ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 865 ความลับในอดีต
ซาฉู่เอ๋อร์กับหลิ่วหมิงย่อมตั้งใจฟังทุกสิ่งอย่างละเอียด
ชั่วครู่ให้หลังโอวหยางขุยก็เอ่ยต่อด้วยสีหน้าหวนคะนึง
“นับดูแล้วโอวหยางหมิงก็เป็นลูกพี่ลูกน้องฝั่งบิดาของข้า สายเลือดสายนี้ของพวกเราเดิมทีคิดว่าเขาจะนำพาสายเลือดของพวกเราให้มีพื้นที่ยืนในตระกูลโอวหยาง ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายจะกลายเป็นนำหายนะครั้งใหญ่มาให้”
ซาฉู่เอ๋อร์หยุดหายใจ รู้ว่าต่อจากนี้ผู้เฒ่าชุดเหลืองกำลังจะเล่าจุดสำคัญที่สุดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว
“จากที่ข้ารู้ หนึ่งร้อยกว่าปีก่อนนับจากวันนี้ ยามนั้นโอวหยางหมิงซึ่งพลังเป็นอันดับสามในหมู่ศิษย์แกนนำในหอหลินอิงของตระกูลได้รับคำสั่งจากหัวหน้าตระกูลจึงบุกเข้าไปในหนานฮวงด้วยตัวคนเดียวเพื่อตรวจสอบเรื่องสำคัญมากเรื่องหนึ่ง” ดวงตาผู้เฒ่าชุดเหลืองทอประกายวูบไหวคล้ายกับว่ากำลังนึกย้อนไปยังอดีตวันวาน
“เขาไปสืบเรื่องอันใดในหนานฮวง ข้าก็ไม่รู้ชัด แต่นับจากนั้นเขาก็เงียบหายไร้ข่าวคราว จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อหลายสิบปีก่อน จู่ๆ เขาก็กลับมา นอกจากนี้พลังยังก้าวกระโดดบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์แบบของระดับแก่นแท้ ยามนั้นข้าในฐานะคนตระกูลสายเดียวกับเขายังดีใจยิ่งนัก ตอนนั้นคนในตระกูลมากมายก็ล้วนคิดเช่นนี้ ด้วยพรสวรรค์น่าตะลึงที่โอวหยางหมิงแสดงออกมา เป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะก้าวเข้าสู่ระดับดาราพยากรณ์ได้ หากเลื่อนระดับสำเร็จ แม้ไม่มีหวังเป็นหัวหน้าตระกูลรุ่นต่อไปก็มีหวังกลายเป็นผู้อาวุโสใหญ่คนหนึ่งของตระกูล”
“ยามนั้นหัวหน้าตระกูลทุ่มเททรัพยากรอย่างไม่เสียดายเพื่อให้เขาเลื่อนระดับได้อย่างราบรื่น ให้เขาเข้าไปฝึกฝนในแดนลึกลับสยบมารของตระกูล ที่นั่นเป็นแดนลึกลับพิเศษแห่งหนึ่งที่บรรพบุรุษตระกูลเราสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ฝึกฝนจิตใจและพลังของศิษย์ในตระกูล” ผู้เฒ่าชุดเหลืองถอนหายใจแล้วเล่าช้าๆ
หลิ่วหมิงได้ยินถึงตรงนี้ก็ฉุกคิดขึ้นมา จากที่โอวหยางขุยเล่า แดนลึกลับสยบมารแห่งนี้น่าจะเป็นสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งคล้ายกับทางปีศาจร้ายของนิกายยอดบริสุทธิ์
“แต่สิ่งที่ทำให้คนทั้งหมดคิดไม่ถึงก็คือโอวหยางหมิงไม่ได้เข้าไปด้านในเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ระดับดาราพยากรณ์ ปีที่ห้าหลังจากเขาเข้าไป ไม่รู้เขาใช้วิธีการใดลอบทำลายผนึกสามแห่งของตราประทับเจ็ดดาราสยบมารซึ่งเป็นรากฐานของแดนลึกลับ ทั้งยังดูดซับไอปีศาจแท้จำนวนมากที่เดิมทีสะกดไว้ตราผนึกไป แล้วเริ่มฝึกฝนวิชาของเผ่ามารวิชาหนึ่งซึ่งเป็นวิชาต้องห้ามมาเนิ่นนานบนแผ่นดินจงเทียน ชื่อว่าวิชามารพรหมแปดทิศ” ผู้เฒ่าชุดเหลืองเล่าถึงตรงนี้ สีหน้าก็ค่อยๆ ย่ำแย่
