ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 900 ความโกลาหล
“ที่แห่งนี้คือเศษซากของโลกบนหรือ ดูแล้วก็ไม่เห็นมีตรงไหนพิเศษ” บัณฑิตหุบพัดดังปั้บตบลงกลางฝ่ามือแล้วเอ่ยกับตนเองด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
ศิษย์คนอื่นของนิกายปีศาจลี้ลับนอกจากหลงเซวียนแล้วล้วนมองแผ่นหลังของบัณฑิตด้วยดวงตาหวาดกลัวเล็กน้อย
“สหายถูกู ในเมื่อมาถึงเศษซากของโลกบนแล้ว พวกเราก็ขอลาตรงนี้” บุรุษซูบผอมชุดแดงคนหนึ่งเหาะออกมาจากกลุ่มผู้ฝึกฝนนิกายอื่นเจ็ดคนนั้นแล้วหยุดยืนห่างจากบัณฑิตไปด้านหน้าหนึ่งจั้งกว่า จากนั้นประสานมือเอ่ยขึ้น
“อ้อ พี่เฟิงนี่เอง ไยต้องแยกกันเดินทาง ทุกคนร่วมค้นหาสมบัติด้วยกันไม่ดีหรือ” ชายผู้สวมชุดบัณฑิตเผยรอยยิ้มประหลาดแลดูชั่วร้ายพร้อมกับเลิกคิ้วเรียวขึ้น
“ไม่จำเป็น สหายนิกายปีศาจลี้ลับทุกท่านพลังสูงส่งแข็งแกร่ง พวกเราคนเหล่านี้ติดตามไปรังแต่จะขวางมือขวางเท้า ไม่รบกวนทุกท่านจะดีกว่า” บุรุษชุดแดงหางตากระตุก ฝืนหัวเราะครั้งหนึ่งแล้วตอบออกมา
“ก็ได้ ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็แยกกันชั่วคราว รอหนึ่งปีให้หลัง ทุกท่านค่อยกลับมารวมตัวกันที่นี่แล้วกัน” ชายผู้สวมชุดบัณฑิตสายตาเปล่งประกายวูบหนึ่ง บนใบหน้าเผยรอยยิ้มอ่อนโยนจางๆ
บุรุษชุดแดงได้ฟังก็ยินดียิ่ง เขาประสานมือคำนับอีกครั้ง ร่างกายขยับหมายจะเหาะจากไป
ทว่าเขาเพิ่งหันกาย ตรงท้องน้อยฉับพลันก็เย็นวูบ ฝ่ามือข้างหนึ่งแทงทะลุทะเลจิตวิญญาณของเขา เลือดทะลักออกมาย้อมชุดสีแดงบนร่างเขาให้สีสดยิ่งกว่าเดิมในทันที
เรี่ยวแรงในร่างบุรุษชุดแดงคล้ายถูกสูบออกไปจนแห้งเหือดในพริบตา เขาหันศีรษะกลับมาอย่างยากเย็น
ชายผู้สวมชุดบัณฑิตยืนชิดร่างเขา มุมปากประดับรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม
“เจ้า…นิกายของพวกเรามอบบรรณาการให้การเดินทางครั้งนี้แล้ว…” บุรุษชุดแดงอ้าปาก เลือดมากมายทะลักออกมาในทันใด
“จิ๊ๆ พวกเราไม่ได้พาพวกเจ้าเข้ามาตามสัญญาแล้วหรือ? แต่พริบตาที่เหยียบลงบนเศษซากของโลกบนแห่งนี้ ระหว่างเจ้ากับข้าก็คือศัตรูที่เข่นฆ่าเอาชีวิตกันแล้ว ยังจะมีใครที่ไหนบอกลาอย่างมีมารยาทกับศัตรูอีก!” ชายผู้สวมชุดบัณฑิตหัวเราะเย้ยหยัน เพลิงมารสีดำสายหนึ่งผุดขึ้นในมือโดยฉับพลัน
ร่างกายของบุรุษชุดแดงหดเล็กลงเรื่อยๆ ท่ามกลางเพลิงมารแล้วสลายเป็นความว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว
