ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 893 เหตุการณ์สะเทือนแผ่นดิน
ลึกเข้าไปในเทือกเขาหมื่นวิญญาณ ด้านในมิติของแดนลึกลับที่คล้ายกับแดนอบอ้าวแห่งหนึ่ง
ทะเลทรายอันเวิ้งว้างทอดมองไปแทบจะไร้ที่สิ้นสุดแห่งหนึ่ง บนพื้นเต็มไปด้วยเม็ดทรายกับศิลายักษ์สีเทาเข้มรูปร่างประหลาดจำนวนหนึ่ง สายลมแรงพัดผ่านทุกแห่งหนเป็นระยะ ส่งเสียงครวญครางเดี๋ยวใกล้เดี๋ยวไกลออกมา
บนท้องฟ้าเหนือทะเลทรายชั้นเมฆสีน้ำตาลเทาประหลาดลอยล่องอยู่ มองจากไกลๆ แทบจะเชื่อมต่อเป็นผืนเดียวกับทะเลทรายที่อยู่ไกลลิบๆ ทำให้คนเกิดความรู้สึกลวงว่าฟ้าดินผสานกลืนเป็นหนึ่งยังไม่แยกออกจากกัน
ที่แห่งนี้ก็คือแดนต้องห้ามลึกลับแห่งหนึ่งของนิกายยอดบริสุทธิ์
ใจกลางทะเลทราย ผู้อาวุโสสูงสุดระดับดาราพยาการณ์ของนิกายสายในสิบกว่าคนกำลังยืนอยู่อย่างนิ่งสงบและมีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างที่สุด โดยมีเทียนเกอเจินเหรินผู้เป็นประมุขนิกายยอดบริสุทธิ์อยู่ด้านหน้า
สายตาของทุกคนจับจ้องไปยังแท่นบูชาสูงใหญ่สีเทาเข้มแท่นหนึ่งเบื้องหน้า บนแท่นบูชามีทั้งหมดเจ็ดชั้น ทั้งสี่ด้านล้วนมีบันไดศิลาอันหนึ่งตรงไปบนยอด
รอบด้านแท่นบูชามีเสาศิลามหึมาแปดต้นซึ่งแทบจะต้องใช้สองคนถึงจะโอบได้รอบตั้งอยู่แปดทิศ พวกมันสีเหมือนแท่นบูชาทุกประการ แต่บนผิวมีลวดลายจิตวิญญาณที่ทอแสงสีขาวระยิบระยับแผ่อยู่ทั่ว
บนยอดของแท่นบูชาเวลานี้มีเสาแสงสีขาวน้ำนมขนาดยักษ์เส้นหนึ่งพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า จมลงไปในชั้นเมฆสีน้ำตาลเทาด้านบน
เสาแสงหนาถึงสองสามจั้งกว่าประหนึ่งเสายักษ์ที่คอยค้ำท้องฟ้า เชื่อมต่อผืนดินกับผืนนภาเข้าด้วยกัน
ทันใดนั้นด้านในชั้นเมฆสีน้ำตาลเทาก็มีเสียงครืนครางดังขึ้น หลังจากนั้นหมู่เมฆก็พลันปั่นป่วนรุนแรง จุดที่เสาแสงสัมผัสเกิดพายุหมุนสีเทาขนาดมหึมากว้างใหญ่ลูกหนึ่ง ลึกเข้าไปในพายุหมุนมีแถบสีดำมืดแถบหนึ่งซึ่งดูเหมือนรอยแยกมิติปรากฏขึ้นเลือนราง อสนีบาตรูปอสรพิษสายแล้วสายเล่าพุ่งทะลุผ่านพายุหมุนออกมาแล้วระเบิดแสงอสนีบาตสีม่วงแสบตาเป็นระยะ
ทุกครั้งที่สายฟ้าระเบิดดังกึกก้อง พลังที่แฝงอยู่ด้านในจะทำให้ผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์ทั้งหลายเบื้องล่างเปลี่ยนสีหน้าอย่างห้ามไม่ได้
“ท่านประมุข ในเมื่อแสงสวรรค์สลายเขตแดนปรากฏขึ้นก่อนเวลา ดูท่าเรื่องนั้นคงกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว” บุรุษชุดเทาคนหนึ่งก้าวออกมาข้างหน้า เดินมาถึงข้างกายเทียนเกอเจินเหรินแล้วเอ่ยขึ้นเสียงเบา
เขาก็คือผู้อาวุโสหานที่ใช้วิชาลับแห่งศาสตร์กระบี่แลกกับทรายธารดาราครึ่งถุงของหลิ่วหมิงนั่นเอง
