ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 83 มุกปราณแก่นพิภพกับกระดูกจิตวิญญาณ
พอได้ฟังคำพูดนี้ของหญิงแซ่หลินศิษย์กว่าครึ่งหนึ่งก็แยกตัวออกไป บางส่วนก็ตามหญิงแซ่หลินไปยังสิ่งก่อสร้างสูงใหญ่หลายแห่งนั่น บางส่วนก็ทะยานฟ้าออกไปจากค่ายหิน ซึ่งไปรู้ว่าเหาะไปยังทิศทางใด
เห็นได้ชัดว่ามีแค่หลิ่วหมิงและคนอีกเจ็ดแปดคนเท่านั้นที่มาที่นี่เป็นครั้งแรก พวกเขาต่างก็มองดูกันครู่หนึ่งแล้วก็พากันเดินไปยังป้ายหินที่อยู่กลางค่ายนั้น
เวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป หลิ่วหมิงก็อ่านอักขระบนป้ายหินจบ แล้วเดินวนบริเวณค่ายด้านในไปหนึ่งรอบ
เขาค้นพบว่าที่นี่นอกจากค่ายกลเคลื่อนที่ขนาดเล็กที่ใช้ได้เฉพาะสถานการณ์พิเศษแล้ว ยังมีร้านขายของเบ็ดเตล็ดหนึ่งแห่ง ร้านหลอมอาวุธหนึ่งแห่ง ร้านขายของเบ็ดเตล็ดจะมีโอสถทิพย์ น้ำยาจิตวิญญาณเป็นต้น ร้านหลอมอาวุธสามารถซ่อมแซมอาวุธอาญาสิทธิ์ที่เสียหายได้ และยังมีอาวุธอาญาสิทธิ์แบบเรียบง่ายขายด้วย
ส่วนบ้านหินเล็กๆ หลังอื่นๆ เป็นที่พักผ่อนสำหรับศิษย์ที่มาเข้าร่วมภารกิจปราบปรามโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
ก่อนจะมาหลิ่วหมิงได้เตรียมเสบียงและสิ่งของทั้งหมดไว้ก่อนแล้ว ตอนนี้เขาใช้หินจิตวิญญาณแค่ไม่กี่สิบก้อนซื้อแผนที่อุโมงค์หมื่นกระดูกจากร้านขายของเบ็ดเตล็ดมาผืนหนึ่งเท่านั้น จากนั้นก็เหาะออกไปจากค่ายหินพร้อมกับศิษย์คนอื่นๆ
ขณะที่อยู่กลางอากาศ เขากางแผนที่ออกและดูอย่างละเอียดหนึ่งรอบ แล้วหรี่ตาทั้งคู่สังเกตดูบริเวณรอบๆ พื้นที่ที่อยู่ไกลออกไปจากพื้นที่แอ่งกระทะ
ตรงยอดเขาที่อยู่ๆ บริเวณรอบๆ แอ่งกระทะมีเสาหินขนาดต่างๆ ตั้งตระหง่านอยู่ และในพื้นที่แอ่งกระทะมีแท่นหินสีเขียวดำหนึ่งแท่นหรือสองสามแท่นปรากฏอยู่เป็นระยะๆ บนนั้นมีอักขระโบราณจารึกไว้อย่างเรียบง่าย
หลิ่วหมิงมองดูเสาหินและแท่นหินเหล่านี้ แล้วมองแผนที่ในมือครู่หนึ่ง พลันสีหน้าก็เปลี่ยนไป เขาทำท่ามือด้วยมือเดียวบังคับเมฆเทาให้เหาะสูงขึ้นไป
สามร้อยจั้ง สี่ร้อยจั้ง หกร้อยจั้ง หนึ่งพันจั้ง…
จนเหาะขึ้นสูงพันกว่าจั้งแล้ว หลิ่วหมิงถึงจ้องมองลงไปข้างล่างอย่างละเอียด สุดท้ายเขากลับสูดลมหายใจเข้าด้วยความเย็นสะท้าน
พื้นที่แอ่งกระทะเล็กๆ ทั้งหมดคือค่ายกลกลมๆ ขนาดกว้างหมื่นหมู่ และค่ายหินที่ดูเรียบง่ายนั้นคือศูนย์กลางของค่ายกล
ดูเหมือนว่าอุโมงค์หมื่นกระดูกนี้คงจะน่ากลัวสมคำร่ำลือจริงๆ มิเช่นนั้นแต่ละนิกายคงไม่ร่วมมือกันสร้างค่ายกลปิดผนึกอันน่ากลัวเช่นนี้