เหตุการณ์ไม่คาดคิดเหล่านี้เกิดขึ้นกะทันหัน ผู้ฝึกฝนคนอื่นจากต่างนิกายที่อยู่ห่างไปไกลเห็นภาพนี้ล้วนตกตะลึงยิ่งนัก มีสองคนหัวไวร่างกายขยับวูบหนึ่งกลายเป็นแสงสีแดงสองสายเหาะหนีเอาชีวิตรอดจากไปไกลทันที
ชายผู้สวมชุดบัณฑิตหัวเราะหยัน เขาไม่ได้มองสองคนที่หนีไปแต่พลิกฝ่ามือตบครั้งหนึ่ง เพลิงมารสีดำสนิทแถบหนึ่งพลันปรากฏห่างออกไปไกล ล้อมผู้ฝึกฝนนิกายอื่นที่เหลือซึ่งตอบสนองไม่ทันไว้ด้านใน
“อ้าก…” ผู้ฝึกฝนหลายคนถูกเพลิงมารสีดำล้อมก็ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนออกมาในทันใด กลิ่นไหม้กระจายออกมาในทันที
เพลิงสีดำลุกไหม้รุนแรงอยู่สองสามครั้ง เห็นชัดว่าคนด้านในพยายามใช้วิชาหมายจะทลายเพลิงมารหนีออกมา
ทว่าเพลิงมารสีดำไม่รู้เป็นพลังมหัศจรรย์อันใด เปลวเพลิงทนทายาดอย่างน่าประหลาด ไม่เพียงไม่ถูกทำลายตรงกันข้ามกลับลุกโหมยิ่งกว่าเดิม เวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ ด้านในก็ไม่มีเสียงลมหายใจอีก
อีกด้านหนึ่งบุรุษผู้สวมชุดต้าฉ่างสีดำผู้นั้นก็หัวเราะหยันขึ้นครั้งหนึ่งแล้วกลายร่างเป็นรุ้งสีดำสนิทสายหนึ่งพุ่งรวดเร็วออกไป เวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจเขาก็ปรากฏตัวด้านหลังคนสองคนที่หนีไปก่อนซึ่งตอนนี้กลายเป็นจุดสีดำสองจุดตรงขอบฟ้า
หลังจากเสียงกรีดร้องชวนขนลุกสองสายดังขึ้นไกลๆ จุดสีดำสองจุดก็ร่วงจากท้องฟ้า ระหว่างที่หล่นลงไปเบื้องล่างก็กร่อนสลายราวกับถูกละลายปลิวกระจายไปตามสายลม
ครู่ต่อมาทุกคนก็รู้สึกว่าเบื้องหน้ามีแสงสีดำสว่างขึ้นวูบหนึ่ง บุรุษผู้สวมเสื้อคลุมต้าฉ่างสีดำผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นข้างกายชายผู้สวมชุดบัณฑิต
“เพลิงมารผลาญฟ้าของศิษย์พี่โจวกับศิษย์พี่ถูบรรลุถึงระดับสุดยอดแล้ว ดูท่าอีกไม่นานศิษย์พี่ทั้งสองท่านคงจะได้ลองทะลวงสู่ระดับดาราพยากรณ์” ศิษย์นิกายปีศาจลี้ลับร่างเตี้ยคนหนึ่งก้าวมาข้างหน้าแล้วเอ่ยประจบ
“วาจาไร้ประโยชน์ไม่ต้องพูด ตอนนี้กำจัดคนนอกหมดสิ้นแล้ว ต่อจากนี้พวกเราจะทำตามที่วางแผนไว้ พวกเราสองคนแต่ละคนจะนำศิษย์สี่คน หลงเซวียนเจ้านำสี่คนที่เหลือ หนึ่งปีให้หลังมารวมตัวกันที่นี่” ชายผู้สวมชุดบัณฑิตมองบุรุษร่างเตี้ยด้วยสายตาเย็นชาจากนั้นอ้าปากเอ่ยขึ้น
หนึ่งเค่อให้หลัง ผู้คนของนิกายปีศาจลี้ลับพลันกลายเป็นเมฆดำสามแถบมุ่งเร็วรี่ไปยังสามทิศทางที่แตกต่างกัน
