ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 844 ปะการังวิญญาณโลหิตกับโอสถหยกพิสุทธิ์
ตอนที่ 844 ปะการังวิญญาณโลหิตกับโอสถหยกพิสุทธิ์
“หากในหมู่ทายาทรุ่นหลังของตระกูลอินมีสักคนสองคนที่มีแวว โอกาสนี้ข้าย่อมเก็บเอาไว้ แต่พวกเขาไม่เอาไหน จนถึงตอนนี้กระทั่งพลังทะลวงถึงระดับผลึกก็ไม่มีเลยสักคน โอกาสนี้เก็บไว้ก็มีแต่เสียเปล่าเท่านั้น ถึงขนาดที่หากเวลาเนิ่นนานไป ข้าก็ไม่แน่ใจว่ามิตรภาพนี้ยังจะใช้ประโยชน์ได้อีกไหม” อินจิ่วหลิงแค่นเสียงหยันแล้วเอ่ยขึ้นนิ่งๆ
“ท่านผู้ควบคุมยอดเขาเห็นค่าหลิ่วหมิงผู้นี้เช่นนี้เชียว? แม้พลังของเขาไม่เลว แต่อย่างไรก็มีเพียงสามชีพจร เกรงว่าความหวังที่จะเข้าสู่ระดับแก่นแท้คงไม่ถึงหนึ่งในหมื่นกระมัง มอบโอกาสใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ครั้งสุดท้ายแก่เขา น่าเสียดายเกินไปหรือเปล่า?” ผู้อาวุโสเถียนถอนหายใจเอ่ยขึ้น
“ตอนที่หลิ่วหมิงผู้นี้มายังนิกายยอดบริสุทธิ์ หลูจิ้งเยว่แห่งยอดเขาลั่วโยวก็คล้ายจะคิดเช่นนี้กระมัง ไม่รู้จริงๆ ว่าผู้ควบคุมยอดเขาหลูหลังได้ยินข่าวงานประตูสวรรค์ครั้งนี้ในใจรู้สึกอย่างไร?” อินจิ่วหลิงเวลานี้กลับไม่ได้ตอบคำถามของเขาตรงๆ ตรงกันข้ามรำพึงออกมาประโยคหนึ่งคล้ายเจตนาแต่ก็ไม่เจตนา
ผู้อาวุโสเถียนได้ยินก็อึ้ง เงียบงันไม่พูดจาในทันใด
“เข้าสู่ระดับแก่นแท้ พรสวรรค์ โชค สติปัญญาสักอย่างก็ขาดไม่ได้ หลิ่วหมิงผู้นี้ในด้านพรสวรรค์อาจด้อยไปบ้าง แต่ด้านอื่นกระทั่งข้าผู้เป็นอาจารย์คนนี้ก็มองไม่ขาด แต่ข้าไม่เคยเสียใจที่รับเขาเป็นศิษย์สายตรง” อินจิ่วหลิงยิ้มน้อยๆ เอ่ยต่อ
“ในเมื่อศิษย์พี่มั่นใจเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นก็ดูกันว่าหลิ่วหมิงผู้นี้ครั้งนี้จะเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนได้หรือไม่” หลังผู้อาวุโสเถียนเงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นช้าๆ
อินจิ่วหลิงได้ยินก็ยิ้ม นิ้วมือจิ้มพนักพิงของเก้าอี้เบาๆ สายตาสงบนิ่งดุจสายน้ำ ไม่รู้ขบคิดสิ่งใดอยู่
หลิ่วหมิงย่อมไม่รับรู้บทสนทนาที่วิหารหลักของยอดเขาลั่วโยว เวลานั้นเขาไม่ได้กลับไปยังถ้ำที่พัก แต่ตรงไปยังวิหารส่งตัวของนิกาย
หนึ่งชั่วยามให้หลังเขาก็ปรากฏตัวในตลาดขนาดใหญ่แห่งหนึ่งใกล้ๆ เทือกเขาหมื่นวิญญาณ
หลังได้ข่าวดีเกี่ยวกับกำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ของตระกูลโอวหยางจากอินจิ่วหลิง เขาก็วางแผนการคร่าวๆ สำหรับการฝึกฝนต่อไปเรียบร้อยแล้ว
