ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 885 เมืองหนานหลู
“เมื่อครู่คนที่ถูกขังอยู่เป็นเพียงเงาร่างหนึ่งของข้าเท่านั้น ด้วยพลังระดับแก่นแท้ของเจ้า หากเป็นยามปกติน่าจะมองออก ส่วนอสูรเลี้ยงอินทรีมารมืดตัวนั้น ข้าย่อมเฝ้าระวังไว้ตลอดอยู่แล้ว” หลิ่วหมิงเอ่ยเรียบๆ
เพิ่งสิ้นเสียง แขนของเขาก็พร่าเลือนวูบหนึ่งโจมตีออกมาอีกหนึ่งหมัด
เงาหมัดสีดำพุ่งวูบหนึ่ง ศีรษะของจั่วกงเฉวียนก็ถูกสายลมจากหมัดต่อยกระจุย ของสีขาวกับสีแดงกระเซ็นไปรอบด้าน จิตวิญญาณหนีไม่ทันจึงถูกกำจัดทันที
เมื่อจั่วกงเฉวียนตาย ดวงตาของปีศาจอินทรีสีดำก็ฟื้นกลับมากระจ่างใสในทันที มันเห็นหลิ่วหมิงปุ๊บก็กรีดร้องเสียงแหลมด้วยความหวาดกลัวอย่างที่สุดแล้วกระพือปีกสองข้างบินหนีไปไกลทันที
หลิ่วหมิงก็ไม่ได้ไล่ตามไปสังหารอินทรีมารมืดต่อ แต่เก็บแหวนเก็บของกับมีดสั้นสีแดงสองเล่มนั้นที่ตัวจั่วกงเฉวียนมา
จากนั้นเขาก็โบกมือครั้งหนึ่ง เปลวเพลิงดวงหนึ่งเผาศพของจั่วกงเฉวียนกลายเป็นจุณ
ในเวลาเดียวกันยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลืองที่อยู่ไม่ไกลก็ส่องแสงสีทองกลายเป็นยันต์แผ่นหนึ่งใหม่อีกครั้ง แล้วพุ่งรวดเร็วกลับมาหาหลิ่วหมิงพร้อมกับไม้เท้าหัวผีอันนั้นด้วยตนเอง ปราณดำม้วนออกมาครั้งหนึ่งก็หายไปจนหมดไม่เห็นร่องรอย
เงาคนหายวับไป จากนั้นร่างของหลิ่วหมิงก็ปรากฏตัวข้างค่ายกลสีทองอ่อน เขายกมือขึ้น ปราณดำสายหนึ่งพลันกลายเป็นรูปลูกธนูพุ่งเข้าชนค่ายกลสีทอง
เสียง “ปัง” ดังขึ้นทีหนึ่ง!
ค่ายกลสีทองที่หม่นแสงถึงที่สุดพังทลายลงพร้อมเสียงดังกึกก้องแล้วแตกกระจายกลายเป็นละอองแสงสีทอง แสงของแผ่นค่ายกลตรงใจกลางและธงค่ายกลหม่นลงจากนั้นทยอยร่วงลงเกลื่อนพื้นดิน
หลิ่วหมิงยกมือขึ้นสะบัด ปราณดำสายหนึ่งซัดออกมาพาแผ่นค่ายกลและธงค่ายกลทั้งหมดลอยมาอยู่ในมือเขา จากนั้นบนใบหน้าก็เผยสีหน้ายินดีออกมาเล็กน้อย
จากที่ปีศาจพันมายาบอกค่ายกลโปรดสัตว์ชุดนี้ได้มาจากในซากโบราณแห่งหนึ่ง เป็นค่ายกลพันธนาการที่ตกทอดมาจากยุคโบราณ พลังของมันเมื่อครู่เขาก็ได้ประจักษ์กับตาตนเองแล้ว มันเป็นสมบัติที่หายากชิ้นหนึ่งอย่างแท้จริง
“นายท่าน จะทำอย่างไรต่อดี? วันนี้จั่วกงเฉวียนผู้นั้นตายแล้ว ปีศาจพันมายาก็หายไปไร้ร่องรอยอีกครั้ง…” สตรีชุดตาข่ายดำเหาะมาข้างกายหลิ่วหมิงแล้วเอ่ยถาม
“ไม่เป็นไร ปีศาจพันมายาเคลื่อนย้ายเป็นระยะทางไกลเกินไปนักไม่ได้ ข้ามีวิธีตามหาเขา” หลิ่วหมิงตอบอย่างไม่รีบร้อน เขาพลิกมือกินโอสถจินหยวนเม็ดหนึ่ง เมื่อฤทธิ์ยากระจายตัว พลังเวทในทะเลจิตวิญญาณของเขาก็ค่อยๆ เต็มเปี่ยมขึ้นมา