ตามข้อมูลที่เขาค้นหามา ว่ากันว่าอุโมงค์หมื่นกระดูกนี้ปรากฏขึ้นหลังจากที่ปราณแก่นพิภพระเบิดขึ้นเมื่อห้าหกพันปีก่อน
ว่ากันว่าในนั้นมีโครงกระดูกมนุษย์ และสัตว์ต่างๆ ที่ไม่รู้ว่าฝังอยู่ใต้พิภพมากี่หมื่นปีแล้ว ดังนั้นตอนที่ปราณแก่นพิภพระเบิดออกมาทำให้มันทั้งหมดมีชีวิตขึ้นมา และกลายเป็นปีศาจที่คล้ายกับศพกระดูก แต่โครงกระดูกเหล่านี้ถูกฝังมานานเกินไป ตัวที่มีสติปัญญานั้นจึงมีไม่ค่อยมาก ดังนั้นจึงเรียกรวมว่าปีศาจกระดูก
และพลังของปีศาจกระดูกเหล่านี้ ก็แตกต่างกันตามระยะเวลาในการดูดซึมปราณแก่นพิภพ มีตั้งแต่ปีศาจระดับพลทหารที่เทียบเท่ากับผู้ฝึกปราณ จนถึงปีศาจระดับแม่ทัพที่สามารถต่อสู้กับอาจารย์จิตวิญญาณได้
ยังมีคนบอกว่าชั้นที่อยู่ต่ำสุดของอุโมงค์หมื่นกระดูกมีราชาปีศาจกระดูกอยู่ตนหนึ่ง มันมีพลังของราชาปีศาจที่แท้จริง และสามารถต่อกรกับผู้อาวุโสระดับผลึกได้
แน่นอนว่าคำพูดหลังนี้ไม่ค่อยมีคนเชื่อสักเท่าไหร่ ถ้าหากมีราชาปีศาจกระดูกจริงๆ ผู้อาวุโสระดับผลึกของแต่ละนิกายคงออกโรงตั้งนานแล้ว ไหนเลยจะยอมปล่อยให้ปีศาจดุร้ายเช่นนี้อาศัยอยู่ในก้นอุโมงค์หมื่นกระดูกได้
และก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะสาเหตุอันใด ถึงไม่สามารถใช้วิชาสื่อสารจิตวิญญาณสยบจิตและทำให้มันยอมศิโรราบได้ เมื่อมันถูกสังหารแล้วบางครั้งก็มีแค่กระดูกจิตวิญญาณกับปราณแก่นพิภพชนิดหนึ่งที่พอจะมีราคาหน่อย
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้ปีศาจในอุโมงค์หมื่นกระดูกรวมพลังกันทำลายผนึกที่แต่ละนิกายได้ร่วมกันสร้างไว้ แต่ละนิกายจึงได้ส่งศิษย์เข้าไปสังหารปีศาจกระดูกครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่น่าเสียดายที่ปราณแก่นพิภพดูเหมือนจะไม่มีวันหมด เลยทำให้ยิ่งไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วด้านล่างฝังโครงกระดูกไว้มากมายเท่าไหร่ ถึงแม้ในแต่ละปีจะสังหารปีศาจไปไม่น้อย แต่ขณะเดียวกันก็มีปีศาจเกิดขึ้นมาใหม่อีกมากมายเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ แต่ละนิกายต่างก็ส่งศิษย์มาสังเกตการณ์ที่นี่ไว้ และไม่เสียดายที่จะใช้รางวัลจำนวนมากในการดึงดูดให้ศิษย์คนอื่นๆ มาทดสอบที่นี่
แต่หลายร้อยปีมานี้ ไม่รู้ว่านิกายปีศาจตกลงอะไรกับนิกายอื่นๆ ถึงได้ส่งศิษย์มาสังเกตการณ์เพียงนิกายเดียว แน่นอนว่าถ้านิกายอื่นๆ ต่างก็ส่งศิษย์มาที่นี่ล่ะก็นิกายปีศาจย่อมไม่ขัดขวางแต่อย่างใด