“อืม งานประตูสวรรค์ครั้งก่อน คนของหอเป๋ยโต่วกับวังสวรรค์ก็เผยเบาะแสออกมาอยู่บ้างแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าจะมาเร็วเช่นนี้” เทียนเกอเจินเหรินจับจ้องแสงอสนีบาตสีม่วงเส้นแล้วเส้นเล่ากลางท้องฟ้าอย่างไม่ละสายตา ดวงตาทั้งสองข้างสะท้อนแสงสีม่วงที่ไหลเคลื่อนเผยแววตากระตือรือร้นออกมาอยู่เลือนราง
“กระจายข่าวนี้ให้ผู้ควบคุมยอดเขาแต่ละคนทราบ ให้พวกเขาเตรียมเสนอชื่อคนไว้ให้เรียบร้อยแต่เนิ่นๆ หลังจากนั้น…” เทียนเกอเจินเหรินฟื้นกลับมาสีหน้านิ่งสงบอย่างรวดเร็วยิ่ง ขณะที่ปากเขาก็ออกคำสั่งเรื่องแล้วเรื่องเล่า ผู้อาวุโสสูงสุดสิบกว่าคนรอบด้านฟังแล้วก็พากันกลายเป็นลำแสงหายไปจากที่เดิม ต่างคนต่างเคลื่อนไหว
……
บนเทือกเขาเปลี่ยนฟ้าที่สำนักเฮ่าหรานตั้งอยู่ ลึกเข้าไปในหุบเขามหึมาซึ่งปกคลุมด้วยหมอกสีขาวโพลนตลอดทั้งปีที่น้อยครั้งจะมีคนมาถึงแห่งหนึ่ง
เสียงอสนีบาตคำรามดังลั่น!
เสาแสงสีเขียวต้นหนึ่งพุ่งขึ้นสู่ท้องนภาเชื่อมผืนฟ้ากับผืนดินเข้าด้วยกัน ด้านบนจมหายเข้าไปในกลุ่มเมฆสีเทาหนาทึบ ท้องนภาปั่นป่วนไม่หยุด แสงอสนีบาตฉายวูบวาบอยู่เลือนราง
เสาแสงสีเขียวเกิดมาจากใจกลางค่ายกลยักษ์ที่กินพื้นที่สิบกว่าจั้งอันหนึ่งข้างใต้
เบื้องหน้าค่ายกลคนที่สวมชุดบัณฑิตหน้าตาเหมือนผู้คงแก่เรียนสิบกว่าคนยืนอยู่ มีหนุ่มสาว มีวัยกลางคนไปจนถึงผู้เฒ่าเส้นผมขาวโพลน
ชายวัยกลางคนท่าทางสุภาพผู้สวมชุดบัณฑิตสีขาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดในกลุ่มสังเกตค่ายกลยักษ์อยู่ครู่หนึ่งก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ
“เร็วกว่าที่คาดไว้ไม่น้อย ดูท่าพวกเราก็คงต้องรีบสักหน่อยแล้ว”
……
สุดฝั่งตะวันตกของแผ่นดินจงเทียน ณ เทือกเขาสูงตระหง่านทอดยาวพันลี้สีดำสนิททั้งเทือกเขาแห่งหนึ่ง
บนปรัมพิธีเหนือยอดเขาขนาดยักษ์ที่ถูกปราณดำพลุ่งพล่านห้อมล้อมไว้แห่งหนึ่ง สายลมเย็นเยียบพัดมาเป็นระลอก ทรายสีเทาม้วนตลบ
เวลานี้เสาแสงสีดำมหึมาต้นหนึ่งพุ่งจากปรัมพิธีขึ้นไปยังท้องฟ้า ตรงเข้าไปในชั้นเมฆ
“ดี! ดียิ่ง! ในที่สุดข้าก็มีชีวิตอยู่รอจนมาถึงวันนี้แล้ว!” บนปรัมพิธี เงาร่างสูงใหญ่ที่ทั้งร่างถูกปราณสีดำวนล้อมจนมองเห็นใบหน้าไม่ชัดแม้แต่น้อยร่างหนึ่งหัวเราะลั่นแล้วเอ่ยขึ้นมา
หลังร่างเขา มีเงาร่างที่ปราณดำวนเวียนรอบร่างอีกหลายร่างยืนอยู่เช่นเดียวกัน
“ใช่แล้ว อู๋กวัง หลงเซวียนเตรียมพร้อมแล้วไหม?” ทันใดนั้น เสียงหัวเราะของเขาก็เงียบไปแล้วหันไปถามคนด้านข้าง