เซียเอ๋อร์ได้ฟังตอนนี้ถึงวางใจ
เงาร่างของหลิ่วหมิงขยับไหววูบหนึ่งก็ร่อนลงบนศิลายักษ์มหึมาก้อนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลแล้วนั่งลงขัดสมาธิ หลังจากสูดลมหายใจโคจรปราณ เขาก็พลิกมือเรียกธงคำสั่งสีดำผืนนั้นที่ปีศาจพันมายาปล่อยทิ้งไว้ออกมาโยนเบาๆ ให้ลอยอยู่เบื้องหน้าร่าง
จากนั้นริมฝีปากเขาก็อ้าหุบท่องมนตร์งึมงำแผ่วเบา สองมือทำท่ามืออันลี้ลับท่าแล้วท่าเล่าไม่หยุด แสงสีดำสายแล้วสายเล่าพุ่งเร็วไวออกมาจากบนร่างเขาแล้วรวมตัวกันเบื้องหน้าร่าง
เซียเอ๋อร์เห็นภาพนี้ก็ไม่เอ่ยปากรบกวน นางยืนอยู่ด้านข้างพร้อมกับสังเกตความเคลื่อนไหวรอบด้าน
ผ่านไปไม่นาน กลางอากาศก็เริ่มเกิดวงกระเพื่อมสีดำวงแล้ววงเล่าแผ่ขยายออกไปสี่ด้านแปดทิศโดยมีหลิ่วหมิงเป็นศูนย์กลาง ทำให้สรรพสิ่งรอบด้านพร่ามัวไม่ชัด
แม้เป็นเวลาเพียงครู่เดียวแต่สีหน้าของหลิ่วหมิงกลับซีดเผือดลงไปไม่น้อย ทันใดนั้นเขาก็ยกแขนขึ้นข้างหนึ่งจี้หนึ่งดัชนีออกมา ปราณดำสายแล้วสายเล่าที่วนเวียนอยู่บนธงคำสั่งสีดำเบื้องหน้าฉับพลันลอยออกมาแล้วทยอยผสานเข้าไปในวงกระเพื่อมสีดำรอบร่าง
วงกระเพื่อมสีดำฉับพลันสั่นไหวแผ่วเบา ความเร็วที่กระเพื่อมเร็วขึ้นหลายส่วนในทันใด ก่อนจะรวมตัวกันไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ
ครู่ต่อมาหลิ่วหมิงพลันลืมตากว้าง ประกายสีดำในดวงตาปรากฏขึ้นวูบหนึ่งแล้วหายไป
“ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือจริงๆ…” เขาหยุดใช้วิชาแล้วเอ่ยพึมพำกับตนเอง
ตอนนี้เขามั่นใจในระดับหนึ่งแล้วว่าทิศทางที่ปีศาจพันมายาผู้นี้หนีไปคือทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และสิ่งที่อยู่ถัดไปทางทิศนี้ก็คือเมืองหนานหลู
การใช้วิชาเพียงชั่วครู่นี้ทำให้หน้าผากของหลิ่วหมิงมีเหงื่อซึมออกมา เห็นชัดว่าการใช้วิชาลับตามรอยชนิดนี้กินพลังเวทและพลังจิตไม่น้อย ทุกครั้งที่ใช้วิชานี้ล้วนกินพลังปราณของเขาไปอย่างไม่ธรรมดา
“ตอนนี้พวกเราออกเดินทางกันเถอะ!” หลิ่วหมิงโบกมือเก็บธงคำสั่งสีดำไป หลังจากนั้นก็ยกแขนเสื้อขึ้น แสงสีขาวสายหนึ่งส่องสว่าง เรือหยกจันทราที่ใสแวววาวทั้งลำลอยออกมาเบื้องหน้า
เขากับเซียเอ๋อร์ทะยานร่างกระโดดขึ้นไป หลังจากนั้นเรือหยกพลันฉายแสงสีแดงกลายเป็นลำแสงสีแดงเส้นหนึ่ง แหวกท้องนภาเหาะไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
……