ตอนนี้ภารกิจหลักของเขาก็คือฝึกฝนจนไปถึงจุดสูงสุดของระดับผลึกขั้นปลายให้เร็วที่สุด เช่นนี้ถึงจะทะลวงสู่ระดับแก่นเสมือนได้
จะบรรลุเป้าหมายนี้ เขาจำต้องเก็บตัวตรากตรำฝึกฝนช่วงระยะเวลาหนึ่งโดยที่ใจไม่วอกแวก แต่ก่อนหน้านั้นต้องจัดการของที่ไม่ได้ใช้จำนวนหนึ่งที่ตัวเสีย
ของเหล่านี้ล้วนเป็นของที่หลิ่วหมิงได้มาจากผู้ฝึกฝนที่สังหารไปในแดนลึกลับประตูสวรรค์และจากประมุขน้อยกับผู้อาวุโสจากนิกายหยกทอง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นอาวุธจิตวิญญาณ ต้นแบบอาวุธเวทโอสถกับหินแร่หญ้าจิตวิญญาณที่ไม่ได้ใช้จำนวนหนึ่ง
เจ็ดวันให้หลังหลิ่วหมิงปลอมตัวเป็นชายฉกรรจ์หน้าดำคนหนึ่งเดินอาดๆ ออกมาจากตลาดขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่ง
เขาในตอนนี้ นอกจากทรายธารดาราถุงนั้น ของที่เหลือแทบจะกำจัดไปเกลี้ยงแล้ว แลกหินจิตวิญญาณมาได้จำนวนมหาศาล
หินจิตวิญญาณจำนวนนี้ สำหรับตระกูลผู้ฝึกฝนระดับกลางบางแห่งแม้จะเป็นจำนวนเงินก้อนโตก้อนหนึ่ง แต่หลิ่วหมิงไม่ได้ใส่ใจนัก
ยามปกติโอสถที่เขาใช้โดยทั่วไปก็ทำเองใช้เอง เมื่อเทียบกันแล้วเรื่องที่ต้องใช้หินจิตวิญญาณจึงน้อยกว่าอยู่บ้าง อีกประการหนึ่งเนื่องจากมีฟองอากาศลึกลับไล่เอาชีวิตอยู่เบื้องหลังเขาจึงไม่มีกะจิตกะใจขบคิดเรื่องหินจิตวิญญาณแม้แต่น้อย…
นอกเหนือจากนี้สิ่งอื่นที่หลิ่วหมิงได้มาก็ไม่น้อย ในร้านหลอมอาวุธที่ไม่สะดุดตาร้านหนึ่งในตลาดแห่งนี้เขาโชคดีอย่างที่สุดหากระดองเต่าลู่อู๋ชิ้นน้อยชิ้นหนึ่งพบ
เทียบกับกระดองชิ้นนั้นที่ประมุขน้อยแห่งนิกายหยกทองรวบรวมมาได้ ชิ้นนี้รูปร่างลักษณะด้อยกว่าไม่น้อย ขนาดก็เล็กกว่าอยู่บ้าง หากหลอมโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์ประสิทธิภาพคงด้อยกว่าอยู่บ้างเช่นกัน
ถึงจะเป็นเช่นนี้เขาก็ซื้อมันมาด้วยหินจิตวิญญาณห้าล้านก้อนอย่างไม่ลังเลสักนิด หลังจากนั้นจึงรวบรวมวัตถุดิบอื่นๆ สำหรับปรุงโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์อีกจำนวนหนึ่ง
เมื่อกลับไปถึงยอดเขาลั่วโยว หลิ่วหมิงแวะไปคารวะอินจิ่วหลิงแล้วกลับไปยังถ้ำที่พัก ปิดประตูใหญ่สนิท
ยังฝึกฝนไม่ถึงจุดสูงสุดของระดับผลึก เขาไม่คิดออกจากถ้ำที่พักง่ายๆ อีก
เวลาผ่านไปทีละเล็กทีละน้อย
ศิษย์สายในทั้งหลายแห่งยอดเขาลั่วโยวค้นพบว่าถ้ำของหลิ่วหมิงปิดแน่นสนิทอีกครั้งไม่รู้เริ่มตั้งแต่เมื่อไร กระทั่งชั้นจำกัดปกป้องถ้ำที่พักก็เปิดทั้งหมด
ยันต์ถ่ายทอดเสียงที่ส่งเข้ามาในถ้ำที่พักก็ไม่ได้ตอบ นี่ทำให้คนมากมายที่ชื่นชมชื่อเสียงเดินทางมาเยี่ยมเยือนอดไม่ได้ผิดหวังอย่างยิ่ง