ถึงแม้อุโมงค์หมื่นกระดูกจะอยู่มานานขนาดนี้ แต่ก็ยังดูสงบมาโดยตลอด และอันตรายในนั้นล้วนเป็นของจริง
ว่ากันว่าอุโมงค์หมื่นกระดูกนี้มีมากกว่าเก้าชั้น แต่ตอนนี้มีคนเข้าไปได้จริงๆ แค่ห้าชั้นแรกเท่านั้น
และปีศาจกระดูกที่ปรากฏในชั้นหนึ่งถึงสามล้วนเป็นปีศาจระดับพลทหาร ชั้นสี่ชั้นห้ามีปีศาจระดับขุนพล บางทีก็มีปีศาจระดับแม่ทัพปรากฏตัวบ้าง ตั้งแต่ชั้นห้าลงไปก็เป็นโลกของปีศาจระดับแม่ทัพแล้ว ซึ่งแม้แต่อาจารย์จิตวิญญาณก็ไม่กล้าบุกเข้าไปในนั้น
ด้วยเหตุนี้ศิษย์ที่มาที่นี่โดยทั่วไปจะกวาดล้างไปได้แค่สามชั้นแรกเท่านั้น ผู้ที่กล้าบุกเข้าไปชั้นที่สี่ได้นั้น ถ้าไม่ใช่ผู้กล้าที่มีฝีมือสูงส่ง ก็เป็นผู้ที่มีอาจารย์จิตวิญญาณนำเข้าไปด้วย
หลิ่วหมิงมองลงมาจากอากาศอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากที่คิดชั่งน้ำหนักข้อมูลที่เกี่ยวข้องแล้ว ถึงบังคับเมฆให้ร่อนลงไปด้านล่าง ครู่เดียวก็มาถึงบนยอดเขาลูกเขาที่อยู่ตรงขอบพื้นที่แอ่งกระทะ
บนกำแพงหินที่อยู่ห่างจากเขาสิบกว่าจั้ง มีอุโมงค์สูงหลายจั้งที่ถูกแสงสีขาวปกคลุมทางเข้าไว้
นี่คือหนึ่งในทางเข้าสู่อุโมงค์หมื่นกระดูก ทางเข้าแบบเดียวกันตั้งอยู่ทั่วทุกแห่งในพื้นที่แอ่งกระทะนี้ ว่ากันว่ามีทางเข้าทั้งหมดเกือบร้อยกว่าที่
และแสงสีขาวตรงทางเข้านั้น มันคือผนึกจำกัดปีศาจชั้นยอด ที่ควบคุมปีศาจห้ามปีศาจไม่ให้ออกมา แต่ไม่มีผลอะไรต่อศิษย์แต่ละนิกายที่เข้าไป
หลิ่วหมิงก้าวยาวๆ เดินไปยังอุโมงค์ทางเข้า ครู่เดียวแสงสีขาวก็เปล่งประกาย ร่างของเขาก็จมหายเข้าไปอย่างไร้ร่องรอย
พอเข้าไปในม่านแสงแล้ว ข้างในเป็นทางสายหนึ่งที่ยาวสิบกว่าจั้ง ถึงแม้ผนังหินทั้งสองข้างจะเกลี้ยงเกลา แต่มันก็ไม่ราบเรียบทั้งหมด เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์
แต่บนผนังหินมีแสงสีขาวจางๆ เปล่งออกมา ทำให้ทางเดินทั้งสายดูสว่างกว่าปกติ
ภายใต้ความแปลกใจ หลิ่วหมิงเดินไปตรวจดูผนังหินด้านหนึ่งอย่างละเอียด จากนั้นจึงเขี่ยผลึกหินโปร่งแสงที่เปล่งแสงอยู่ลงมาก้อนหนึ่ง
ผลึกหินเหล่านี้ดูคล้ายหินจิตวิญญาณ แต่ดูขุ่นกว่าปกติ ทั้งยังไม่สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอพลังของมัน
หลิ่วหมิงส่ายศีรษะ โยนผลึกหินในมือทิ้งไปอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นมือข้างหนึ่งตบลงบนถุงหนังที่อยู่ตรงเอว แสงสีดำม้วนตัวออกมา แมงป่องกระดูกขาวปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางแสงสีเขียวที่ปกคลุม
“ไป!”