เมืองหนานหลูในฐานะเมืองหลวงของแคว้นเจียง ไม่เพียงเป็นศูนย์กลางอำนาจทางการเมืองที่แท้จริงของแคว้นเจียง แต่ยังเป็นศูนย์กลางการค้าและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมด้วย
เมืองแห่งนี้พื้นที่กว้างขวางอย่างยิ่ง ทางเหนือของเมืองอยู่ติดทะเลสาบเข็มขัดหยกอันมีทิวทัศน์งดงาม ส่วนอีกสามด้านคือกำแพงเมืองมหึมาสูงถึงยี่สิบสามสิบจั้ง ทั้งหมดก่อจากอิฐสีดำหนาหนึ่งจั้งกว่า เมื่อมองจากไกลๆ เมืองทั้งเมืองราวกับป้อมปราการโลหะอันแข็งแกร่งหลังหนึ่งที่ทอดตัวอยู่ริมทะเลสาบ
เมืองหนานหลูมีประตูเมืองหลักอยู่สามทิศได้แก่ทิศตะวันออก ทิศตะวันตกและทิศใต้ นอกประตูเมืองคือคูเมืองกว้างยี่สิบสามสิบจั้งซึ่งวนล้อมรอบกำแพงเมืองครบรอบหนึ่งแล้วเชื่อมต่อกับทะเลสาบเข็มขัดหยก คูน้ำถูกขุดจนลึกไม่เห็นก้น ในคูน้ำมีกระแสน้ำไหลอยู่รางๆ เห็นชัดว่าข้างใต้นี้ไม่ได้มีแค่น้ำเท่านั้น
ถนนในเมืองเชื่อมต่อไปทั้งสี่ทิศแปดทาง สิ่งก่อสร้างสูงใหญ่เรียงรายเป็นระเบียบ แม้บ้านเรือนจะหนาแน่นแต่ไม่แลดูเบียดเสียด สภาพแวดล้อมเป็นสะอาดระเบียบยิ่งนัก
ใจกลางเมืองมีถนนหลักสองสายพาดตัดกันเป็นสี่แยกแบ่งเมืองออกเป็นสี่เขตขนาดไม่เท่ากัน เขตตะวันตกเฉียงเหนือกับตะวันตกเฉียงใต้ครอบครองพื้นที่ใหญ่ที่สุด เป็นพื้นที่รวมกิจการของมนุษย์ธรรมดากับที่พักอาศัย แล้วยังเป็นสถานที่ซึ่งเศรษฐีและประชาชนธรรมดาอาศัยอยู่ ด้วยเหตุนี้สิ่งก่อสร้างจึงแลดูลดหล่นไม่เสมอกันอยู่บ้าง
เขตตะวันออกเฉียงใต้เป็นที่ตั้งของวังหลวง เชิงชายและหลังคา รั้วสลักกับบันไดหยกด้านในงดงามโอ่อ่า มีการคุ้มกันแน่นหนา เป็นสถานที่ซึ่งแลดูยิ่งใหญ่อลังการที่สุดของเมืองหนานหลู
นอกจากวังหลวง องค์ชายและชนชั้นสูงจำนวนหนึ่งของราชวงศ์แคว้นเจียงก็อาศัยอยู่บริเวณนี้
เขตตะวันออกเฉียงเหนือเล็กที่สุดและเป็นสถานที่ซึ่งค่อนข้างพิเศษของเมือง ที่นั่นคือสถานที่รวมตัวของผู้ฝึกฝนซึ่งธรรมดาแล้วน้อยนักจะตั้งรกรากอยู่ร่วมกับมนุษย์ธรรมดา ด้วยเหตุนี้เมืองหนานหลูจึงเป็นเมืองใหญ่ที่ผู้ฝึกฝนกับมนุษย์ธรรมดาอาศัยอยู่ปะปนกันซึ่งค่อนข้างหาได้ยากบนแผ่นดินจงเทียน
สาเหตุหลักประการหนึ่งที่กลุ่มผู้ฝึกฝนยินดีอยู่ที่เมืองหนานหลูก็เพราะราชวงศ์แคว้นเจียงเองก็เป็นตระกูลผู้ฝึกฝนที่พลังไม่อ่อนแอ พวกเขาไม่เพียงไม่เสียดายเงินทองมากมายรวบรวมผู้ฝึกฝนอิสระไม่น้อยมาเลี้ยงดูเป็นที่ปรึกษา แล้วยังจงใจเปิดพื้นที่เช่นตลาดไว้ให้ผู้ฝึกตนที่เดินทางไปมาพักผ่อนอีกด้วย
