ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 854 เวทีเสวียนหยวน
“ในงานประตูสวรรค์ช่วงสุดท้ายเชี่ยนเอ๋อร์กับน้องฉินได้ร่วมทดสอบบนเส้นทางเดียวกันกับพี่หลิ่ว คนที่ร่วมทางยังมีหลงเซวียนผู้นั้นด้วย พลังของพี่หลิ่วเป็นอย่างไร พวกเราสองคนประจักษ์อยู่กับตา อีกทั้งสัตว์ประหลาดต่างเผ่าหลายตัวนั้นที่ปรากฏตัวออกมากะทันหันตอนสุดท้าย ส่วนใหญ่ก็ถูกพี่หลิ่วสังหาร เรียกได้ว่ามีความชอบใหญ่หลวง ส่วนหลงเซวียนผู้นั้นเหมือนจะถูกขังอยู่ตลอด สุดท้ายทูตวังสวรรค์จึงช่วยเขาออกมา” โอวหยางเชี่ยนส่งสายตาให้โอวหยางฉินด้านข้าง ส่งสัญญาณไม่ให้นางออกปากโต้เถียงอีก หลังจากนี้ให้ตนเอ่ยปากเอง
ชายวันกลางคนชุดม่วงฟังแล้วก็กำลังจะเอ่ยปากโต้ แต่ถูกบุรุษผู้สง่างามยื่นมือขวางไว้ เขาเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่เหมือนไม่ยิ้ม
“ผู้อาวุโสซินกับเชี่ยนเอ๋อร์ คนหนึ่งแนะนำหลงเซวียน คนหนึ่งแนะนำศิษย์หลานหลิ่วให้ทำงานนั้นแทนตระกูลของเรา ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผล ข้าก็ค่อนข้างลำบากใจ เอาเช่นนี้เถิด ไม่สู้ให้ศิษย์หลานหลิ่วกับศิษย์หลานหลงประลองกันต่อหน้าทุกคนสักครั้ง ผู้ใดชนะก็ได้สิทธิใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ เช่นนี้ยุติธรรมที่สุด อย่างไรงานเรื่องนั้นของตระกูลเรา ยิ่งคนนอกที่มาช่วยแข็งแกร่งก็ยิ่งมั่นใจใช่ไหม?”
พี่น้องโอวหยางได้ยินพลันยินดี พวกนางหันศีรษะมามองหลิ่วหมิง ในสายตามีความหวังอย่างยิ่ง
“ในเมื่อหัวหน้าตระกูลโอวหยางเอ่ยเช่นนี้ ข้าน้อยย่อมไม่มีความเห็นอื่น” หลิ่วหมิงครุ่นคิดเล็กน้อยก็ตอบรับ
เรื่องดำเนินมาถึงจุดนี้ก็ไม่เหนือความคาดหมายของเขานัก
แม้ได้ยินโอวหยางเชี่ยนเล่าว่าหลงเซวียนผู้นั้นฝึกฝนวิชาลับอันร้ายกาจวิชาหนึ่งสำเร็จ แต่ด้วยพลังของหลิ่วหมิงวันนี้ หากลงมือเต็มกำลัง ไม่ต้องพูดถึงระดับผลึก ต่อให้เป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นปลายเขาก็สู้ชนะได้
“หัวหน้าตระกูลทำเช่นนี้ไม่เหมาะกระมัง อย่างไรการตัดสินใจก่อนหน้านี้ก็เป็นการตัดสินใจของสภาผู้อาวุโส” โอวหยางซินสีหน้าย่ำแย่ทันที เขาหมุนตัวไปค้อมกายเอ่ยกับบุรุษผู้สง่างาม