หลิ่วหมิงชี้ไปข้างหน้าแล้วตะโกนออกไป
ชั่วพริบตานั้นเองแมงป่องกระดูกขาวก็กระโดดตัวขึ้นแล้วกระโจนหายเข้าไปท่ามกลางเงามืดที่อยู่ด้านหน้า
หลิ่วหมิงลูบห่วงเขี้ยวพยัคฆ์ที่สวมอยู่ แล้วเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
เดินไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ก็มีอุโมงค์ขนาดกว้างสิบกว่าจั้งปรากฏอยู่ด้านหน้า ทางเดินสามสายที่แตกต่างกันต่างก็ดูเหมือนจะทอดลงไปยังด้านล่างที่ลึกลงไป
หลิ่วหมิงเลือกเดินไปยังเส้นทางสายหนึ่งอย่างไม่ลังเล
หนึ่งชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงไม่รู้ว่าตนเองผ่านอุโมงค์ไปกี่แห่ง ทะลุเส้นทางไปแล้วกี่สาย แต่รับรู้ได้ลางๆ ว่าตนเองคงจะอยู่ชั้นใต้ดินลึกๆ แล้ว
แม้แต่ผลึกหินที่เปล่งแสงบนทางเดินทั้งสองข้างก็เริ่มมีน้อยลง บรรยากาศรอบด้านดูสลัวๆ จนทำให้รู้สึกใจเต้นโดยไม่รู้ตัว
ตอนที่หลิ่วหมิงเลี้ยวโค้งออกมาจากปากทางสายหนึ่งนั้น สิ่งของบางอย่างกระโดดขึ้นมาจากพื้นดินบริเวณนั้น แล้วกระโจนมายังด้านหน้าเขา
เสียงดัง “เพล้ง!”
ร่างของหลิ่วหมิงเคลื่อนไหวหลบหลีกฝ่ายตรงข้ามได้ หลังจากที่เขาขยับแขนก็บังเกิดหมัดที่ปกคลุมด้วยแสงสีเหลืองทุบลงไปบนเงาดำนั้นอย่างรุนแรง
เงาดำกระเด็นออกไปกระแทกกับพื้นข้างทางเดินทันที และมีเสียงแตกกระจายดังออกมา
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงได้จ้องมองอย่างใจจดใจจ่อ มันคือปีศาจกระดูกที่ยาวไม่เกินครึ่งฉื่อ ร่างครึ่งหนึ่งของมันถูกหมัดเมื่อครู่ของเขาทุบจนแตกละเอียด แต่ส่วนที่เหลืออยู่ของมันถูกกระตุ้นด้วยมุกสีดำที่ฝังอยู่ในหัวและปล่งประกายอยู่ไม่หยุด มันยังคงพยายามที่จะลุกขึ้นมา
เสียงดัง “ซู่!”
เส้นสีดำกะพริบผ่านไป พริบตาเดียวก็เจาะทะลุหัวเล็กๆ ของปีศาจกระดูก หลังจากที่มันถูกดึงกลับมาอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นภาพเบลอ ร่างที่เหลือของปีศาจกระดูกก็แยกจากกัน
มือข้างหนึ่งของหลิ่วหมิงคว้าไปในกลางอากาศ
หัวเล็กๆ ของปีศาจกระดูกก็ลอยเข้ามา แล้วมือเขาก็คว้าได้ในทันที
นิ้วทั้งห้าแค่ออกแรงเล็กน้อย พลังมหาศาลบางอย่างก็พุ่งออกมาบีบหัวของมันจนแตกละเอียด มุกกลมๆ สีดำที่ฝังอยู่ในนั้นกลิ้งออกมาแล้วตกลงบนมือเขาในทันที
หลิ่วหมิงพินิจดูมุกขนาดใหญ่ไม่เท่าเม็ดถั่วที่อยู่ในมือ เขาคาดว่ามันคงจะนำไปแลกแต้มคุณูปการได้สองแต้ม ทันใดนั้นแมงป่องกระดูกขาวก็พุ่งทะลุขึ้นมาจากพื้น และแหงนหน้ามองลูกดำๆ ในมือของหลิ่วหมิง และยังส่งเสียงร้องเบาๆ
“เจ้าอยากได้ของสิ่งนี้?”
หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่พอคิดไปคิดมาก็โยนมุกในมือให้กับมันไป
แมงป่องกระดูกขาวกระโดดขึ้นมากลางอากาศ มันงับมุกสีดำแล้วกลืนลงไปในท้องทันที จากนั้นก็นอนคว่ำอยู่บนพื้นไม่ขยับเขยื้อน
หลิ่วหมิงสังเกตดูปีศาจตนนี้ครู่หนึ่ง แต่ไม่ค้นพบปกความผิดปกติใดๆ เขาจึงส่ายศีรษะแล้วเดินหน้าไปต่อ
……
สามวันต่อมา
เสียงดัง “ตู้ม!” หัวกระโหลกของปีศาจกระดูกมนุษย์ถูกลูกเปลวไฟลูกหนึ่งระเบิดใส่จนแตกกระจายไปทั่วทิศ ในขณะเดียวมุกกลมสีดำขนาดเท่าเม็ดถั่วปากอ้าก็กลิ้งออกมา ร่างไร้หัวสีขาวแกว่งไหวไปมาแล้วกลายเป็นเถ้ากระดูกกองอยู่บนพื้น
เสียงดัง “ซู่!” หลังจากเงาร่างสีเขียวแวบผ่านไป มุกสีดำบนพื้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลิ่วหมิงมองดูแมงป่องกระดูกขาวที่แหงนหน้าและส่งเสียงเคี้ยวดัง “กรอบแกรบ!” แล้วก็อดที่จะทำตาขาวมองบนไม่ได้
นี่เป็นมุกไอแก่นพิภพของปีศาจระดับพลทหาร นำไปแลกแต้มคุณูปการได้อย่างน้อยสามสี่แต้ม แต่กลับยอมให้ปีศาจกระดูกขาวกินเข้าไปเช่นนี้ ในใจเขาย่อมรู้สึกเจ็บปวดเป็นธรรมดา
นี่เป็นปีศาจกระดูกมนุษย์ระดับพลทหารที่หลายวันมานี้เขาเพิ่งจะพบเจอ ซึ่งไม่เหมือนกับปีศาจกระดูกกระต่าย ปีศาจกระดูกหนู ซึ่งเป็นปีศาจกระดูกขนาดเล็กที่เขาพบก่อนหน้านั้น
แต่ตั้งแต่เขาค้นพบว่าไอสีเขียวบนร่างของแมงป่องกระดูกขาวที่กลืนกินมุกไอแก่นพิภพเข้าไปเจ็ดแปดเม็ดนั้น เข้มข้นกว่าเมื่อก่อนมาก เขาก็ไม่คิดที่คัดค้านท่าทีการแย่งชิงมุกไอแก่นพิภพของแมงป่องกระดูกขาวตัวนี้อีก
ตอนที่แมงป่องกระดูกขาวกินมุกสีดำเสร็จแล้ว ก็หันหลังกลับไปใช้ก้ามดึงกระดูกชิ้นเล็กๆ ยาวหลายชุ่น และดูโปร่งแสงกว่าปกติชิ้นหนึ่งออกมาจากกองเถ้ากระดูก
สีหน้าของหลิ่วหมิงเปลี่ยนไป เขารีบเดินหน้าไปแย่งกระดูกชิ้นเล็กทันที หลังจากที่พินิจอย่างละเอียดก็ดูออกว่ามันคืออะไร และเขาก็ยิ้มพูดกับตัวเองขึ้นมา
“ที่แท้ก็คือกระดูกจิตวิญญาณ น่าเสียดายที่ดูเหมือนจะมีอายุแค่สิบปีเท่านั้น แต่มันก็แลกหินจิตวิญญาณได้ร้อยกว่าก้อน”
……………………………………….