……
บนท้องฟ้าเหนือทะเลทรายลมพัดหอบทรายสีดำขึ้นมาเต็มท้องฟ้าแห่งหนึ่ง ลำแสงหลายสิบสายพาดผ่านท้องฟ้าไป ในลำแสงคือบัณฑิตที่สวมชุดบัณฑิตสีขาวยี่สิบกว่าคน พวกเขาก็คือศิษย์ของสำนักเฮ่าหรานหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่จากแผ่นดินจงเทียนนั่นเอง
เนินทรายสูงสิบกว่าจั้งลูกหนึ่งเบื้องหน้าฉับพลันระเบิดออก เมฆดำมากมายแถบหนึ่งบินออกมาจากด้านใน กลางเมฆดำคือปลวกสีดำนับไม่ถ้วนส่งเสียงดังหึ่งๆ ชวนให้คนขนหัวลุก บินโถมเข้ามาหาคนของสำนักเฮ่าหราน
ศิษย์ทั้งหลายของสำนักเฮ่าหรานแรกสุดตกตะลึง ขบวนที่เดิมทีเป็นระเบียบฉับพลันวุ่นวายเล็กน้อย
แต่อย่างไรพวกเขาก็เป็นศิษย์ของสำนักชื่อดังจึงปรับขบวนกลับมาเรียบร้อยได้เร็วอย่างยิ่ง พวกเขาส่งเสียงตะโกนเสียงดัง จากนั้นแสงรัศมีหลากสีสันก็พุ่งเร็วรี่เข้ารบดุเดือดกับปลวกสีดำทันที
……
ใกล้กับยอดเขาสูงชันที่รอบด้านเต็มไปด้วยไอหมอกสีขาวขมุกขมัวแห่งหนึ่ง ฉับพลันไอหมอกก็ปั่นป่วนรุนแรง
เสียง “กึกๆ” ดังเอะอะออกมา!
ครู่ต่อมาหุ่นมนุษย์สูงใหญ่ขนาดหนึ่งจั้งกว่าเจ็ดแปดตัวก็ก้าวยาววิ่งออกมาจากกลางหมอกสีขาว แต่ละก้าวก้าวออกไปสิบกว่าจั้ง หนีไปไกลอย่างเร็วไว
วิ้ง วิ้ง วิ้ง!
ท่ามกลางหมอกสีขาวเสียงวิ้งประหลาดดังออกมาอีกระลอก หลังจากนั้นผีเสื้อกลางคืนยักษ์มากมายฝูงใหญ่ก็บินออกมาจากด้านใน แต่ละตัวขนาดเท่าศีรษะมนุษย์ ร่างกายสีเหมือนผลึกน้ำแข็ง แผ่กลิ่นอายเย็นยะเยือกเสียดกระดูกออกมา
ทันใดนั้นผีเสื้อกลางคืนสิบกว่าตัวด้านหน้าสุดก็พ่นลมหายใจเย็นเยียบสายแล้วสายเล่าออกมากะทันหัน แผ่นหลังของหุ่นหลายตัวสัมผัสถูกลมหายใจก็จับตัวแข็งเป็นน้ำแข็งเย็นยะเยือกชั้นหนึ่ง
หลังผีเสื้อกลางคืนเหล่านี้พ่นลมหายใจออกมา ความเร็วก็เชื่องช้าลงถูกผีเสื้อกลางคืนด้านหลังแซงผ่านไป
เมื่อเป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้ง หนึ่งในสามส่วนบนแผ่นหลังของหุ่นมนุษย์เจ็ดแปดตัวนี้ก็ถูกน้ำแข็งปกคลุมเป็นชั้น
ยังดีที่หุ่นมนุษย์มีขนาดตัวใหญ่ จุดที่น้ำแข็งเย็นปกคลุมจึงไม่ส่งผลกับการเคลื่อนไหว เมื่อหุ่นมนุษย์เหล่านี้วิ่งเร็วขึ้น ก็ค่อยๆ สลัดผีเสื้อกลางคืนผลึกน้ำแข็งไว้ด้านหลังร่าง
หลังจากผีเสื้อกลางคืนผลึกน้ำแข็งไล่ตามมาพักหนึ่งก็เห็นหุ่นค่อยๆ หายลับไปจากสายตา พวกมันจึงบินวนกลางท้องฟ้าครู่หนึ่งก่อนจะเลี้ยวเปลี่ยนทิศบินกลับไปในไอหมอกสีขาวของยอดเขา