“ท่านประมุขโปรดวางใจ หลังจากเก็บตัวช่วงเวลานี้ วิชาวิญญาณมารชิงหยางของหลงเซวียนก็แข็งแกร่งแล้ว ครั้งนี้จะต้องแสดงฝีมือได้อย่างเยี่ยมยอดแน่นอน!” ปราณดำบนใบหน้าของคนผู้นั้นไหลเคลื่อน พร้อมกับที่เสียงชราเสียงหนึ่งเอ่ยออกมาเช่นนี้
……
ในเวลาเดียวกัน ณ สถานที่ต้องห้ามของกลุ่มอำนาจใหญ่อันดับหนึ่งของแผ่นดินจงเทียนเช่น นิกายเทียนกง หุบเขาปีศาจสวรรค์และหอเป๋ยโต่วเป็นต้น ส่วนใหญ่ล้วนเกิดปรากฏการณ์ประหลาด สถานการณ์คล้ายคลึงกับนิกายยอดบริสุทธิ์
เมื่อผู้นำของกลุ่มอำนาจใหญ่เห็นภาพเช่นนี้ พวกเขาต่างวางเรื่องอื่นที่อยู่ในมือทันที
หลังจากนั้นแต่ละนิกายก็ส่งคำสั่งลงไป นิกายใหญ่เหล่านี้ตั้งแต่บนจรดล่างล้วนเคลื่อนไหว
ไม่นานกลุ่มอำนาจขนาดกลางและขนาดเล็กจำนวนหนึ่งของแผ่นดินจงเทียนก็สังเกตเห็นสภาพประหลาดนี้ โลกแห่งการฝึกฝนของทั้งแผ่นดินจงเทียนอบอวลไปด้วยบรรยากาศตื่นเต้น
…..
เทือกเขาขนาดกลางของแผ่นดินจงเทียนที่กินพื้นที่ไม่ใหญ่บริเวณเพียงพันกว่ากิโลเมตรแห่งหนึ่งมีชื่อว่าเขาจิ่วชวี เพราะมันมียอดเขาหลักเก้ายอดเรียงติดกันประหนึ่งคลื่นเก้าลูกบนผิวทะเล
เวลานี้บนยอดของยอดเขาหลักลูกหนึ่งของเขาจิ่วชวี ค่ายกลสีทองขนาดหลายสิบจั้งค่ายกลหนึ่งครอบยอดเขาเกือบครึ่งลูกไว้
ด้านในค่ายกลขังหนูยักษ์สีทองขนาดสี่ห้าจั้งที่ดูเหมือนวัวตัวยักษ์ตัวหนึ่งไว้ ดวงตาสองข้างของมันปรากฏสีแดงดุจโลหิต สำรวจแต่ละจุดของค่ายกลใหญ่ด้วยสายตาเย็นชา
หากมีผู้ฝึกฝนคนอื่นอยู่ที่นี่จะต้องรู้ได้ทันทีแน่นอนว่าหนูยักษ์สีทองตัวนี้ก็คือราชาหนูมุดดินขนทองระดับแก่นแท้ที่หายากอย่างยิ่ง
ราชาหนูตัวนี้พูดถึงเพียงพลังโจมตี ในหมู่ปีศาจอสูรระดับแก่นแท้ไม่ได้อยู่ค่อนไปทางลำดับแรกๆ แต่นิสัยของมันเจ้าเล่ห์ช่างระแวง นอกจากนี้ยังเคลื่อนไหวเร็วอย่างที่สุด แล้วยังมีพรสวรรค์ในการขุดดิน เมื่ออยู่บนเขตภูเขาและเนินเขามันประหนึ่งปลาได้น้ำ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในปีศาจอสูรระดับสูงไม่กี่ชนิดที่ล่ายากที่สุดในเขตนี้
เวลานี้หลิ่วหมิงผู้สวมชุดสีน้ำเงินทั้งร่างกำลังลอยอยู่กลางท้องฟ้านิ่งไม่ขยับ ปราณดำวนเวียนรอบร่าง สองแขนหนาขึ้นกว่าปกติเท่าหนึ่งในฉับพลัน สีหน้าเคร่งขรึม ส่วนปากก็เอ่ยท่องมนตร์
ข้างใต้ตัวหลิ่วหมิง เซียเอ๋อร์ที่สวมชุดตาข่ายดำกับเฟยเอ๋อร์เด็กน้อยชุดเขียวต่างถือธงคำสั่งที่ส่องแสงสีทองเรืองรองผืนหนึ่งลอยอยู่กลางท้องฟ้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึมดุจเดียวกันอยู่ใกล้ๆ ค่ายกล
ทันใดนั้นหนูยักษ์สีทองที่ถูกขังอยู่ในค่ายกลก็ฉายแสงสีทองออกมาจากในดวงตา ร่างกายขยับวูบหนึ่งพลันกลายเป็นแสงสีทองแสบตาสายหนึ่ง พุ่งเร็วรี่ไปยังมุมหนึ่งของค่ายกลใหญ่
เสียง “ปัง” ดังสนั่น!
