ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 857 ผู้อาวุโสชิงเฟิง
หลงเซวียนในเวลานี้ใบหน้าไร้สีเลือด มือข้างหนึ่งกดรอยแผลบนหน้าอกที่เลือดทะลักออกมา ขณะที่หอบหายใจหนักหน่วงจนลุกไม่ขึ้น
“พี่หลง ยังจะประลองอีกไหม?”
หลิ่วหมิงเอ่ยเรียบๆ ประโยคหนึ่งแล้วสะบัดมือ แสงกระบี่สีทองเส้นหนึ่งบินกลับมาอยู่ในมือเขา แล้วโลดเต้นเบาๆ หลายครั้งราวกับสิ่งมีชีวิต
เวลานี้คือการประลอง หากไม่ใช่เพราะกฎที่โอวหยางอิงประกาศไว้ก่อนหน้านี้ หนึ่งกระบี่เมื่อครู่ของเขาคงสะบั้นศีรษะของหลงเซวียนไปนานแล้ว
หลงเซวียนสีหน้าย่ำแย่ สักประโยคก็เอ่ยไม่ออก แต่ร่างกายมหึมาคล้ายลมรั่ว กลับคืนมาขนาดเดิมอย่างรวดเร็ว ลมปราณก็เซื่องซึมลงในพริบตาเช่นกัน
“ข้าขอประกาศว่าการประลองครั้งนี้ หลิ่วหมิงชนะ!”
โอวหยางอิงที่อยู่กลางอากาศประกาศอย่างเด็ดขาดยิ่งนัก ในเวลาเดียวกันนั้นสีหน้าของเขายามมองหลิ่วหมิงก็มีความยินดีพร้อมกับคิดไม่ถึงนิดๆ ด้วย
เห็นชัดว่าการที่หลิ่วหมิงชนะได้อย่างเด็ดขาดในการประลองครั้งนี้เหนือความคาดคิดของเขาอย่างยิ่ง
คำพูดของโอวหยางอิงเพิ่งเอ่ยจบ มือข้างหนึ่งก็สะบัด เคล็ดวิชาสายหนึ่งจมหายไปในเขตแดนบนเวทีประลอง
ผิวของเขตแดนส่องแสงสีน้ำเงินออกมาสองสามหนทันทีจากนั้นก็แตกสลายไปเอง
หลงเซวียนได้ยิน ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความคับแค้น เขามองมาหาหลิ่วหมิงแต่ไม่พูดสักคำ จากนั้นเหาะขึ้นฟ้ากลายเป็นลำแสงสีดำเส้นหนึ่งแหวกท้องนภาจากไป
โอวหยางซินที่ชมการต่อสู้อยู่ด้านข้างใบหน้าเขียวคล้ำ หลังเอ่ยอย่างรีบเร่งกับหัวหน้าตระกูลสองประโยคก็สะบัดแขนเสื้อกลายเป็นแสงสีม่วงสายหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้าไล่ตามไปทางที่หลงเซวียนจากไปด้วย
หัวหน้าตระกูลโอวหยางยิ้มน้อยๆ มองสำรวจหลิ่วหมิงที่ยืนอยู่บนเวทีตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่หยุด
หลิ่วหมิงเวลานี้เก็บกระบี่บินว่างเปล่าเข้าไปในฝักกระบี่แล้ว มือข้างหนึ่งลูบซ่อนมันไว้ ต่อจากนั้นจึงเก็บเคล็ดวิชา เสื้อสะบัดพลิ้วร่อนลงมาจากบนเวทีศิลา ระหว่างที่ร่อนลงมาก็ทยอยเก็บเงาวัวสีน้ำเงินกับเคล็ดวิชาเกราะอสูรไปด้วย
“พี่หลิ่ว ยินดีด้วย!”
