ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 868 กลับนิกาย
“ดี คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะรู้จักมักคุ้นกับผู้แข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ มิน่าจึงไม่เห็นตระกูลโอวหยางของเราในสายตา…แค่กแค่ก…” บุรุษผู้สยายผมเอ่ยเรียบๆ หลายประโยค สุดท้ายก็ไอออกมาไม่หยุด
ใบหน้าเขาเวลานี้แสดงความเกรี้ยวกราดออกมาเล็กน้อย มุมปากมีเลือดสายหนึ่งติดอยู่ ลมปราณดีขึ้นกว่าเมื่อครู่อยู่บ้างแต่ยังคงแผ่วเบาอย่างเห็นได้ชัด เห็นชัดว่าเมื่อครู่บาดเจ็บไม่เบา
“ผู้อาวุโสเข้าใจผิดแล้ว ผู้เยาว์ไม่รู้แม้แต่น้อยว่าท่านผู้เฒ่าขุยตี้จะประทับร่างลงบนหุ่นของนาง มิเช่นนั้นผู้เยาว์จะสอดมือยุ่งไม่เข้าเรื่องได้อย่างไร” หลิ่วหมิงหัวเราะฝืดเฝื่อนเอ่ยขึ้น
“เหอะ เจ้าเด็กรุ่นหลังคนนี้ไม่ต้องเอาขุยตี้มากดดันข้า เรื่องนี้ข้าจะรายงานหัวหน้าตระกูลแน่นอน แต่ในเมื่อสาวน้อยคนนั้นจากไปแล้ว เจ้าก็คงไม่ต้องอยู่ใกล้ๆ ตระกูลโอวหยางต่อแล้ว รีบจากไปเสียตอนนี้ แล้วอย่าลืมว่าเจ้ายังติดค้างคำขอข้อหนึ่งของตระกูลโอวหยางเรา ยามที่ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าพวกเราจะส่งข่าวไปหาเจ้าแน่” บุรุษผู้สยายผมแค่นเสียงหยันทีหนึ่ง มือใหญ่ก็สะบัดพาพวกผู้เฒ่าผมขาวที่เบิกตาค้าง สี่คนด้านข้างแหวกท้องฟ้าจากไป
ชั่วพริบตาสถานที่ลับสำหรับเร้นกายของโอวหยางขุยก็เหลือเพียงหลิ่วหมิงยืนอยู่เดียวดาย โอวหยางขุยกับคนในครอบครัวที่เหลือเหมือนจะหมดสติกันหมด แต่หลิ่วหมิงกวาดจิตสัมผัสดูแล้วพบว่าคนเหล่านี้ล้วนแค่เป็นลมไปเพราะแรงกดดันจิตวิญญาณของระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ก่อนหน้านี้เท่านั้นไม่ได้เป็นอะไรมาก
หลิ่วหมิงกลับไปในจวนใหม่อีกครั้ง เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้า สีหน้าแปรเปลี่ยนไปมาไม่หยุดอยู่พักหนึ่ง
ครู่หนึ่งให้หลังเขาถึงถอนหายใจแผ่วเบา มือข้างหนึ่งตั้งท่าเคล็ดวิชาแล้วกลายเป็นลำแสงสีดำเส้นหนึ่งมุ่งไปยังทางออก
หลังออกจากสถานที่เร้นกายของโอวหยางขุยมาแล้ว เขาก็เคลื่อนลำแสงต่อไป มุ่งเร็วรี่ไปยังเมืองหนานหมิง
ครึ่งวันให้หลังลำแสงสีแดงสายหนึ่งก็ออกจากเมืองหนานหมิงไปอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
แสงสีแดงหุ้มเรือเหาะหยกลำหนึ่งที่มีเงาร่างสองร่าง ร่างหนึ่งใหญ่ร่างหนึ่งเล็กนั่งอยู่แหวกท้องนภาไปยังสถานที่ซึ่งอยู่ไกลออกไป
เวลาหลายเดือนผ่านไปเพียงพริบตา!