“วิชามารพรหมแปดทิศหรือ? เหตุใดบิดาต้องฝึกวิชาของเผ่ามารชนิดนี้…” ซาฉู่เอ๋อร์ได้ยินก็เบิกสองตาโต หลุดปากออกมา
“เฮ้อ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาทำเช่นนี้เพราะอะไร แต่เรื่องเช่นนี้ย่อมปิดบังตระกูลไม่ได้ หัวหน้าตระกูลโกรธจัด รีบส่งคนเดินทางเข้าไปในแดนลึกลับเพื่อจับตัวโอวหยางหมิง ทว่าวิชามารพรหมแปดทิศเป็นวิชาที่แท้จริงของเผ่ามาร แม้ร้ายกาจอย่างยิ่ง แต่มีเพียงเผ่ามารที่แท้จริงเท่านั้นถึงจะควบคุมได้อย่างแท้จริง ถึงโอวหยางหมิงจะพรสวรรค์ล้ำเลิศแต่ก็ไม่อาจต้านทานไอปีศาจที่เข้าแทรกร่างกายได้ ท้ายที่สุดจึงสูญเสียสติสัมปชัญญะกลายเป็นมนุษย์ปีศาจ แต่คิดไม่ถึงว่าหลังโอวหยางหมิงกลายเป็นมนุษย์ปีศาจ พลังจะเพิ่มขึ้นมาก เขาสังหารคนในตระกูลที่เดินทางไปจับกุมเขาไปมากมาย กระทั่งผู้อาวุโสใหญ่ระดับดาราพยากรณ์ที่นำขบวนไปก็สู้ไม่ได้ บาดเจ็บจากมือเขา” ผู้เฒ่ายิ้มขมขื่น
“กลายร่างเป็นปีศาจ!”
หลิ่วหมิงฟังถึงตรงนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
โอวหยางหมิงเป็นเพียงผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้คนหนึ่ง ต่อให้ฝึกฝนวิชาที่ชื่อวิชามารพรหมแปดทิศนั่นจนพลังเพิ่มขึ้น แต่ทำร้ายผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณณ์จนบาดเจ็บได้ในครั้งเดียวก็เห็นได้ว่าเขากลายร่างเป็นปีศาจไปแล้ว
“สุดท้ายผู้อาวุโสสูงสุดระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ที่กักตนไม่ปรากฏตัวมาหลายปีในตระกูลก็ต้องออกโรง เขาเลิกกักตนเข้าไปในแดนลึกลับเตรียมจะจับโอวหยางหมิงด้วยตนเอง ทว่าเวลานี้เองไม่รู้เหตุใดโอวหยางหมิงผู้นั้นกลับหายตัวไป เล่ากันว่าผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลผู้นั้นพลิกทั้งแดนลึกลับสยบมารค้นหาแต่ก็หาเขาไม่พบ นับจากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีผู้ใดทราบที่อยู่ของเขาอีก” ผู้เฒ่าชุดเหลืองเล่าถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจอีกครั้ง
หลิ่วหมิงฟังถึงตรงนี้ก็ขมวดคิ้วมองซาฉู่เอ๋อร์
แม้เขาจะไม่รู้สาเหตุที่โอวหยางหมิงฝึกฝนวิชามารขึ้นมากะทันหัน แต่ในเมื่อเกิดขึ้นหลังเขากลับมาจากทะเลทรายกุ่ยโม่ ถ้าเช่นนั้นกว่าครึ่งก็น่าจะหนีไม่พ้นเกี่ยวข้องกับขุยตี้แห่งหนานฮวง
“พูดเช่นนี้แสดงว่าผู้อาวุโสก็ไม่ทราบที่อยู่ของบิดาเช่นกัน” ดวงเนตรสุกใสทั้งคู่ของซาฉู่เอ๋อร์หม่นแสงลง สีหน้าก็ย่ำแย่ยิ่งนัก
“ข้าก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดหัวหน้าตระกูลโอวหยางจึงไม่ยินดีพบหน้าแม่นางซา” หลิ่วหมิงผ่อนลมหายใจเบาๆ เอ่ยขึ้นมา