โอวหยางเชี่ยนเดินเข้ามารับพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มงดงาม โอวหยางฉินผู้มีสีหน้าเฉยชาเป็นนิจด้านหลังร่างนางก็ก็เผยสีหน้ายินดีอย่างห้ามไม่อยู่ออกมาด้วย
หลงเซวียนพ่ายครั้งนี้ เรื่องงานแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับนิกายปีศาจลี้ลับก็ได้แต่ยกเลิก ทั้งสองคนย่อมไม่ต้องแต่งงานกับหลงเซวียนแห่งนิกายปีศาจลี้ลับผู้นั้นแล้ว
หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ ให้ทั้งสองคน จากนั้นสายตาจึงมองไปบนร่างโอวหยางเจี้ยนชิวที่อยู่ไม่ไกล แล้วค้อมกายคำนับจากไกลๆ
“ฮ่ะๆ ศิษย์หลานหลิ่วพลังแข็งแกร่งเหนือกว่าที่ข้าคิด ไม่เสียทีเป็นอันดับหนึ่งของงานประตูสวรรค์” หัวหน้าตระกูลโอวหยางหัวเราะพลางก้าวเดินเข้ามาช้าๆ
“หัวหน้าตระกูลล้อเล่นแล้ว พลังตื้นเขินเท่านี้ของข้า ตระกูลโอวหยางส่งศิษย์ระดับแก่นแท้ออกมาสักคนก็แข็งแกร่งกว่าข้ามากนัก” หลิ่วหมิงเอ่ยอย่างถ่อมตัว
“ศิษย์หลานถ่อมตัวเกินไปแล้ว เอาล่ะ ถ้อยคำตามมารยาทพูดกันเท่านี้ก็พอ ในเมื่อศิษย์หลานหลิ่วชนะการประลองครั้งนี้ ย่อมได้ใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ของตระกูลเราหนึ่งครั้งตามสัญญา แน่นอนก่อหน้านั้นจะต้องทำสัญญาเวทก่อนว่าหลังเสร็จเรื่องจะรับปากทำงานเรื่องหนึ่งให้ตระกูลโอวหยางเราถึงจะได้” หัวหน้าตระกูลโอวหยางมองโอวหยางอิงที่เพิ่งเหาะเข้ามาแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
“ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่ง!” หลิ่วหมิงฟังแล้วก็ยินดียิ่งนัก รีบประสานมือเอ่ยขอบคุณอีกหน
“เรื่องต่อจากนี้มอบให้ผู้อาวุโสอิงจัดการก็แล้วกัน ต้องทำให้ศิษย์หลานหลิ่วพอใจที่สุด” หัวหน้าตระกูลโอวหยางอมยิ้มกำชับอีกหนึ่งประโยค รอบร่างก็เปล่งแสงสีม่วงบินจากเวทีเสวียนหยวนมุ่งไปนอกหุบเขา
สี่คนที่เหลืออยู่บนเวทีเสวียนหยวนมองส่งหัวหน้าตระกูลแล้วนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง
โอวหยางอิงมองสำรวจหลิ่วหมิงจากหัวจรดเท้าอยู่หลายครั้ง ทันใดนั้นบนหน้าก็เผยรอยยิ้มจางๆ ออกมาแล้วเอ่ยว่า
“ครั้งก่อนที่พบหน้ากับสหายอินคือเมื่อห้าสิบกว่าปีก่อนหน้า เวลานั้นในสังกัดของเขามีเพียงเสี่ยวอู่เป็นศิษย์สายตรงเพียงคนเดียว คิดไม่ถึงว่าไม่กี่สิบปีนี้เจ้าเฒ่าคนนี้จะรับศิษย์ดีๆ เช่นนี้มาอีกคนหนึ่ง!”