คนที่ข่าวสารฉับไว ย่อมสืบได้ว่าหลิ่วหมิงเริ่มเก็บตัวตรากตรำฝึกฝนอีกแล้ว
จะว่าไปแล้วหลิ่วหมิงเข้ามาในยอดเขาลั่วโยวได้ยี่สิบสามสิบปี แต่เขาไม่สนิทกับศิษย์ยอดเขาลั่วโยวทั้งหลายเลย ถ้ำที่พักมักจะอยู่ในสภาพปิดสนิทเสมอ ไม่ออกเดินทางฝึกปรือฝีมือก็เก็บตัวตรากตรำฝึกฝน
ศิษย์มากมายของยอดเขาลั่วโยวนอกจากนับถือหลิ่วหมิง ก็รู้สึกว่าเข้ากับเขาไม่ได้อย่างไร้สาเหตุ นี่ก็คือสาเหตุที่หลิ่วหมิงมีสหายที่คบหาไม่กี่คน
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ภายในนิกายยอดบริสุทธิ์ฟื้นกลับมาสงบดังก่อนหน้าอีกครั้ง ข่าวลือเกี่ยวกับหลิ่วหมิงค่อยๆ จางหายไปจากสายตาของศิษย์สายในทั้งหลาย
อย่างไรเสียในนิกายยอดบริสุทธิ์นิกายใหญ่ระดับนี้ทุกปีล้วนไม่ขาดแคลนเรื่องที่ดึงดูดสายตาของผู้คน
เวลาสิบปีพริบตาก็ผ่านไป
วันนี้ประตูใหญ่ของห้องลับในถ้ำที่พักของหลิ่วหมิงก็เปิดออกดังปัง บุรุษชุดน้ำเงินคนหนึ่งก้าวออกมาช้าๆ
เทียบกับก่อนหน้าเก็บตัว ร่างกายของหลิ่วหมิงสูงขึ้นครึ่งศีรษะอย่างเห็นได้ชัด โครงร่างก็แลดูผอมเพรียวขึ้นอยู่บ้าง ชุดยาวที่สวมก็แลดูหลวมขึ้นบ้าง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่ได้เห็นแสงตะวันมานานปีหรือก่อนหน้านี้เสียอายุขัยไปหลายสิบปี เวลานี้ผิวหนังของเขาจึงดูซีดขาวเล็กน้อย ตรงกลางคิ้วคล้ายมีร่องรอยของวันเวลาเพิ่มขึ้นมานิดหน่อย แต่สองแขนเรียวยาวขาวผ่องประหนึ่งหยกขาวทำให้คนรู้สึกว่าแข็งแกร่งอย่างที่สุด
แน่นอนหากใช้จิตสัมผัสสำรวจในร่างหลิ่วหมิงก็จะพบว่ากระดูกในร่างเขาหนากว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อย แม้เป็นกระดูกชิ้นเรียวเล็กที่สุดก็แวววาวประหนึ่งโลหะ
ที่เกิดผลประการนี้ได้ย่อมเพราะสิบปีนี้เขากินโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์ไปไม่น้อย
โอสถนี้ไม่เสียทีเป็นโอสถระดับสูงของการชุบหลอมร่างกาย พละกำลังกายเนื้อเวลานี้ของหลิ่วหมิงเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน แทบจะเป็นการเปลี่ยนแปลงราวกับผลัดกระดูกเกิดใหม่
หลิ่วหมิงถึงขั้นรู้สึกว่าตอนนี้อาศัยเพียงพลังกายเนื้ออย่างเดียวก็สู้กับตนเองก่อนหน้านี้ได้อย่างไม่เป็นรอง
กระดองของเต่าลู่อู๋สองชิ้นทำให้เขาปรุงโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์ออกมาได้สิบกว่าเม็ด หลังกินอย่างต่อเนื่องตอนนี้โอสถนี้ไม่ค่อยได้ผลกับเขามากนักแล้ว
หลิ่วหมิงขยับมือเท้าพักหนึ่ง ร่างกายส่งเสียงเปรี๊ยะแผ่วเบาดังขึ้นสองสามหน หลังจากนั้นจึงยกมือขึ้น งอนิ้วดีดหนึ่งครั้งโดยไม่ได้กระตุ้นพลังเวทใดๆ
ฟุบ!
