิ่วหมิงเดินวนเวียนอยู่พักหนึ่งก็หยุดเท้าตรงปากทางแยกของถนนสองสาย หน้าหอไม้ขนาดเล็กสูงสี่ห้าจั้งหลังหนึ่ง
เห็นเพียงนอกหน้าต่างหอแขวนธงรูปสามเหลี่ยมผืนใหญ่สีขาวขมุกขมัวผืนหนึ่งไว้ “โรงร้อยล่า” ตัวอักษรใหญ่สีดำสนิทบิดเบี้ยวเล็กน้อยสามตัวเห็นเด่นชัด
หลิ่วหมิงมองทีหนึ่งก็ยิ้มเล็กน้อย เดินเข้าไปอย่างไม่ลังเล
เมื่อเหยียบเข้าประตูร้านปุบ ชายฉกรรจ์กำยำ รูปร่างสูงใหญ่ ร่างกายห่มหนังเสือเท้าสวมรองเท้าหนังงู แต่งกายคล้ายเผ่าหมานก็เข้ามาต้อนรับ
“ผู้อาวุโสเดินทางมาเยือนร้านเล็กๆ ไม่ทราบมีสิ่งใดให้รับใช้หรือ?” ชายฉกรรจ์รูปร่างกำยำกวาดตามองหลิ่วหมิงแล้วรีบประสานมือเอ่ยถามอย่างตกใจในทันใด
“ได้ยินว่าร้านนี้ของเจ้ามีเพียงพอนผลึกม่วงมาขายบ่อยๆ ตอนนี้ยังมีอยู่ไหม?” สายตาของหลิ่วหมิงกวาดผ่านวัตถุดิบจากปีศาจอสูรๆ นานาชนิดที่แขวนระเกะระกะนั่นด้านในร้านแล้วเอ่ยถามทันทีอย่างไม่เกรงใจ
“เพียงพอนผลึกม่วงนี่ร้านของข้าเคยขายอยู่จริง แต่ปีศาจอสูรตัวนี้จับไม่ง่าย…” ชายฉกรรจ์กำยำได้ฟัง ทันใดนั้นก็ลังเลอยู่บ้างแล้วถึงเอ่ยตอบเสียงเบา
“เหอะ มีอะไรต้องอึกอัก ขอเพียงมีอสูรตัวนี้ก็ไม่ขาดหินจิตวิญญาณให้เจ้าหรอก” หลิ่วหมิงในใจยินดี บนหน้ากลับแค่นเสียงทีหนึ่งเอ่ยอย่างเย็นชา
“ผู้อาวุโสอย่าได้ถือโทษ ในร้านข้าไม่มีอสูรตัวนี้แล้ว แต่เมื่อวานข้าบังเอิญได้ยินว่ามีสหายจับได้ตัวหนึ่งน่าจะยังไม่วางขาย ผู้อาวุโสกรุณานั่งรอสักครู่ได้หรือไม่ ให้ข้าได้ส่งข่าวถามดูสักหน่อย” ชายฉกรรจ์ร่างกำยำพลังแค่ระดับของเหลวจิตวิญญาณขั้นต้น ถูกหลิ่วหมิงกวาดตามองทีหนึ่งก็รู้สึกทั้งร่างสะท้าน ไม่กล้าลังเลอีกแม้แต่น้อยเอ่ยตอบทันที
“นั่งคงไม่ต้องหรอก ข้าจะรออยู่ที่นี่ ถ้าเจรจาสำเร็จย่อมไม่ขาดรางวัลสำหรับเจ้าแน่นอน” หลิ่วหมิงไม่เสียเวลาคิดก็เอ่ยบอก
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำได้ยินก็รีบพยักหน้า หลังจากนั้นเดินไปทางห้องลับห้องหนึ่งด้านหลังร้าน
ที่จริงหลิ่วหมิงสืบเบื้องหลังของโรงร้อยล่านี้มาชัดแล้ว เจ้าของร้านแห่งนี้ไม่ใช่คนดีอันใด วัตถุดิบกับปีศาจอสูรหายากเหล่านั้นมักจะไม่ได้วางอยู่ในร้านแต่จะแสร้งขาดของชั่วคราวหรือไม่มีของเป็นข้ออ้างมาโก่งราคาหวังผลกำไรสูง คิดว่าสหายที่ว่าก็คงเป็นแค่คำอ้างของเขาเท่านั้น
ทว่าขอเพียงซื้อเพียงพอนผลึกม่วงได้ราบรื่น หินจิตวิญญาณน้อยเท่านี้ หลิ่วหมิงไม่สนใจ
ชั่วครู่ให้หลัง ชายฉกรรจ์ร่างกำยำก็เดินออกมาจากในห้องลับ ใบหน้ายิ้มแย้มเอ่ยว่า
“ตอบผู้อาวุโส พี่น้องของข้ามีเพียงพอนผลึกม่วงตัวหนึ่งอยู่ในมือจริงๆ เขายินดียกให้ผู้อาวุโสด้วยราคาต่ำเตี้ยเพียงห้าแสนหินจิตวิญญาณ! แต่มันไม่ได้อยู่ในตลาดนี้ อยู่ในถ้ำที่พักของเขา”