“ผู้อาวุโสอิงชมเกินไปแล้ว ยามมาอาจารย์กำชับไว้ว่าให้มาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับผู้อาวุโสอิงแทนเขาด้วย” หลิ่วหมิงรู้ว่าโอวหยางอิงกับอินจิ่วหลิงมีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดา น้ำเสียงที่เอ่ยวาจาจึงนอบน้อมยิ่งนัก
“อินจิ่วหลิงเจ้าเฒ่าคนนี้อยากเตือนข้าว่าอย่าลืมสัญญาเก่าก่อนล่ะสิ!” โอวหยางอิงแค่นเสียงเอ่ยขึ้นประโยคหนึ่ง แต่ในน้ำเสียงไม่มีความชิงชังสักเท่าไร
หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อยแต่ไม่เอ่ยคำใดต่อ
“กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์เตรียมไว้พร้อมนานแล้ว ไม่รู้ว่าศิษย์หลานหลิ่วคิดจะใช้เมื่อใด?” โอวหยางอิงแค่นเสียงจบก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา เอ่ยถามขึ้นมา
“ข้าต้องการเวลาสองวันปรับสภาพจิตใจ สามวันให้หลังเป็นอย่างไร?” หลิ่วหมิงครุ่นคิดครู่หนึ่งก็อ้าปากบอก
แม้เขาไม่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้กับหลงเซวียน แต่ก็เสียพลังเวทพลังกายไปไม่น้อย ก่อนหน้าเข้าสู่ระดับแก่นเสมือน เขาต้องทำให้ตัวเองอยู่ในสภาพที่พร้อมที่สุด
“ก็ดี! สามวันให้หลัง เจ้าตรงไปที่ตำหนักหลิงหลงได้เลย เรื่องอื่นข้าจะช่วยเจ้าจัดการให้เรียบร้อยเอง แต่หลังเสร็จเรื่องไม่ว่าทะลวงเข้าระดับแก่นเสมือนได้หรือไม่ก็ต้องดูโชคชะตาของเจ้าเองแล้ว” โอวหยางอิงพยักหน้า
“เรื่องนี้แน่นอน ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่งที่ใส่ใจ” หลิ่วหมิงเอ่ยขอบคุณซ้ำ
ต่อจากนั้นโอวหยางอิงถามถึงสภาพระยะนี้ของอินจิ่วหลิงอีกหลายประโยคก็ไม่รั้งอยู่ต่อ ล่องลอยจากไปเช่นเดียวกัน
ทันใดนั้นบนเวทีเสวียนหยวนก็เหลือเพียงหลิ่วหมิงกับสองพี่น้องโอวหยาง
“ขอบคุณพี่หลิ่วยิ่งที่เอาชนะหลงเซวียนผู้นั้น ช่วยพวกเราเลี่ยงเคราะห์ไปได้ครั้งหนึ่ง” โอวหยางเชี่ยนตอนนี้ถึงคำนับอย่างอ้อนช้อยให้หลิ่วหมิงครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นอย่างจริงใจยิ่ง
โอวหยางฉินด้านข้างก็มีสีหน้าซาบซึ้งเช่นกัน
“เซียนทั้งสองไม่ต้องเกรงใจ ครั้งนี้ข้าก็แค่ช่วยผู้อื่นเท่ากับช่วยตนเองเท่านั้น” หลิ่วหมิงกลับโบกมือหนหนึ่งแล้วเอ่ยตอบ
“ไม่ว่าอย่างไร พวกเราพี่น้องก็ติดค้างน้ำใจพี่หลิ่วครั้งหนึ่ง วันหน้าหากต้องการให้พวกเราพี่น้องช่วย เชิญเอ่ยปากได้เลย” โอวหยางเชี่ยนเอ่ยอย่างจริงจัง
“ในยันต์เก็บของแผ่นนี้คือค่าตอบแทนที่สัญญาว่าจะให้พี่หลิ่วก่อนหน้านี้” โอวหยางฉินหยิบยันต์เก็บของแผ่นหนึ่งออกมาส่งให้
หลิ่วหมิงเห็นสิ่งนี้ก็ยื่นมือไปรับมาจากนั้นใช้จิตสัมผัสกวาดเล็กน้อย
ในยันต์เก็บของมีของไม่น้อยจริงๆ นอกจากกล่องหยกสีเขียวใบหนึ่งกับอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดสองชิ้น ก็ยังมีหินแร่และหญ้าจิตวิญญาณล้ำค่าระดับสูงอีกจำนวนหนึ่ง รวมถึงหินจิตวิญญาณกองน้อยกองหนึ่ง