เสียงแผ่วเบาดังขึ้น ปราณที่ตาเปล่ามองเห็นก้อนหนึ่งดีดออกมาโจมตีบนผนังหินของถ้ำที่พัก กรีดเป็นรอยตื้นๆ รอยหนึ่ง
“ไม่เลว”
สายตาของหลิ่วหมิงกวาดผ่านบนผนังหินแล้วเอ่ยพึมพำกับตนเอง จากนั้นเขาก็คิดบางอย่างขึ้นได้ รอบร่างปราณดำสายหนึ่งผุดออกมาทันที มันไหลเคลื่อนรอบกายไม่หยุด แม้มองดูแล้วบางเบา แต่ความจริงมืดดำเข้มทึบประหนึ่งของเหลว
สิบปีนี้เขากินโอสถปริมาณมากเป็นตัวช่วย ในที่สุดก็ฝึกฝนถึงจุดสูงสุดของระดับผลึกแล้ว
หรือกล่าวได้อีกอย่างว่าเขาเริ่มทะลวงระดับแก่นเสมือนได้แล้ว!
“นายท่าน!”
เงาที่ล้อมด้วยปราณดำสองร่างพุ่งออกมาจากด้านนอก เมื่อปราณดำดับลงก็เผยสตรีสะสวยสวมชุดตาข่ายดำคนหนึ่งกับเด็กน้อยชุดเขียวที่ส่ายหัวไปมาคนหนึ่ง
เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์นั่นเอง
สายตาของหลิ่วหมิงกวาดผ่านบนร่างทั้งสองครั้งหนึ่ง บนใบหน้าก็เผยสีหน้ายินดีเล็กน้อย
จากการที่เขามอบโอสถให้อย่างไม่เสียดาย และในสิบปีนี้เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์ก็ทุ่มเทตรากตรำฝึกฝนอยู่ตลอด พลังเวทจึงก้าวหน้ากว่าสิบปีก่อนมากเช่นกัน
“พวกเจ้าสองตัวอยู่ในถ้ำที่พักหลายปีเช่นนี้คงเบื่อหน่ายอยู่บ้างแล้วกระมัง” หลิ่วหมิงยื่นมือมาลูบศีรษะของเซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์เบาๆ แล้วเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน
“ไม่เจ้าค่ะ ขอเพียงอยู่กับนายท่าน นานอีกเท่าใดก็ไม่เบื่อ” สีหน้าของเซียเอ๋อร์แดงเรื่อ นางก้มศีรษะเอ่ยขึ้นมา
“ใช่แล้ว ขอเพียงอยู่กับนายท่าน ที่ใดล้วนไม่สำคัญ”
เด็กน้อยส่ายศีรษะไปมาแล้วเอ่ยขึ้นบ้างจากนั้นก็ทรุดลงนั่ง
หลิ่วหมิงหัวเราะฮ่าๆ พลางตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณที่ข้างเอวเก็บอสูรเลี้ยงทั้งสองตัวเข้าไป จากนั้นจึงก้าวยาวเดินออกไปจากถ้ำที่พัก
หนึ่งเค่อให้หลังเขาก็ยืนอยู่ในวิหารหลักของยอดเขาลั่วโยว
ในวิหารหลักเวลานี้ยังคงมีเพียงเขากับอินจิ่วหลิงสองคน
อินจิ่วหลิงมองสำรวจหลิ่วหมิงหลายที สีหน้าคล้ายไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง
ครู่หนึ่งเขาถึงละสายตาไปแล้วเอ่ยปากขึ้นช้าๆ
“เจ้าใช้เวลาสิบปีก็ฝึกฝนจนถึงจุดสูงสุดของระดับผลึกได้? แล้วปราณบนร่างเจ้ายังพิเศษอยู่บ้างอีก คล้ายไม่ใช่เพราะพลังเวทก้าวหน้าเพียงอย่างเดียว…”