“ห้าแสนหินจิตวิญญาณหรือ?” หลิ่วหมิงได้ยิน สีหน้าพลันเคร่งขรึมไป เหล่มองชายฉกรรจ์ร่างกำยำอย่างเย็นชาทีหนึ่ง
ราคานี้ห่างจากราคาสองแสนหินจิตวิญญาณที่เขาสอบถามมาก่อนหน้านี้มากนัก
“ผู้อาวุโสคงไม่ทราบ เพียงพอนผลึกม่วงนี้เดิมก็มีจำนวนไม่มาก สถานที่จับก็มีปีศาจอสูรแห่งความว่างเปล่ามากมายปรากฏตัว เป็นสถานที่อันตราย มักต้องใช้คนถึงสี่ห้าคนดักรออย่างระมัดระวังนับหลายเดือนถึงจะจับได้สักตัว แต่ในเมื่อผู้อาวุโสต้องการจริงๆ ข้าจึงเสนอสหายของข้าผู้นั้นขอลดราคาให้ผู้อาวุโสสักหน่อย สี่แสนหินจิตวิญญาณเป็นอย่างไร? หนึ่งแสนนั่นนับว่าข้ามอบของขวัญแสดงความนับถือแด่ผู้อาวุโส หวังว่าผู้อาวุโสจะมาเยือนร้านของข้าบ่อยๆ บางครั้งก็ดูแลสักหน่อย” ชายฉกรรจ์ร่างกำยำฉีกยิ้มเอ่ย
“เอาล่ะ ข้าก็คร้านจะต่อราคาอีก สี่แสนก็สี่แสน แต่นานเท่าไรสหายคนนั้นของเจ้าถึงจะส่งเพียงพอนผลึกม่วงตัวนี้มาได้” หลิ่วหมิงเลิกคิ้วเอ่ยถามเสียงดุดัน
“สหายผู้นั้นของข้าอาศัยอยู่ในเทือกเข้าข้างเคียง สามวันให้หลังผู้อาวุโสมารับได้” ชายฉกรรจ์ร่างกำยำยินดี รีบเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม
“ดี สามวันให้หลังข้าจะมาใหม่! หึ หากถึงเวลาไม่เจออสูรตัวนี้ละก็…”
หลิ่วหมิงทิ้งประโยคสุดท้ายไว้แล้วหัวเราะหึๆ ก้าวเท้าเดินออกจากร้านแห่งนี้ไป
เจ้าของร้านร่างกำยำได้ยิน ใบหน้าฉับพลันซีดเผือดไปอยู่บ้าง
หลังหลิ่วหมิงออกจากร้านก็หาโรงเตี๊ยมสำหรับผู้ฝึกฝนโดยเฉพาะแห่งหนึ่งใกล้ๆ พักอยู่ชั่วคราว ร่างกายโฉบออกจากตลาดกลับไปยังโรงเตี๊ยมที่พักของตน
ขณะที่เขาเพิ่งออกจากโรงร้อยล่า ผู้ฝึกฝนหน้าตาหล่อเหลา ทั้งร่างสวมอาภรณ์สีขาวท่าทางเหมือนคุณชายผู้สง่างามอยู่บ้างก็ย่างเท้าเดินเข้ามา
“คุณชายท่านนี้ต้องการสิ่งใดหรือ? ในร้านข้าวัตถุดิบจากปีศาจอสูรนานาชนิดต้องการสิ่งใดก็มีสิ่งนั้น” ชายฉกรรจ์ร่างกำยำรีบก้าวเข้ามาต้อนรับ ใบหน้ายิ้มแย้มเอ่ยขึ้น
“เพียงพอนผลึกม่วงมีไหม?” ผู้ฝึกฝนชุดขาวก็ไม่เปลืองคำพูด เปิดปากเข้าประเด็น
“นี่…เกรงว่าคงต้องให้คุณชายผิดหวังแล้ว ร้านข้ามีเพียงพอนผลึกม่วงเพียงตัวเดียว วันนี้มีผู้อาวุโสระดับผลึกคนหนึ่งมาจองไปก่อนแล้ว” ชายฉกรรจ์ร่างกำยำได้ยินก็เอ่ยขึ้นอย่างอึ้งๆ
“เจ้าเรียกระดับผลึกกระจอกๆ คนหนึ่งว่าผู้อาวุโส ถ้าเช่นนั้นข้านับเป็นอะไร เจ้าคนมีตาไม่มีแวว!”
ผู้ฝึกฝนชุดขาวได้ยินพลันสีหน้าเย็นชา บนร่างส่งเสียงดัง “เปรี้ยง” ปราณแข็งแกร่งของระดับแก่นแท้แผ่ออกมาอย่างไม่เก็บไว้สักนิด
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำระดับของเหลวจิตวิญญาณเท่านั้น แม้รูปร่างสูงใหญ่ แต่ไหนเลยจะทนรับแรงกดดันน่าหวาดหวั่นนี้ได้ เสียง “ตึก” ดังขึ้นทีหนึ่ง เขาทรุดนั่งลงกับพื้นอย่างไม่ทันป้องกัน บนหน้าไม่เหลือสีเลือดอีกต่อไป