ของทั้งหมดรวมเข้าด้วยกันมูลค่าเกือบสิบล้านหินจิตวิญญาณ สำหรับพวกนางที่เป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกสองคน นี่เรียกได้ว่าเสียเลือดกองโตจริงๆ
นอกจากนี้หินแร่และหญ้าจิตวิญญาณเหล่านี้ หลิ่วหมิงดูแล้วค่อนข้างคุ้นตา น่าจะเป็นสิ่งที่สตรีทั้งสองหาพบจากในแดนลึกลับประตูสวรรค์
ของเหล่านี้หลิ่วหมิงไม่ได้เห็นค่าอย่างไร เขาเพียงพลิกมือทีหนึ่งเรียกกล่องหยกสีเขียวใบนั้นออกมา หลังเปิดออกด้านในคือโอสถสีเขียวเข้มขนาดเท่าหัวแม่โป้งเม็ดหนึ่งที่ทอแสงสีเขียวประหนึ่งไอหมอก กลิ่นโอสถหอมชื่นใจ
“สิ่งนี้คือโอสถชำระวิญญาณหรือ?” สองตาหลิ่วหมิงหรี่ลงพลางเอ่ยถาม
“ไม่ผิด นี่คือโอสถที่มีเฉพาะตระกูลโอวหยางของเรา มีพลังในการชำระกลั่นวิญญาณ เพิ่มโอกาสในการเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนราวหนึ่งส่วน” โอวหยางเชี่ยนมองโอสถสีเขียวอย่างปวดใจอยู่บ้างแล้วเอ่ยออกมาเช่นนี้
แม้โอสถชำระวิญญาณจะเป็นโอสถที่มีเฉพาะตระกูลโอวหยาง แต่โอสถนี้ปรุงยากอย่างที่สุด ทั้งตระกูลอย่างมากที่สุดร้อยปีก็ปรุงโอสถออกมาได้สิบกว่าเม็ดเท่านั้น
โอสถชำระวิญญาณเม็ดนี้นางจ่ายไปมากนักถึงได้มา เดิมทีคิดจะเอาไว้กินยามตนเองเข้าสู่ระดับแก่นเสมือน แต่ตอนนี้กลับไปอยู่ในมือหลิ่วหมิงเสียแล้ว
แต่เทียบกับการแต่งงานกับหลงเซวียนแห่งนิกายปีศาจลี้ลับผู้นั้น นี่ย่อมไม่นับเป็นอันใด อย่างไรนางก็ยังอยู่ห่างจากการเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนอีกระยะเวลาหนึ่ง ค่อยหาวิธีเอาเม็ดที่สองมาอีกก็ได้
หลิ่วหมิงมองโอสถในมือหลายครั้งแล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นพลิกมือเก็บเข้าไปในแหวนย่อส่วน
มีโอสถเม็ดนี้ คิดว่าโอกาสที่จะเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนสำเร็จคงเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย
ต่อจากนั้นหลิ่วหมิง โอวหยางเชี่ยนและน้องสาวของนางก็สนทนาสัพเพเหระกันอีกหลายประโยค หลังถามที่ตั้งของตำหนักหลิงหลงเล็กน้อยต่างฝ่ายก็บอกลากัน
จากนั้นเขาก็กลับมาในห้องทำสมาธิของหอต้อนรับแขก ปิดประตูฝึกฝนอย่างเงียบสงบ เตรียมจิตใจและพลังเวทให้อยู่ในสภาพพร้อมที่สุด
เวลาสามวันผ่านไปเพียงพริบตา
ตรงขอบเทือกเขาหยกฝัน มียอดเขาอันงดงามที่ยอดเขาปกคลุมด้วยหิมะขาวพิสุทธิ์ตลอดทั้งปีลูกหนึ่ง เมื่อทอดสายตามองไป ทั้งภูเขาล้วนเป็นต้นซงโบราณสูงเสียดฟ้า ทำให้เขาลูกนี้ประหนึ่งพู่กันหยกสีเขียวหยกที่เชื่อมผืนฟ้าและแผ่นดิน นี่ก็คือยอดเขาหิมะหยกหนึ่งในเก้ายอดเขาเก้าหุบเขาของเทือกเขาหยกฝัน
ใต้ยอดเขามีตำหนักศิลาสีเขียวที่สร้างขึ้นตรงไหล่เขา หน้าตำหนักเวลานี้มีเงาคนสีดำร่างหนึ่งกำลังยืนอยู่ เขาก็คือหลิ่วหมิง
ตำหนักสีเขียวทั้งหลังส่องแสงสีเขียวเรืองๆ ประหนึ่งสลักมาจากหินเขียวก้อนใหญ่มหึมาอย่างยิ่งก้อนหนึ่ง บรรยากาศน่าเกรงขาม!