ค่ายกลสีทองส่องแสงสว่างขึ้นมาพักหนึ่ง ร่ายกายของหนูยักษ์ก็ถูกดีดปลิวออกไปไกล กระแทกลงบนพื้นหนักหน่วงแล้วส่งเสียงดัง “ตึง” เหมือนตีกลอง บนพื้นปรากฏแสงสีทองชั้นหนึ่งลอยขึ้นมา
ธงคำสั่งสีทองในมือเซียเอ๋อร์ทอแสงสีทองวิบวับพักหนึ่ง ใบหน้างามของนางเคร่งเครียด ในมือยิงเคล็ดวิชาหลายสายต่อเนื่องลงบนธงคำสั่ง ตอนนี้ค่ายกลสีทองถึงมั่นคง
“เซียเอ๋อร์ เจ้าต้องจับตาให้ดี หนูยักษ์ตัวนี้เจ้านายเสียเวลาตั้งมากเชียวนะกว่าจะล่อมาถึงที่นี่ได้ ปล่อยให้มันหนีไปไม่ได้เด็ดขาด” เสียงเด็กน้อยของเฟยเอ๋อร์ดังขึ้นมา
“ข้ารู้อยู่แล้ว ต้องให้เจ้าพูดมากรึ!” เซียเอ๋อร์เบ้ปากแล้วเอ่ยตอบเช่นนี้
หลิ่วหมิงทำเหมือนมองไม่เห็นสถานการณ์เบื้องล่าง บนใบหน้าสีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด สองแขนส่งเสียงดังกึกๆ ออกมา ขณะที่ปราณดำวนเวียนหนาทึบยิ่งกว่าเดิม
เวลานี้เขากำลังนิ่งรอโอกาสลงมือ พร้อมกันนั้นก็ฝึกอสูรเลี้ยงสองตัวให้ควบคุมค่ายกลโปรดสัตว์อันนี้ด้วย แม้ทั้งสองตัวไม่ชำนาญนัก แต่หากได้ควบคุมสักหลายครั้ง หลังจากนี้ระหว่างการต่อสู้คงจะทำประโยชน์ให้เขาได้ไม่น้อยแน่นอน
ในเวลานี้เอง ธงค่ายกลในมือเซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์ก็ชี้ไปยังค่ายกลใหญ่สีทองพร้อมกัน ยิงลำแสงสีทองหนาเท่าชามข้าวสองสายออกมา ค่ายกลใหญ่สีทองสั่นไหวทันที ขนาดค่ายกลฉับพลันหดเล็กลงไปรอบหนึ่ง แสงสีทองที่ค่ายกลแผ่ออกมาเข้มทึบขึ้นอีกมาก
“จี๊ด จี๊ด!”