“แน่นอน ตระกูลโอวหยางมีศิษย์ในตระกูลฝึกฝนวิชาของเผ่ามาร นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่จะถูกทั้งแผ่นดินจงเทียนตำหนิ หัวหน้าตระกูลยามนั้นย่อมสั่งให้ปิดเรื่องนี้ไว้แล้วผนึกข้อมูลทุกสิ่งเกี่ยวกับโอวหยางหมิงไปด้วย ส่วนพวกเราคนสายเลือดเดียวกันเหล่านี้ก็ถูกผลกระทบจากเรื่องนี้ไปด้วย คนมากมายถูกเนรเทศไปยังสถานที่ห่างไกล มีเพียงข้าที่สมัยนั้นสร้างความดีความชอบให้แก่ตระกูลอยู่บ้างถึงโชคดีหนีพ้น ได้เร้นกายจากโลกมาอยู่ที่นี่ จะว่าไปแล้วโอวหยางหมิงก็เรียกได้ว่ามีทั้งบุญคุณและความแค้นกับข้า แต่มาถึงตอนนี้ข้าไม่คิดจะสืบสาวเอาความแล้ว ในเมื่อเจ้าเป็นบุตรสาวของเขา เดิมก็ควรแซ่โอวหยาง สมควรเป็นโอวหยางฉู่เอ๋อร์ถึงจะถูก ข้าจะได้เรียกเจ้าว่าหลานฉู่เอ๋อร์สักคำ” ผู้เฒ่าชุดเหลืองถอนหายใจแผ่วเบาพลางมองซาฉู่เอ๋อร์ที่อยู่ตรงหน้า เขาเปลี่ยนประเด็นกะทันหัน เมื่อพูดคำว่าหลานขึ้นมา สายตาก็อ่อนโยนลงตามไปด้วย
“เจ้าค่ะ ผู้อา…ท่านลุง” ซาฉู่เอ๋อร์ลังเลครู่หนึ่งก็เรียกอย่างอึกอัก
ผู้เฒ่าชุดเหลืองฟังแล้ว ใบหน้าชราก็เผยรอยยิ้มจางๆ คล้ายกับคำว่าท่านลุงนี้มีประโยชน์ยิ่งนัก
“หลานฉู่เอ๋อร์ ที่ผ่านมาตระกูลโอวหยางไล่ล่าตามหาที่อยู่ของบิดาเจ้ามาตลอด ครั้งนี้เจ้าเป็นฝ่ายมาหาเองถึงประตู ไม่ใช่การกระทำที่ฉลาดอันใด ลุงขอเตือนเจ้าว่าอย่ารั้งอยู่ที่แห่งนี้นาน รีบกลับหนานฮวงไปเถิด”
ซาฉู่เอ๋อร์ได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“แม่นางซา สิ่งที่ผู้อาวุโสโอวหยางพูดไม่ได้ไร้เหตุผล ในเมื่อบิดาเจ้าหายตัวไปจริงๆ พวกเราก็ขอตัวลาเถิด รอหลังจากนี้มีโอกาสค่อยไปสืบข่าวคราวที่อื่น” หลิ่วหมิงลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยขึ้นพร้อมกับแววตาที่วูบไหวเล็กน้อย
“ท่านลุง ขอบคุณท่านยิ่งนักที่บอกเรื่องราวเกี่ยวกับบิดาให้ข้าฟังมากมายเช่นนี้ วันหน้าหากมีโอกาสหลานจะมาเยี่ยมเยียนคารวะขอบคุณอีกครั้ง!” ซาฉู่เอ๋อร์พยักหน้าแล้วลุกขึ้นยืนด้วย นางคำนับผู้เฒ่าชุดเหลืองจริงจังขณะเอ่ยบอก
“ดี ถ้าเช่นนั้นข้าก็ไม่รั้งพวกเจ้าไว้แล้ว ตระกูลบริหารเมืองหนานหมิงแห่งนี้มานานปี หูตามากมายนัก หลานฉู่เอ๋อร์ต้องระวังให้มาก” ผู้เฒ่าชุดเหลืองประสานมือให้ทั้งสองคนแล้วเอ่ยเช่นนี้
ด้วยเหตุนี้พวกหลิ่วหมิงจึงออกจากห้องโถงใหญ่ไปทันที เตรียมตัวเหาะขึ้นฟ้าไปจากจวน
ทว่าในเวลานี้เองเสียง “บึ๊ม” ดังสนั่นก็ดังขึ้นข้างนอก ท้องนภาที่เดิมทีนิ่งสงบฉับพลันสั่นไหวอย่างรุนแรง ม่านแสงสีน้ำเงินรอบด้านก็เปล่งแสงวูบวาบตามไปด้วย
เสียง “ป้าบ” ดังขึ้นทีหนึ่ง ชั้นจำกัดที่ล้อมป่าแห่งนี้อยู่ก็ถูกฉีกออกดื้อๆ!