บนประตูใหญ่ของตำหนักแขวนป้ายแผ่นหนึ่งไว้ บนนั้นเขียนไว้ว่า “ตำหนักหลิงหลง” ด้วยตัวอักษรห้าวหาญทรงพลัง
หลิ่วหมิงยืนอยู่บนบันไดศิลาที่ห่างจากตำหนักหลิงหลงไม่กี่จั้ง เขาแหงนหน้าเล็กน้อยมองตำหนักเบื้องหน้า ในดวงตาฉายแววตาครุ่นคิดอยู่นิดๆ
ตำหนักหลิงหลงแห่งนี้จะว่าไปแล้วก็เป็นหนึ่งในสถานที่ต้องห้ามของตระกูลโอวหยาง แต่ตอนเขามา ด้านนอกกลับไม่มีผู้คุ้มกันสักคน
นี่ทำให้หลิ่วหมิงคิดไม่ถึง แล้วก็ลังเลอยู่บ้างว่าหากบุ่มบ่ามเข้าไปจะเหมาะสมหรือไม่
ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดว่าจะรออยู่ที่นี่สักพักดีหรือไม่ ประตูใหญ่ของตำหนักก็เปิดออกช้าๆ สตรีสาวในชุดบัณฑิตสีน้ำเงินอ่อนผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านใน
“ท่านคือสหายหลิ่วจากนิกายยอดบริสุทธิ์ใช่หรือไม่? ผู้น้อยรับคำสั่งจากผุ้อาวุโสชิงเฟิงมาเชิญสหายเข้าไปด้านใน” สาวน้อยชุดน้ำเงินคำนับหนหนึ่งแล้วเอ่ยถามอย่างมีมารยาทยิ่งนัก
“ข้าก็คือหลิ่วหมิง รบกวนสหายนำทางแล้ว”
หลิ่วหมิงคำนับกลับหนหนึ่ง เขาเพิ่งเคยเห็นศิษย์ตระกูลโอวหยางที่เทือกเขาหยกฝันสวมเสื้อผ้าสีอื่นนอกจากสีม่วงเป็นครั้งแรกจึงอดไม่ได้มองสาวน้อยชุดสีน้ำเงินเพิ่มอีกหลายที
หลังเดินตามสาวน้อยชุดน้ำเงินเข้าไปในตำหนักหลิงหลง เขาก็ค่อนข้างประหลาดใจเมื่อด้านในเป็นเพียงห้องโถงที่แลดูตกแต่งเรียบง่ายยิ่งนักแห่งหนึ่ง นอกจากโต๊ะและเก้าอี้ชุดหนึ่งก็ไม่มีสิ่งอื่นอีก
“สหายหลิ่วโปรดรออยู่ที่นี่สักครู่ ผู้น้อยจะไปเชิญผู้อาวุโสชิงเฟิงออกมา” หลังสาวน้อยชุดน้ำเงินเอ่ยขึ้นประโยคหนึ่งก็หมุนตัวเดินไปยังทางเดินยาวด้านข้างห้องโถงใหญ่
หลิ่วหมิงยักไหล่เดินไปนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง จากนั้นสายตาก็เริ่มมองสำรวจรอบด้านห้องโถงใหญ่
หลังผ่านไปราวหนึ่งเค่อเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น
หลิ่วหมิงรู้สึกตัวก็รีบร้อนลุกขึ้นยืน เมื่อเขาหมุนตัวกลับมา ในห้องโถงก็มีผู้เฒ่าที่สวมชุดสีน้ำเงินแบบเดียวกันผู้หนึ่งเดินเข้ามา
คนผู้นี้รูปร่างผอมแกร็น ใบหน้าซูบผอม เส้นผมหนวดเคราล้วนเป็นสีขาวโพลน ใต้คางไว้เคราแพะ ดูแล้วคล้ายกับผู้เฒ่าธรรมดาคนหนึ่ง
“หลิ่วหมิงจากนิกายยอดบริสุทธิ์คารวะผู้อาวุโส” หลิ่วหมิงมองเพียงปราดเดียวก็รีบค้อมกายคำนับพร้อมกับเอ่ยขึ้น