วันนี้นอกวิหารใหญ่ของสาขาห่านฟ้าบนเทือกเขาหมื่นวิญญาณมีแสงสีทองสายหนึ่งเหาะมาจากที่ไกลแสนไกลอย่างรวดเร็วแล้วร่อนลงมา
แสงสีทองดับลงเผยให้เห็นร่างชายหนุ่มชุดน้ำเงินคนหนึ่ง เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
ข้างกายเขามีเด็กชายอายุราวแปดเก้าขวบคนหนึ่งยืนอยู่ด้วย เขาก็คือเยี่ยเฮ่าเด็กกำพร้าทายาทตระกูลเยี่ยผู้ครอบครองร่างจิตวิญญาณเนตรทองดวงตาหยกนั่นเอง
หลังเดินทางกลับจากตระกูลโอวหยางมาถึงนิกายครั้งนี้ เขาไม่ได้กลับถ้ำที่พักของตนเองทันที แต่มาที่หอภารกิจนอกเพื่อตามหาผู้ดูแลที่รับผิดชอบการรับศิษย์สักคนก่อน
เขาสอบถามสักพักถึงรู้ว่าหากศิษย์สายในพบผู้ที่ครอบครองร่างกายชนิดพิเศษหรือมีสายเลือดต่างเผ่าไม่จำเป็นต้องรอการรับสมัครรอบใหญ่ของแต่ละปี ให้ผู้ดูแลของหอภารกิจนอกตรวจสอบเขาแล้วสุ่มจัดสรรเขาไปยังนิกายสายนอกได้เลย
หรือจะให้ผู้ดูแลของนิกายสายนอกแต่ละแห่งมาตรวจสอบเขาโดยตรง แล้วให้นิกายสายนอกตัดสินใจเองว่าจะรับเขาหรือไม่ก็ได้
ซึ่งในความเป็นจริงนิกายสายนอกทั้งแปดก็มักจะปรารถนาคนที่มีพรสวรรค์ไม่ธรรมดาเหล่านี้อย่างยิ่งยวดอยู่แล้วเพื่อยกระดับพลังของตนแย่งชิงทรัพยากรจากนิกาย
หลังหลิ่วหมิงใคร่ครวญครู่หนึ่งก็ตัดสินใจพาเขามายังสาขาห่านฟ้า อย่างไรเขาก็เคยเป็นศิษย์ของสาขาห่านฟ้า หากพาคนไปเอง หัวหน้าสาขาห่านฟ้ารวมถึงผู้ดูแลอีกจำนวนหนึ่งอาจจะดูแลเด็กคนนี้เพิ่มอยู่บ้าง
ผลปรากฏว่าทั้งสองคนเพิ่งเหยียบวิหารใหญ่ของสาขาห่านฟ้าก็ถูกศิษย์รูปร่างสูงใหญ่ที่ท่าทางเหมือนจะเป็นผู้ดูแลคนหนึ่งขวางไว้
“หยุดนะ พวกเจ้าสองคนมาทำอะไรที่สาขาห่านฟ้าของเรา? รอประเดี๋ยว ท่านคือ…ศิษย์พี่หลิ่วหมิง!” ศิษย์รูปร่างสูงใหญ่มองสำรวจหลิ่วหมิงอย่างละเอียดทีหนึ่งแล้วพลันนึกอะไรขึ้นได้ สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างยิ่ง นอบน้อมผิดธรรมดาขึ้นมาทันที
“ศิษย์น้องผู้นี้คือ?”