“สิบปีนี้ศิษย์เก็บตัวตรากตรำฝึกฝน ไม่กล้าชักช้าสักเพลา ในที่สุดจึงไม่ทรยศความคาดหวังของอาจารย์ พอจะเริ่มทะลวงสู่ระดับแก่นเสมือนได้แล้ว” หลังหลิ่วหมิงค้อมกายก็เอ่ยตอบอย่างคลุมเครือ
“ช่างเถิด เจ้าเคยทำให้ข้าตกตะลึงมามากแล้ว ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็พิสูจน์ว่าข้าไม่ได้มองคนผิด” อินจิ่วหลิงเอ่ยพึมพำกับตนเอง เสียงที่เขาพูดประโยคสุดท้ายเบาอย่างที่สุดคล้ายพูดให้ตนเองฟัง
“ในเมื่อเจ้าฝึกฝนจนถึงระดับนี้แล้ว วันนี้คงจะตั้งใจเริ่มทะลวงสู่ระดับแก่นเสมือนทันทีกระมัง?” สีหน้าของอินจิ่วหลิงฟื้นกลับมานิ่งสงบอย่างรวดเร็วยิ่งแล้วเอ่ยถามขึ้นนิ่งๆ
“อาจารย์ช่างปราดเปรื่อง ศิษย์กำลังคิดเช่นนั้น” หลิ่วหมิงเอ่ยขึ้นเช่นนี้
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี นี่คือสิ่งที่ข้าเคยรับปากเจ้าไว้ ปะการังวิญญาณโลหิตกับโอสถหยกพิสุทธิ์ สมบัติลับสองชิ้นที่เร่งให้เข้าสู่ระดับแก่นเสมือนสำเร็จซึ่งยื่นขอมาจากนิกาย อาจารย์เตรียมไว้ให้เจ้าพร้อมแล้ว แค่คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเร็วเช่นนี้” อินจิ่วหลิงเอ่ยขึ้นแล้วพลิกมือเรียกยันต์เก็บของแผ่นหนึ่งออกมาโยนไป ยันต์เก็บของพลันกลายเป็นลำแสงสายหนึ่งบินไปเบื้องหน้าหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงยกมือข้างหนึ่งขึ้นกวักรับยันต์เก็บของมา จิตสัมผัสกวาดแผ่วเบาทีหนึ่ง ปะการังสีแดงเลือดกิ่งหนึ่งกับโอสถที่ส่องแสงสีเขียวแวววาวเม็ดหนึ่งนอนนิ่งอยู่ในยันต์เก็บของ
ปะการังสีเลือดขนาดเพียงฝ่ามือ เนื้อนุ่มนิ่มประหนึ่งก้อนแป้ง แผ่กลิ่นหอมพิสุทธิ์จางๆ ระลอกแล้วระลอกเล่าออกมา
ส่วนโอสถหยกพิสุทธิ์เม็ดนั้นมีลวดลายโอสถชัดเจนหลายสาย เป็นโอสถระดับสูงเม็ดหนึ่ง มองปราดเดียวก็รู้ว่ามูลค่าไม่ธรรมดา
“ยามใช้ให้วางปะการังวิญญาณโลหิตไว้ในห้องดมกลิ่นของมัน ส่วนโอสถหยกพิสุทธิ์ให้กินล่วงหน้าช่วยสลายผลึกได้” เสียงของอินจิ่วหลิงดังขึ้นช้าๆ
“ขอบคุณอาจารย์ยิ่ง!” หลิ่วหมิงค้อมกายคำนับพร้อมกับที่ในใจรู้สึกอบอุ่นวูบหนึ่ง สองสิ่งนี้ไม่รู้ว่าอินจิ่วหลิงต้องทุ่มเทกำลังไปเท่าไร คงไม่ใช่ได้มาง่ายดายอย่างที่ปากเขาบอกประโยคเดียวว่า ‘ยื่นขอมาจากนิกาย’ แน่นอน
“นอกจากนี้ยังมีป้ายของตระกูลโอวหยางชิ้นนี้ด้วย เจ้าถือมันไปหาผู้อาวุโสโอวหยางอิงแห่งตระกูลโอวหยาง เขาจะจัดการเอง” อินจิ่วหลิงพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นหยิบป้ายคำสั่งสีม่วงขนาดเท่าฝ่ามือแผ่นหนึ่งออกมาโยนให้หลิ่วหมิงอีก