ทันใดนั้นหนูยักษ์สีทองด้านในก็ส่งเสียงกรีดร้องร้อนรนพักหนึ่ง บนร่างฉับพลันมีแสงสีน้ำตาลทองลอยออกมา ร่างกายมุดหนีลงไปใต้ดิน
เฟยเอ๋อร์กับเซียเอ๋อร์เห็นเช่นนี้ ปากก็ท่องมนตร์อย่างรวดเร็ว ธงค่ายกลในมือเปล่งแสงสว่างจ้าแล้วโบกสะบัดอีกครั้ง แสงสีทองบนพื้นด้านในค่ายกลเข้มขึ้นอีกหลายส่วนทันที
ร่างกายของหนูยักษ์สีทองมุดเข้าไปได้เพียงครึ่งฉื่อก็ถูกแสงสีทองขวางไว้
ราชาหนูตัวนี้เหมือนจะสัมผัสได้ว่าชีวิตถูกคุกคาม ท้องอ้วนกลมฉับพลันบวมพองขึ้นมา มันส่งเสียงร้องไม่หยุด ขนแข็งสีทองเส้นแล้วเส้นเล่าบนร่างตั้งตรงดุจกระบี่คม
หลังจากนั้นเสียง “ฉึก” ก็ดังสนั่น ขนแข็งสีทองทยอยพุ่งรวดเร็วออกมา โจมตีลงบนเกราะแสงรอบด้าน
เกราะแสงส่งเสียงปึงปังดังกึกก้อง ค่ายกลใหญ่ทั้งค่ายกลล้วนสั่นไหวรุนแรงตามไปด้วย
เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์เห็นเช่นนี้ก็สีหน้าเปลี่ยนไปทันที พวกมันกรอกพลังเวทเพิ่มเข้าไปอีกก้อนใหญ่ แสงสีทองที่ส่องออกมาจากกธงค่ายกลในมือจากที่หนาเท่าข้อมือกลายเป็นหนาขึ้นหลายเท่าทันที
เกราะแสงสีทองมั่นคงอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางลำแสงระยิบระยับ มีเสียงระฆังและเสียงสวดภาษาสันสกฤตดังลอยมาอยู่เลือนราง จากนั้นพื้นที่ก็หดเล็กลงตามอีกรอบหนึ่ง
ราชาหนูมุดดินขนทองยิ่งร้อนรน เสียงร้องยาวยิ่งแสบแก้วหูขึ้นทุกที พร้อมกันนั้นมันก็พุ่งสะเปะสะปะชนในค่ายกล ขนแข็งๆ บนร่างงอกยาวออกมาไม่หยุด จากนั้นครู่หนึ่งก็พุ่งเร็วรี่ออกมาอีกครั้ง
แสงสว่างที่มหาค่ายกลโปรดสัตว์ส่องออกมาเวลานี้ยิ่งเจิดจ้า กลบทับเงาร่างของหนูยักษ์สีทองให้จมมิดอยู่ด้านใน
หลังจากเป็นเช่นนี้อยู่สองชั่วยาม ค่ายกลขนาดใหญ่สีทองก็หดลงจนมีขนาดเพียงไม่กี่จั้ง แสงสีทองแทบจะรวมกันจนกลายเป็นเนื้อสาร ด้านในค่ายกลใหญ่ราชาหนูมุดดินขนทองตัวนั้นผลาญพลังเวทหมดสิ้นหายใจรวยริน ไม่มีทีท่าดุร้ายเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้มุมปากก็โค้งขึ้นเล็กน้อย สองแขนยื่นมา ทันใดนั้นมังกรสีดำสนิทประหนึ่งหมึกสองตัวก็หลุดออกมาจากแขน ส่งเสียงมังกรคำรามร่วงลงมาจากท้องฟ้า ทะลวงผ่านค่ายกลสีทองเข้าใส่หัวของหนูยักษ์สีทองโดยไม่ถูกขวางกั้นแม้แต่น้อย
ราชาหนูมุดดินขนทองเห็นเช่นนี้ ในดวงตาทั้งสองข้างพลันฉายแววบ้าคลั่ง แสงสีทองบนร่างฉับพลันส่องสว่าง พลังเวททั้งร่างรวมไปอยู่ที่ทะเลจิตวิญญาณตรงท้องอย่างรวดเร็ว
“ตอนนี้ยังคิดจะระเบิดแก่นแท้ของตนเองอีก! เฟยเอ๋อร์ เซียเอ๋อร์คุมค่ายกลไว้!” ม่านตาของหลิ่วหมิงหดเล็กลง แล้วส่งกระแสจิตให้ทั้งสองตัวด้านล่างอย่างเร็วไว
เสียง “บึ๊ม” ดังขึ้นทีหนึ่ง!
แสงสีทองของมหาค่ายกลโปรดสัตว์ฉับพลันบิดเบี้ยวสั่นไหวพักหนึ่ง ราชาหนูมุดดินรู้สึกว่าพลังมหาศาลบีบเข้ามาจากสี่ทิศแปดด้าน แสงสีทองบนร่างเชื่องช้าลงในบัดดล!
จากนั้นเสียง “ปัง” ก็ระเบิดดังกึกก้องลอยมา!
มังกรหมอกสองตัวร่วงลงบนส่วนหัวของหนูยักษ์สีทองอย่างแม่นยำไม่มีพลาด พริบตาเดียวก็โจมตีมันจนกระจุยเป็นชิ้นๆ จิตวิญญาณของราชาหนูมุดดินขนทองไม่ทันหนีออกมาก็ดับสูญไปทันที
หลิ่วหมิงเห็นภาพนี้ก็โล่งอก ริมฝีปากขยับเล็กน้อยส่งกระแสจิตหาเฟยเอ๋อร์กับเซียเอ๋อร์สองสามประโยค