“ผู้อาวุโสซิน แม้สภาผผู้อาวุโสจะมีอำนาจไม่น้อย แต่ตามกฎตระกูล หัวหน้าตระกูลมีสิทธิตั้งข้อสงสัย นอกจากนี้การตัดสินใจร่วมมือกับนิกายปีศาจลี้ลับเมื่อครั้งก่อนเหมือนจะเป็นการกระทำช่วงที่ข้าไม่อยู่ที่ตระกูลพอดี ข้าตัดสินใจแล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องพูดอีก หากยังมีผู้อาวุโสท่านใดไม่ยอมรับก็มาหาข้าได้ ส่วนเวลาประลองกำหนดไว้วันพรุ่งนี้แล้วกัน” บุรุษผู้สง่างามได้ยินก็หัวเราะหึๆ ตอบกลับ
“ไม่กล้า! ในเมื่อหัวหน้าตระกูลตัดสินใจแล้ว หลงเซวียนด้านนั้นข้าจะไปคนไปแจ้งเอง หวังว่าศิษย์หลานหลิ่วผู้นี้ถึงเวลาจะไม่ทำให้คนผิดหวัง ข้าขอตัวก่อน” หลังโอวหยางซินสีหน้าเปลี่ยนไปมาอีกหลายครั้ง สุดท้ายก็ตอบรับโดยที่หน้ายิ้มแต่ดวงตาไม่ยิ้ม หลังจากนั้นเขาจึงประสานมือให้บุรุษผู้สง่างามแล้วก้าวยาวเดินออกไป
“ศิษย์หลานหลิ่วอย่าได้ถือโทษ ผู้อาวุโสซินก็อารมณ์ร้อนเช่นนี้” บุรุษผู้สง่างามพยักหน้าให้หลิ่วหมิงเล็กน้อยแล้วพูดเหมือนจนปัญญาอยู่บ้าง
“ไม่เป็นไรขอรับ ครั้งนี้ผู้เยาว์ก็มาเยือนกะทันหันไปบ้าง” หลิ่วหมิงยิ้มตอบอย่างไม่แสดงท่าที บนใบหน้าไม่มีความผิดปกติสักนิด
“เชี่ยนเอ๋อร์ เจ้าพาศิษย์หลานหลิ่วไปพักผ่อนอย่าได้ชักช้า วันพรุ่งนี้เที่ยงก็พาเขาไปประลองที่เวทีเสวียนหยวนด้วย” บุรุษผู้สง่างามมองหลิ่วหมิงนิ่งนาน จากนั้นหันไปกำชับโอวหยางเชี่ยน
“หัวหน้าตระกูลโปรดวางใจ เชี่ยนเอ๋อร์กับพี่หลิ่วรู้จักกันมาแต่เก่าก่อน ข้าย่อมจัดการให้เหมาะสมแน่นอน” โอวหยางเชี่ยนแย้มรอยยิ้มรีบก้าวเข้าไปรับคำ
หลังหลิ่วหมิงค้อมกายคำนับบุรุษผู้สง่างามอีกครั้งก็ออกจากห้องโถงใหญ่ไปพร้อมพี่น้องโอวหยาง
หลังคนทั้งหมดออกไปแล้ว ในห้องโถงใหญ่ก็เงียบสนิท
บุรุษผู้สง่างามนั่งอยู่บนที่นั่งประธาน มือข้างหนึ่งลูบพนักเก้าอี้แผ่วเบา สายตาเปล่งประกายวูบหนึ่งราวกับว่ากำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่
เวลานี้เองเงาคนร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบ คนชุดม่วงผู้หนึ่งจู่ๆ ก็ปรากฏตัวข้างกายบุรุษผู้สง่างาม
คนผู้นี้บนคางและแก้มมีหนวดเคราสีดำดกเฟิ้ม ร่างกายสวมชุดยาวที่เหมือนโอวหยางซิน ดูจากการแต่งกายน่าจะเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลโอวหยางเช่นกัน
หัวหน้าตระกูลโอวหยางไม่มีสีหน้าตกใจกับการปรากฏตัวของบุรุษเคราเฟิ้มผู้นี้ เขาเพียงพยักหน้าเล็กน้อยเอ่ยว่า
“บทสนทนาเมื่อครู่ เจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม?”