นอกเหนือจากนี้ น้ำในทะเลสาบเข็มขัดหยกซึ่งกินพื้นที่บริเวณหลายร้อยลี้ทางเหนือของเมืองหนานหลูแห่งนี้ยังเป็นแหล่งให้กำเนิด ‘หยกมังกรหวน’ หยกชั้นสูงอันงดงาม หากนำไปทำเครื่องหยกให้มนุษย์ธรรมดาพกจะมีคุณสมบัติยืดอายุขัยให้ยืนยาว อีกทั้งยังเป็นวัสดุชั้นยอดในการทำยันต์หยกราคาสูง มันจึงนำความเจริญรุ่งเรืองอันไม่ธรรมดามายังที่แห่งนี้
เวลานี้ประจวบเหมาะเป็นยามดึก จันทร์เสี้ยวสีขาวสว่างดวงหนึ่งลอยล่องผลุบๆ โผล่ๆ อยู่กลางหมู่เมฆท่ามกลางดวงดาราเต็มท้องฟ้า
ทั้งเมืองบอกลาความรุ่งเรืองครึกครื้นยามกลางวัน บ้านเรือนนับหมื่นทยอยดับโคมไฟ สรรพเสียงทยอยเงียบสงบ
เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง เงาดำร่างหนึ่งฉวยโอกาสยามราตรีบินเร็วรี่มาจากที่ไกล ข้ามผ่านกำแพงเมืองลอบเข้ามาในเมืองอย่างเงียบเชียบ หลังจากนั้นมุ่งตรงไปทางพระราชวังที่เขตตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง
เงาดำรวดเร็วอย่างที่สุด ชั่วพริบตาก็พุ่งออกไปหนึ่งร้อยกว่าจั้ง ทั้งร่างไม่แผ่กลิ่นอายออกมาสักนิด เมื่ออยู่ภายใต้การปกปิดของราตรีไม่ต้องพูดถึงคนทั่วไป แม้แต่ผู้ฝึกฝนธรรมดาก็ไม่อาจค้นพบความผิดปกติอันใดได้สักนิด
พระราชวังของแคว้นเจียงครอบครองพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของเขตตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองหนานหลู หอกับตำหนักที่มีบันไดหยกแกะสลักประณีตหลังแล้วหลังเล่า ทางเดินใหญ่น้อยอันหรูหราสง่างามนับไม่ถ้วนและสวนบุปผากับสระน้ำงดงามซึ่งประดับด้วยดอกไม้กับต้นไม้หายากมากมายหลายสวนทำให้แม้แต่เหล่าขันทีและนางกำนัลที่อยู่ในพระราชวังมาหลายปีก็ยังมักจะเกิดเรื่องน่าขันอย่างเช่นการจำทางผิดอยู่เสมอ
ทว่ายามเที่ยงคืน ในพระราชวังทุกห้าก้าวสิบก้าวล้วนมีเวรยาม องครักษ์สวมชุดเกราะเดินไปมาตรวจตราเป็นระยะ เฝ้าระวังอย่างเข้มงวด
ท้องฟ้าเหนือมุมหนึ่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของพระราชวัง เงาดำโฉบร่อนลงด้านในกำแพงวัง จากนั้นก็ราวกับเข้ามาในสถานที่ร้างไร้ผู้คน เดินตัดผ่านในพระราชวังอย่างคุ้นเคยจนมาถึงบนตำหนักหกเหลี่ยมแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
แสงสีดำบนเงาคนค่อยๆ สลายไป เผยให้เห็นร่างที่สวมชุดขาวร่างหนึ่ง เขาก็คือปีศาจพันมายานั่นเอง
เวลานี้เขาเหมือนจะเสียพลังเวทไปหมดเกลี้ยงแล้วยังเร่งเดินทางไกลมา สีหน้าจึงซีดเผือดเล็กน้อย หลังยืนมั่นคงก็ยังหันหลังกลับไปมองอย่างหวาดหวั่น แล้วเอ่ยกับตนเองอย่างเคียดแค้นชิงชัง
“สมควรตาย! เจ้าหนูจากนิกายยอดบริสุทธิ์คนนั้นเหมือนจะยังไล่ตามมาอยู่ ข้าใช้วิชาลับซ่อนเร้นร่องรอยแล้วชัดๆ เขายังตามรอยตำแหน่งของข้าได้อย่างไร?”