หลิ่วหมิงไม่รู้จักชายหนุ่มคนนี้ตรงหน้าจึงเอ่ยถามอย่างประหลาดใจเล็กน้อย
“ข้าเป็นศิษย์ดำเนินการที่เพิ่งได้เลื่อนขั้นของสาขาเรา ศิษย์พี่หลิ่วไม่รู้จักก็เป็นเรื่องธรรมดา ยามนั้นที่ศิษย์พี่หลิ่วคว้าอันดับหนึ่งในงานประลองใหญ่ของศิษย์สายนอก ข้าก็โชคดีได้เข้าร่วมด้วย เพียงแต่ไม่อาจเทียบกับศิษย์พี่หลิ่วได้ หลังจากศิษย์พี่หลิ่วเข้าไปเป็นศิษย์สายใน เป็นตัวแทนนิกายเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ทั้งยังคว้าอันดับหนึ่งมาได้จากท่ามกลางผู้แข็งแกร่งมากมาย ตอนนี้ท่านก็กลายเป็นผู้ที่ศิษย์สามพันคนของสาขาห่านฟ้าของเรายกย่อง ใช่แล้ว ไม่ทราบวันนี้ศิษย์พี่หลิ่วเดินทางมามีธุระอันใด หรือว่า…เพื่อเด็กคนนี้?” ศิษย์รูปร่างสูงใหญ่พูดเป็นต่อยหอย อ้าปากพูดปุบคำพูดก็หลั่งไหลเป็นสายน้ำไม่จบไม่สิ้น สักพักถึงเหลือบไปเห็นเด็กชายข้างกายหลิ่วหมิง จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเอ่ยถามขึ้นมา
“ข้าได้ยินว่าเด็กที่ครอบครองร่างจิตวิญญาณพิเศษ แค่ผ่านการตรวจสอบก็เข้าเป็นศิษย์นิกายสายนอกได้เลยใช่ไหม?” หลิ่วหมิงพยักหน้า จากนั้นยิ้มน้อยๆ เอ่ยถาม
“ร่างจิตวิญญาณพิเศษหรือ? นั่นแน่นอน จะว่าไปแล้ว สาขาห่านฟ้าของพวกเราก็ไม่ได้รับศิษย์ที่มีพรสวรรค์เหนือธรรมดาเหล่านั้นมาหลายปีแล้ว ไม่เช่นนั้นศิษย์เหล่านี้ใช้เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปีก็พัฒนาก้าวกระโดด สร้างชื่อเสียงโด่งดังในการประลองใหญ่ของนิกายสายนอก เอาชนะแย่งชิงทรัพยากรมากกว่านี้มาให้สาขาเราได้ หรือว่าเด็กคนนี้จะ…” ศิษย์รูปร่างสูงใหญ่พูดยาวเป็นพรวนจนน้ำลายแตกฟองอีกพักหนึ่งถึงนึกอะไรขึ้นได้กะทันหัน สายตาเคลื่อนมายังเด็กชายอายุแปดเก้าปีคนนั้น แล้วมองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย
หลิ่วหมิงไม่ได้ตอบอันใดตรงๆ แต่ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งมาตบบนหัวไหล่ของเด็กน้อยเยี่ยเฮ่าเบาๆ
พลังจิตวิญญาณเล็กน้อยสายหนึ่งเคลื่อนเข้าไปในร่างของเยี่ยเฮ่าทันที ร่างกายเขาสั่นเล็กน้อย รู้สึกว่าความเจ็บชาจู่โจมอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นดวงตาทั้งสองข้างก็ทอประกายสีทองจางๆ ออกมาเลือนราง
แสงสีทองในดวงตาของเด็กน้อยปรากฏเพียงครู่เดียวก็หายไป ทว่าศิษย์รูปร่างใหญ่โตเห็นภาพนี้ก็อดไม่ได้ตื่นเต้นยินดีอย่างยิ่ง
“ศิษย์พี่หลิ่ว หากข้ามองไม่ผิด เด็กชายคนนี้ครอบครองร่างเนตรจิตวิญญาณหรือ?”
“เป็นเช่นนั้น ไม่ทราบว่าสถานการณ์เช่นนี้จะให้เขาเข้าสาขาห่านฟ้าโดยตรงได้หรือไม่?” หลิ่วหมิงพยักหน้าแล้วเอ่ยอย่างนิ่งสงบ