“ขอบคุณหัวหน้าตระกูลยิ่ง!” บุรุษเคราเฟิ้มค้อมกายทีหนึ่งแล้วเอ่ยประโยคไม่มีต้นไม่มีปลายประโยคหนึ่งออกมา เสียงราวกับระฆังดังกังวาน
“แค่การใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ครั้งเดียวเท่านั้น ผู้อาวุโสอิงไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ แต่ให้คนนอกใช้ของศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลอย่างไรก็ไม่ดี จะทำให้เกิดความขัดแย้งในตระกูลได้ง่าย เรื่องนี้อย่าได้มีเป็นครั้งที่สอง” หัวหน้าตระกูลโอวหยางโบกมือเอ่ยนิ่งๆ
“ผู้น้อยเข้าใจแล้ว!” บุรุษเคราเฟิ้มสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม เสียงเบาลงอย่างห้ามไม่ได้
“ท่านคิดว่าหลิ่วหมิงคนนี้เป็นอย่างไร พูดให้ถึงที่สุดแล้วหลงเซวียนก็เป็นศิษย์ที่โดดเด่นในรุ่นนี้ของนิกายปีศาจลี้ลับ พลังย่อมไม่อาจดูแคลนได้” หัวหน้าตระกูลโอวหยางทอดเสียงอ้อยอิ่ง เอ่ยเปลี่ยนประเด็น
“แม้ข้าไม่เคยพบหลงเซวียน แต่เมื่อครู่นอกห้องโถงหลิ่วหมิงผู้นี้รับมือ ‘แทงวิญญาณสังหาร’ ขั้นปลายของผู้อาวุโสซินได้อย่างสบายๆ ด้านอื่นยังไม่ต้องพูดถึง แค่ด้านพลังจิตอย่างเดียวก็บรรลุถึงระดับเดียวกับผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้แล้ว ดูท่าอินจิ่วหลิงจะรับศิษย์ดีๆ มาคนหนึ่ง” บุรุษเคราเฟิ้มเอ่ยอย่างค่อนข้างชื่นชม
“เช่นนี้การประลองของทั้งสองคนคงจะมีอะไรให้ดูอยู่บ้าง ถ้าเช่นนั้นทุกสิ่งก็ตัดสินจากการประลองเถอะ อย่างไรก็เกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ของตระกูล พูดให้ถึงที่สุดพลังแข็งแกร่งขึ้นอย่างไรก็เป็นเรื่องดี ผู้อาวุโสอิงเข้าใจเจตนาของข้าใช่ไหม?” หัวหน้าตระกูลโอวหยางเอ่ยเช่นนี้แล้วสายตาก็มองบุรุษเคราเฟิ้มตรงหน้าอีกครั้ง
“ข้าเข้าใจ ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่หัวหน้าตระกูลตัดสิน” บุรุษเคราเฟิ้มประสานมือเอ่ย
หัวหน้าตระกูลโอวหยางพยักหน้าแล้วครุ่นคิดเงียบไปอีกครั้ง
“ถูกแล้ว หัวหน้าตระกูล แม่นางน้อยแซ่ซาผู้นั้น…หรือจะเป็นทายาทของโอวหยางหมิงจริงๆ” ทันใดนั้นบุรุษเคราเฟิ้มก็สายตาเป็นประกาย ถามอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมา
“ดูหน้าตาท่าทางของนางก็มีเค้าของโอวหยางหมิงเมื่อตอนนั้นอยู่ลางๆ คิดว่าน่าจะเป็นสายเลือดที่เขาเหลือไว้อย่างไม่ต้องสงสัย” บุรุษผู้สง่างามดวงตาเข้มขึ้นในทันใด ชั่วครู่ให้หลังถึงเอ่ยตอบ
“น่าเสียดายจริงแท้ ด้วยพรสวรรค์ของโอวหยางหมิง หากยามนั้นไม่เกิดเรื่องนั้นขึ้น เวลานี้…” บุรุษเคราเฟิ้มเอ่ยด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเสียดาย
“เรื่องเกี่ยวกับโอวหยางหมิง สภาผู้อาวุโสตัดสินเด็ดขาดไปแล้ว อย่าวิจารณ์ส่งเดชจะดีกว่า” หัวหน้าตระกูลโอวหยางถอนหายใจจากนั้นยื่นมือขัดคำพูดของบุรุษหนวดเฟิ้ม