เพิ่งสิ้นเสียง บนหน้าเขาก็พลันแดงก่ำอย่างผิดปกติ กลิ่นอายบนร่างสับสนไปพักหนึ่ง เขารีบล้วงขวดหยกใบหนึ่งออกมา เทโอสถสีขาวแวววาวเม็ดหนึ่งออกมากินลงไป สีแดงก่ำบนหน้าถึงค่อยๆ ลดลง
หลังจากนั้นปีศาจพันมายาก็ลังเลเล็กน้อยแล้วกัดฟัน บนร่างปรากฏคลื่นแสงไหวกระเพื่อม ชั่วพริบตาเขาก็กลายร่างเป็นบุรุษวัยกลางคนผู้มีใบหน้าสง่างาม รูปร่างอ้วนท้วมเล็กน้อยคนหนึ่ง ร่างกายขยับทีเดียวก็ผลุบเข้าไปในตำหนักหกเหลี่ยมหลังที่อยู่ใกล้ๆ อย่างเงียบเชียบ
ในห้องบรรทมอันหรูหราห้องหนึ่งในตำหนัก ปีศาจพันมายาปรากฏตัวขึ้น หลังจากกวักมืออีกครั้ง ชุดผ้าไหมสีเหลืองสว่างตัวหนึ่งก็สวมลงบนร่างของเขา
บนชุดผ้าไหมปักลายมังกรสีทองห้าเล็บขดร่างอยู่ตัวหนึ่ง เห็นชัดว่าเป็นชุดที่จักรพรรดิแคว้นเจียงเท่านั้นถึงจะสวมได้
หลังจากสวมชุดผ้าไหมแล้ว บรรยากาศรอบตัวปีศาจพันมายาพลันเปลี่ยนแปลงไปทันที คลื่นพลังเวทบนร่างคล้ายมลายหายไปหมดสิ้น แปลงกายเป็นบุรุษวัยกลางคนผู้น่าเกรงขามคนหนึ่งอย่างสมบูรณ์
ไม่มีใครคาดคิดว่าปีศาจพันมายาจะซ่อนตัวอยู่ในพระราชวังของแคว้นเจียง นอกจากนี้ยังเป็นประมุขแห่งแคว้นเจียงอีกด้วย!
ปีศาจพันมายาดวงตาเป็นประกาย เขาพลิกมือตบหนึ่งฝ่ามือลงบนร่างของตนเอง บนใบหน้ามีปราณสีน้ำเงินเข้มสายหนึ่งผุดออกมาทันที
ผ่านไปไม่นาน ในตำหนักหกเหลี่ยมก็พลันมีเสียงเอะอะดังขึ้น โคมไฟจุดส่องสว่าง นางกำนัลและขันทีมากมายรีบร้อนเดินเร็วไวเข้ามา
“มีมือสังหาร!”
“มีคนจะลอบสังหารจักรพรรดิ! รีบคุ้มครองพระองค์เร็ว!”
องครักษ์นับไม่ถ้วนแห่เข้ามาในกำแพงของตำหนักหกเหลี่ยมหลังนี้ประหนึ่งน้ำหลากแล้วล้อมตำหนักไว้เป็นวง ทั้งพระราชวังราวกับถูกปลุกให้ตื่น ตำหนักแต่ละหลังจุดโคมไฟสว่างตามต่อกัน
ในเวลาเดียวกันนั้นประกายแสงประหลาดก็ฉายแวบขึ้นกลางราตรีมืด ลำแสงสะดุดตาหลายสายร่วงลงนอกตำหนักหกเหลี่ยม หลังแสงรัศมีสลายไปก็เผยให้เห็นเงาคนที่สวมชุดยาวสีแดงหลายคน ในนั้นมีบุรุษ มีสตรี ปราณที่แผ่ออกมาล้ำลึกอัดแน่น พลังสูงกว่าระดับของเหลวจิตวิญญาณขั้นปลายอยู่เลือนราง หัวหน้าเป็นผู้เฒ่าเคราขาวโพลนคนหนึ่งที่พลังบรรลุถึงขั้นระดับผลึกขั้นกลาง