“เรื่องนั้นแน่นอน แต่บังเอิญหัวหน้าสาขาเจียงออกไปข้างนอกมาครึ่งค่อนปีแล้ว ครึ่งเดือนก่อนรองหัวหน้าสาขาเหลียงก็ออกไปทำภารกิจให้นิกาย อย่างเร็วที่สุดก็อีกเดือนกว่าถึงจะกลับมา ศิษย์ที่ครอบครองร่างจิตวิญญาณพิเศษหายากเช่นนี้ให้หัวหน้าสาขาตรวจสอบด้วยตัวเองก่อนจะดีที่สุด หากยืนยันว่าไม่ผิดพลาด โดยทั่วไปนิกายสายในจะทุ่มเททรัพยากรจำนวนมากเลี้ยงดูอย่างดี” ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ก้มตัวลงมาจ้องสำรวจเด็กน้อยอย่างละเอียดอีกหลายหนถึงเหยียดกายขึ้น เอ่ยกับหลิ่วหมิงอย่างยินดี
“ในเมื่อหัวหน้าสาขากับรองหัวหน้าสาขาล้วนไม่อยู่ ผ่านไปอีกระยะหนึ่งผู้แซ่หลิ่วค่อยพาเขามาใหม่ก็แล้วกัน” หลิ่วหมิงได้ฟังก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ช้าก่อน…ที่จริงจะว่าไปแล้ว แม้ข้าเป็นเพียงศิษย์ดำเนินการคนหนึ่ง แต่ตามกฎของนิกายข้าก็จัดให้เขาพำนักอยู่ในสาขาห่านฟ้าก่อนได้ เอาเช่นนี้เถิด ศิษย์น้องจะจัดการให้เด็กคนนี้เข้าสาขาห่านฟ้าก่อน เมื่อหัวหน้าสาขาทั้งสองกลับมาปุบ ข้าจะจัดการเรื่องการตรวจสอบร่างจิตวิญญาณทันที จัดการเช่นนี้ดีหรือไม่?” ศิษย์รูปร่างสูงใหญ่ครุ่นคิดในใจครู่หนึ่งก็รีบร้อนเอ่ยออกมาเช่นนี้อีก
“อืม ข้าไม่สะดวกพาเด็กคนนี้กลับถ้ำที่พักนักจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็รบกวนศิษย์น้องจัดการด้วย” หลิ่วหมิงครุ่นคิดครู่เดียวก็ตอบเต็มปากเต็มคำ
“ศิษย์พี่หลิ่วไยต้องเกรงใจเช่นนี้” ชายหนุ่มสูงใหญ่รีบร้อนโบกมือเอ่ยขึ้น
“เยี่ยเฮ่า ผู้อาวุโสคนนี้จะจัดการเรื่องต่อจากนี้ให้เจ้า หลังจากนี้ความปรารถนาจะเป็นจริงหรือไม่ก็แล้วแต่ชะตาของตัวเจ้าเองแล้ว” หลิ่วหมิงหมุนตัวมาเอ่ยแผ่วเบากับเด็กชายข้างกาย
หลังเด็กชายอายุแปดเก้าขวบผู้นี้ได้ยินก็พยักหน้ารัวเหมือนเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ
“ศิษย์พี่หลิ่ว เจ้าตัวน้อยคนนี้ยกให้ข้าเอง ท่านวางใจได้” ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ตบหน้าอกเอ่ยขึ้นมา สายตาที่มองไปทางเยี่ยเฮ่าเหมือนกับมองสมบัติแสนรักชิ้นหนึ่ง
นี่ก็ไม่แปลก แนะนำเด็กที่ครอบครองร่างจิตวิญญาณเช่นนี้เข้าสาขาได้ย่อมเป็นความดีความชอบครั้งหนึ่งของตน หากอนาคตเปิดจิตวิญญาณแล้วพรสวรรค์ดีอย่างยิ่ง ถ้าเช่นนั้นย่อมไม่ขาดรางวัลแน่นอน
เมื่อจัดการทุกสิ่งเรียบร้อยแล้ว หลิ่วหมิงก็ไม่รั้งอยู่นาน เขาลาศิษย์ดำเนินการผู้นี้ทันที หลังจากกำชับเยี่ยเฮ่าอีกหลายประโยคก็ออกจากวิหารใหญ่ของสาขาห่านฟ้าไป
หลังออกจากวิหารใหญ่ เขาก็ตั้งท่าเคล็ดกระบี่แล้วกลายเป็นแสงสีทองเส้นหนึ่งแหวกท้องฟ้ามุ่งไปยังถ้ำที่พัก
ไม่นานนักเขาก็กับมาถึงในถ้ำที่พัก
เข้าประตูถ้ำมาปุบ หลิ่วหมิงก็ปิดประตูใหญ่ มือข้างหนึ่งตบถุงหนังสองใบข้างเอว ปราณดำสายหนึ่งพวยพุ่งออกมากลายร่างเป็นเซียเอ๋อร์ที่สวมชุดตาข่ายสีดำทั้งร่าง