“ขอรับ!” บุรุษหนวดเฟิ้มเอ่ยตอบเสียงเบา
……
อีกด้านหนึ่งหลิ่วหมิงย้อนกลับมายังหอต้อนรับแขกพร้อมกับสองพี่น้องโอวหยาง หลังบอกลาสตรีทั้งสองนาง เขาก็เดินเข้าไปในห้องทำสมาธิทันที
เยี่ยเฮ่าเห็นหลิ่วหมิงสีหน้าเคร่งขรึมก็รู้ความไม่รบกวน เขาเป็นเด็กดีนั่งอยู่บนเตียงขณะที่ปากท่องเคล็ดวิชาหลายประโยคอย่างเงียบๆ พวกนี้คือเคล็ดวิชาการโคจรปราณขั้นพื้นฐานที่สุดซึ่งหลิ่วหมิงให้เขาท่องหลายวันนี้
หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น เขาหลับตาสองข้างลงแล้วครุ่นคิดสิ่งที่ได้เห็นและได้ยินมาวันนี้ในสมองอย่างละเอียด
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร เขาจึงถอนหายใจแผ่วเบา ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นอีกครั้ง
การมาเยือนตระกูลโอวหยางครั้งนี้ แม้เกิดเรื่องไม่คาดฝันไม่น้อย แต่ในที่สุดเรื่องกำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ก็นับว่ามีความหวังอยู่บ้างแล้ว
ดูท่ากุญแจสำคัญคงเป็นศึกกับหลงเซวียนวันพรุ่งนี้ ขอเพียงเขาล้มศิษย์ของนิกายปีศาจลี้ลับผู้นี้ได้ด้วยมือตน เขาที่มีนิกายบริสุทธิ์อยู่เบื้องหลังย่อมไม่กลัวอีกฝ่ายกลับคำกับเขาอีก
ส่วนที่ต้องรับปากช่วยงานตระกูลโอวหยางเรื่องหนึ่ง เทียบกับเรื่องที่เขาต้องทะลวงคอขวดเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนให้ได้เร็วที่สุด นั่นย่อมเป็นเรื่องรอง
ประกายประหลาดแล่นผ่านในดวงตาหลิ่วหมิงไป หลังครุ่นคิดพักหนึ่งเขาก็เริ่มโคจรปราณอย่างจริงจัง เก็บสะสมแรงไว้
ในเวลาเดียวกันนี้ในห้องลับของหอหลังหนึ่งบนยอดเขาอันงดงามที่ตั้งโดดเดี่ยวลูกหนึ่งของเทือกเขาหยกฝัน เงาคนสองร่างกำลังนั่งประจันหน้ากันอยู่
คนหนึ่งในนั้นคือบุรุษวัยกลางคนชุดม่วง เขาก็คือผู้อาวุโสโอวหยางซินของตระกูลโอวหยาง ส่วนผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาคือชายหนุ่มชุดดำหน้าตาอัปลักษณ์ ตาเล็กจมูกบี้ผู้หนึ่ง
หากหลิ่วหมิงหรือพี่น้องโอวหยางอยู่ที่นี่จะต้องจำคนผู้นี้ได้ในปราดเดียวแน่นอน เขาก็คือหลงเซวียนแห่งนิกายปีศาจลี้ลับนั่นเอง
ผ่านไปสิบกว่าปี หน้าตาของคนผู้นี้เปลี่ยนไปค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเส้นผมที่กลายเป็นสีเขียวเข้มสะดุดตาอย่างยิ่ง บนเส้นผมประหนึ่งมีดวงไฟสีเขียวดวงแล้วดวงเล่าติดอยู่ แลดูประหลาดอย่างที่สุด
“ฮ่ะๆ คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้อื่นมายืมใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ด้วย แล้วยังเป็นหลิ่วหมิงแห่งนิกายยอดบริสุทธิ์อีก นี่บังเอิญจริงแท้” ในดวงตาหลงเซวียนทอประกายประหลาดแล้วยิ้มเอ่ยขึ้นอย่างน่าขนลุก
“เรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างนิกายท่านกับตระกูลเรา เดิมทีผ่านการยินยอมของสภาผู้อาวุโสแล้ว เรียกได้ว่าสำเร็จลุล่วงอย่างง่ายดาย แต่คิดไม่ถึงว่าช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้ายหลิ่วหมิงผู้นี้กลับยื่นเท้าเข้ามากะทันหัน น่าชังอย่างที่สุดจริงๆ!” โอวหยางซินหรี่สองตาลง จากนั้นถอนหายใจเอ่ยขึ้นมา
“ผู้อาวุโสซินวางใจได้ หากเป็นในงานประตูสวรรค์ครั้งนั้น ข้าอาจหวั่นเกรงหลิ่วหมิงผู้นี้อยู่บ้าง แต่วันนี้น่ะหรือ ฮ่ะๆ การประลองวันพรุ่งนี้ ข้าจะทำให้เขาคุกเข่าขอร้องเอง” หลงเซวียนกลับเอ่ยอย่างมั่นใจในตนเองเป็นที่สุด
เพิ่งเอ่ยจบ ดวงตาของเขาก็ทอประกายเย็นเยียบสีเขียวประหลาดจางๆ ปลายผมคล้ายจะมีเสียงระเบิดดังเปรี๊ยะหลายหนดังขึ้นทันทีจากนั้นก็มีเปลวเพลิงสีเขียวดวงแล้วดวงเล่าปรากฏออกมาเลือนราง ทำให้ใบหน้าที่เดิมทีอัปลักษณ์อย่างยิ่งของเขาแลดูชั่วร้ายขึ้นหลายส่วน
“ในเมื่อศิษย์หลานหลงมั่นใจว่าจะชนะ นั่นย่อมดีที่สุด ขอเพียงวันพรุ่งนี้ล้มหลิ่วหมิงได้ เรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ข้าจะจัดการให้เอง” โอวหยางซินหัวเราะฮ่ะๆ เอ่ยขึ้น
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด แม้ชายวัยกลางคนชุดม่วงจะมั่นใจในตัวหลงเซวียนที่อยู่ตรงหน้าอย่างที่สุด แต่ทุกครั้งที่นึกถึงภาพหลิ่วหมิงรับกระบวนท่าแทงวิญญาณสังหารของเขาก่อนหน้านี้ขึ้นมา ในใจก็รู้สึกไม่มั่นใจไปชั่ววูบ
“ถ้าเช่นนั้นก็ลำบากผุ้อาวุโสซินแล้ว ถึงเวลาของที่นิกายเรารับปากจะให้ผู้อาวุโสย่อมเป็นไปตามนั้น” หลงเซวียนหัวเราะฮ่าๆ แล้วเอ่ยขึ้นบ้าง
ค่ำคืนอันเงียบงัน
วันต่อมายามเที่ยงวัน ณ หุบเขาซึ่งมีทัศนียภาพงดงามแห่งหนึ่งบนเทือกเขาหยกฝัน
ในหุบเขาต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจีราวกับสีจะหยดออกมาได้ บุปผาละลานตาสวยงาม กลิ่นหอมชื่นใจระลอกแล้วระลอกเล่าลอยมาตามสายลม กระต่ายขาวกวางน้อยวิ่งกระโจนไปมาในนั้น บนท้องนภาเสียงสกุณาดังกังวาน เป็นภาพที่ชวนให้คนสุขใจราวกับแดนสวรรค์ที่ตัดขาดจากโลก
ที่แห่งนี้ก็คือหุบเขาอิงเฉ่าหนึ่งในเก้ายอดเขาเก้าหุบเขาอันโด่งดังของเทือกเขาหยกฝัน
ใจกลางของหุบเขามีเวทีราบเรียบรูปสี่เหลี่ยมเวทีหนึ่งตั้งอยู่
เวทีนี้อยู่ห่างจากพื้นหลายจั้ง กินพื้นที่ราบสิบกว่าหมู่ สร้างจากศิลาสีน้ำเงินเข้มชนิดหนึ่ง นี่คือศิลาหยดดำซึ่งเป็นหินแร่โลหะชนิดหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงในด้านความแข็งแกร่งทนทาน แต่ศิลาชนิดนี้ไม่อาจใช้ทำอาวุธจิตวิญญาณหรืออาวุธเวทได้ โดยทั่วไปล้วนใช้สร้างสิ่งก่อสร้าง
สี่ด้านของเวทีมีเสาศิลาสีน้ำเงินเข้มมากมายตั้งอยู่ พวกมันสร้างขึ้นมาจากหินหยดดำเช่นเดียวกัน บนผิวสลักลวดลายจิตวิญญาณสีน้ำเงินไม่น้อยไว้
เวทีแห่งนี้คือสถานที่ซึ่งปกติศิษย์ตระกูลโอวหยางใช้ประลองพลังเวทกัน มันมีชื่อว่าเวทีเสวียนหยวน