ต่อจากนั้นเสียงแหวกอากาศดังฟิ้วๆ ก็ดังขึ้น ลำแสงสีม่วงส่องสว่างสี่สายร่อนลงมากลายเป็นคนที่สวมชุดสีม่วงสี่คน พวกเขาพุ่งวูบเดียวมาขวางอยู่เบื้องหน้าหลิ่วหมิงกับซาฉู่เอ๋อร์
หลิ่วหมิงขยับร่างเล็กน้อยบังซาฉู่เอ๋อร์ไว้หลังร่าง สายตาหรี่ลงกวาดมองคนที่มา
ทั้งสี่คนเหมือนจะมีผู้เฒ่าหนวดเคราสีขาวผู้หนึ่งเป็นหัวหน้า ที่เหลือมีชายฉกรรจ์รูปร่างกำยำคนหนึ่ง บุรุษผอมสูงสีหน้าซีดเซียวคนหนึ่งกับสตรีสาวรูปร่างอ้อนแอ้นอีกคนหนึ่ง
“สหายทั้งสี่มีเจตนาใด เหตุใดจึงขวางพวกเราสองคน?” หลิ่วหมิงเอ่ยขึ้นเรียบๆ เขาไม่ได้เผยสีหน้าตกใจเท่าใดนักกับการปรากฏตัวกะทันหันของทั้งสี่คน
“ท่านคือสหายหลิ่วจากนิกายยอดบริสุทธิ์สินะ พวกเราไม่ได้มาเพราะสหาย สตรีด้านหลังท่านเป็นทายาทของคนทรยศคนหนึ่งของตระกูลโอวหยาง พวกเรารับคำสั่งจากสภาผู้อาวุโสให้มาจับนางกลับไป หวังว่าท่านจะไม่ขัดขวางพวกเรา” ผู้ที่พูดคือผู้เฒ่าผมขาวที่เป็นหัวหน้า
อีกสามคนที่เหลือล้อมเป็นครึ่งวงกลม ปิดตายเส้นทางเบื้องหน้าของพวกหลิ่วหมิงอย่างสิ้นเชิง
“ลูกสาวคนทรยศ”
หลิ่วหมิงกวาดจิตสัมผัส ทันใดนั้นแววตาก็วูบไหวไปเล็กน้อย
ในสี่คนนี้ผู้เฒ่าผมขาวพลังระดับแก่นแท้ขั้นต้น สามคนที่เหลือล้วนเป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นปลายระดับใกล้เคียงกับเขา
“คนตระกูลโอวหยางโผล่ออกมาเร็วเช่นนี้ได้อย่างไร? หรือพวกเขาสะกดรอยตามพวกเรามา?” บนดวงหน้างามของซาฉู่เอ๋อร์เผยความตกตะลึงออกมาเล็กน้อย นางส่งกระแสจิตเอ่ยกับหลิ่วหมิงเหมือนฉุกใจคิดขึ้นได้
“นับตั้งแต่เจ้าปรากฏตัวที่เขาหยกฝัน ตระกูลโอวหยางก็คงส่งคนมาลอบจับตาดูเจ้ามาตลอด พวกเขาไม่ได้จับเจ้าไปทันทีคงเพราะอยากล่อบิดาเจ้าให้ปรากฏตัวกระมัง” หลิ่วหมิงส่งกระแสจิตตอบอย่างนิ่งสงบ สายตามองผ่านทั้งสี่คนฝั่งตรงข้ามแล้วกวาดมองรอบด้านอย่างเร็วไว
“พวกเขาอย่าฝันไปเลย!” ซาฉู่เอ๋อร์ฟังแล้วคิ้วงามพลันขมวดเป็นปม แสงสีขาวส่องสว่างที่มือจากนั้นดาบผลึกยาวเรียวเล่มหนึ่งก็ปรากฏออกมา