“นายท่าน!” เซียเอ๋อร์คำนับอ้อนช้อยให้หลิ่วหมิงพลางเอ่ยเรียก
หลิ่วหมิงพยักหน้าให้นาง เมื่อจิตสัมผัสกวาดผ่านถุงหนังอีกใบหนึ่งก็อดไม่ได้ยิ้มน้อยๆ
เฟยเอ๋อร์เวลานี้กำลังขดตัวหลับอุตุอยู่ในถุงหนังใบหนึ่งในนั้น มันไม่สนใจไยดีเสียงเรียกของตนอย่างสิ้นเชิง
หลิ่วหมิงส่ายศีรษะ หลังสั่งเซียเอ๋อร์ให้ฝึกฝนด้วยตนเอง เขาก็มุดศีรษะเข้าไปในห้องลับ
เดิมทีเขาคิดว่าการเดินทางไปตระกูลโอวหยางจะไม่นานมากนัก แต่คาดไม่ถึงว่าจะชักช้ากินเวลาไปถึงครึ่งค่อนปี ตอนนี้กลับมาถึงนิกาย ในที่สุดก็ทำให้พลังเสถียรอย่างสบายใจได้แล้ว
เวลาหนึ่งก้านธูปให้หลัง ในห้องลับ
หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะกลมอันหนึ่ง ในขวดใบน้อยสีเขียวหยกข้างกายมีโอสถแวววาวทั้งเม็ดประหนึ่งหยกที่บนผิวมีลวดลายโอสถสามแถวอยู่สองเม็ด พวกมันก็คือโอสถแฝงจิตวิญญาณระดับธรรมดาสองเม็ดนั่นเอง
จะว่าไปแล้วเมื่อระดับพลังของเขาเพิ่มขึ้น ผลในด้านการเพิ่มพลังเวทของโอสถแฝงจิตวิญญาณก็ลดน้อยลงตาม วันนี้หลังเข้าสู่ระดับแก่นเสมือน โอสถแฝงจิตวิญญาณทั่วไปแทบจะไม่มีผลแล้ว แม้เป็นโอสถแฝงจิตวิญญาณระดับสูงก็มีผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ยังดีที่สิ่งที่ขายไปตอนนั้นล้วนเป็นโอสถแฝงจิตวิญญาณธรรมดา โอสถระดับสูงส่วนใหญ่เขายังเก็บไว้ในมือ แม้ได้ผลไม่ชัดเจนนัก แต่เทียบกับคนธรรมดาที่อาศัยเพียงนั่งสมาธิตรากตรำฝึกฝนก็ยังมีผลทำให้ลงแรงครึ่งเดียวได้ผลลัพธ์เท่าทวีอยู่
ตอนนี้จะให้เขาออกจากนิกายไปค้นหาวัตถุดิบหลอมโอสถอีกไม่ค่อยเข้าท่านัก อย่างไรก็ใช้ของที่มีอยู่ในมือเหล่านี้ให้หมดก่อนค่อยว่ากันเถอะ
หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้แล้วยื่นสองนิ้วออกมาคีบโอสถแฝงจิตวิญญาณเม็ดหนึ่งวางในปาก จากนั้นหลับตาสองข้างลง เริ่มโคจรพลังเวทในร่างแล้วนั่งสมาธิอย่างนิ่งสงบ
เวลาวันแล้ววันเล่าผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาก็ผ่านไปสามปี
เนื่องจากตอนเขากลับมาไม่ได้กระโตกกระตากให้ใครรู้ หลายปีนี้เขาจึงใช้ชีวิตอย่างค่อนข้างเงียบสงบ ไม่มีผู้ใดเดินทางมารบกวนการฝึกฝนของเขา
วันนี้เสียง “ปัง” ดังขึ้นแผ่วเบาทีหนึ่ง ประตูศิลาของห้องลับถูกผลักออกมาจากด้านใน
เงาคนเคลื่อนวูบหนึ่ง หลิ่วหมิงเดินออกมาจากด้านใน
สามปีนี้เขาใช้โอสถในมือเพิ่มพลังเวทไปจนเกือบหมดแล้ว พลังเวทในร่างเพิ่มพูนจากก่อนหน้านี้อีกไม่น้อย
พลังระดับแก่นเสมือนของหลิ่วหมิงในเวลานี้เสถียรอย่างสมบูรณ์แล้ว ผลึกพลังเวททรงกลมในทะเลจิตวิญญาณมีแสงสีม่วงกับสีเงินเคลื่อนวนเวียนบนผิวไม่หยุด พลังเวทเต็มเปี่ยมอย่างยิ่ง พร้อมลงมือเตรียมการขั้นสุดท้ายสำหรับสลายผลึกผนึกแก่นแท้มุ่งสู่ระดับแก่นแท้ได้แล้ว