กลิ่นอายเย็นเยียบดุดันสายหนึ่งแผ่ออกมา ทั้งสี่คนฝั่งตรงข้ามทำหน้าเหยียดหยัน บนร่างเริ่มมีแสงรัศมีนานาสีสันสว่างขึ้นบ้าง
“พวกเจ้า…” โอวหยางขุยเดินออกมาจากในห้องโถงใหญ่ เมื่อเห็นภาพตรงหน้าสีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปมาไม่หยุดพักหนึ่ง
“โอวหยางขุย เจ้าเปิดเผยความลับของตระกูลกับคนนอกโดยพลการ เรื่องนี้รายงานถึงหัวหน้าตระกูลแล้ว จะลงโทษเจ้าอย่างไร หลังจากนี้ค่อยว่ากัน หากเจ้าอยากปกป้องครอบครัวเจ้าให้ปลอดภัยก็จงว่าง่ายยืนดูอยู่ด้านข้าง” ผู้เฒ่าชุดขาวมองเขาแล้วเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา
“ฮ่ะๆ ข้าอยู่ในสุสานไปครึ่งตัวแล้วยังจะกลัวบทลงโทษอันใดอีก ขอแค่ไม่นำภัยมาให้ครอบครัวก็พอแล้ว” หลังจากโอวหยางขุยสีหน้าเปลี่ยนไปมาหลายครั้งก็ได้แต่มองซาฉู่เอ๋อร์ด้วยแววตาขออภัย จากนั้นเขาก็หมุนตัวย้อนกลับไปในห้องโถงใหญ่ ดูท่าคงไม่คิดจะยุ่งกับเรื่องนี้อีก
“พี่หลิ่ว นี่เป็นเรื่องของข้า ท่านเป็นศิษย์นิกายใหญ่ พวกเขาย่อมไม่กล้าขวาง ท่านไปก่อนเถิด” ดวงตาซาฉู่เอ๋อร์ทอประกายขณะที่ส่งกระแสจิตบอกหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงกลับเลิกคิ้วเรียวแล้วยิ้มเย็นชาให้ทั้งสี่คนเบื้องหน้า จากนั้นเอ่ยขึ้นว่า
“ทั้งสี่ท่านจำต้องลงมือเวลานี้ให้ได้หรือ? ข้ารับปากกับแม่นางซาไว้ว่าจะช่วยตามหาที่อยู่ของบิดานาง หากพวกท่านลงมือตอนนี้ ข้าที่ติดสัญญาอยู่คงเลี่ยงไม่ได้ ได้แต่ลงมือกับพวกท่านแล้ว”
ซาฉู่เอ๋อร์ได้ยิน ใบหน้างามก็เปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อย นางอดไม่ได้มองหลิ่วหมิง ในสายตามีแววตาประหลาดใจปรากฏขึ้นมาอยู่เลือนราง
“ข้าขวางคนผู้นี้เอง พวกเจ้าสามคนรวมพลังกันจับสตรีคนนั้นไว้ก็พอ จำไว้ว่ารีบเผด็จศึก จับเป็น!”
ผู้เฒ่าผมขาวกลับกำชับสามคนที่เหลือเรียบๆ คำหนึ่ง มือสองข้างฉับพลันยกขึ้นถูกัน แสงสีเหลืองเจิดจ้าสว่างขึ้นกลางฝ่ามือ เขาสะบัดทีหนึ่งแสงสีเหลืองพลันส่องสว่าง รุ้งน่าตะลึงสายหนึ่งพุ่งออกจากมือซัดเข้าใส่หลิ่วหมิง