หุ่นมนุษย์เหล่านี้หนีออกมาได้หลายสิบลี้ถึงหยุดอยู่ในหุบเขาแห่งหนึ่ง
จากนั้นเงาร่างมนุษย์ร่างหนึ่งและอีกร่างหนึ่งก็ร่อนลงมาจากศีรษะหุ่น ด้านในหุ่นแต่ละตัวล้วนซ่อนคนไว้สามถึงสี่คน
ครู่เดียวที่แห่งนั้นก็มีคนเพิ่มขึ้นมายี่สิบกว่าคน คนส่วนใหญ่ในกลุ่มสวมเสื้อตัวสั้นเปลือยแขนสีเหลือง เห็นชัดว่าเป็นศิษย์นิกายเทียนกง
ในเวลาเดียวกันหลังจากด้านในหุ่นมนุษย์เจ็ดแปดตัวส่งเสียงดังกึกๆ พวกมันก็ทยอยกลายเป็นลูกกลมลูกแล้วลูกเล่า แล้วถูกศิษย์หลายคนเก็บไป
เวลานี้บนร่างคนส่วนใหญ่ล้วนมีบาดแผลมากบ้างน้อยบ้าง แต่เหมือนจะเป็นแค่บาดแผลภายนอก พวกเขาอ้าปากกว้างหอบหายใจ
บังเอิญว่าสถานที่ซึ่งพวกเขาเคลื่อนย้ายเข้ามาในเศษซากของโลกบนอยู่ใกล้กับปีศาจอสูรผีเสื้อกลางคืนผลึกน้ำแข็งระดับผลึกฝูงหนึ่ง
การเคลื่อนไหวใหญ่โตของการเคลื่อนย้ายล่อผีเสื้อกลางคืนเหล่านี้เข้ามา หากไม่ใช่เพราะผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้สองคนที่เป็นผู้นำกลุ่มต้านไว้พักหนึ่ง เกรงว่าศิษย์นิกายเทียนกงเหล่านี้คงถูกปีศาจอสูรผีเสื้อกลางคืนสังหารเสียสิ้นระหว่างที่หมดสติอยู่ไปแล้ว
“ศิษย์น้องทุกคน แม้โชคของพวกเราไม่นับว่าดีนัก แต่อย่างไรก็ยังไม่มีคนบาดเจ็บล้มตาย ยังนับว่าโชคดีในโชคไม่ดี” บุรุษหัวล้านคนหนึ่งลูบศีรษะแล้วเอ่ยเสียงดัง
“ไม่ผิด พวกเรายังต้องอยู่ในเศษซากของโลกบนอีกนาน หาสถานที่สักแห่งพักรักษาตัวสักหน่อยแล้วค่อยๆ สำรวจที่แห่งนี้เถอะ” ผู้ที่พูดคือชายฉกรรจ์หน้าเหลี่ยมรูปร่างกำยำคนหนึ่ง
ทั้งสองคนล้วนพลังระดับแก่นแท้แล้วก็เป็นผู้นำคณะเดินทางค้นหาสมบัติครั้งนี้ของนิกายเทียนกงด้วย
ศิษย์นิกายเทียนกงคนอื่นได้ยินล้วนฮึกเหิม ท่ามกลางกลุ่มคนเยี่ยโจ่งชายหนุ่มรถเงินก็อยู่ที่นี่ด้วย แต่กลับไม่เห็นเงาของเผิงเยวี่ย
……
บนที่ราบระหว่างหุบเขาอันห่างไกลแห่งหนึ่ง แสงจิตวิญญาณส่องสว่างเหนือท้องนภารอบด้าน เสียงพลังเวทรุนแรงปะทะกันดังขึ้นไม่ขาดหู
สองฝั่งที่ต่อสู้กันอยู่ ฝั่งหนึ่งคือปีศาจอสูรหมาป่าสีน้ำเงินร่างยักษ์ขนาดยี่สิบกว่าจั้งสองตัว ส่วนอีกฝั่งหนึ่งคือผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจที่สวมชุดสีเขียวกลุ่มหนึ่ง ดูจากการแต่งกายแล้วคงเป็นผู้ฝึกฝนที่มาจากหุบเขาปีศาจสวรรค์
หลังร่างปีศาจอสูรหมาป่าสีน้ำเงินขนาดยักษ์สองตัวคือถ้ำขนาดยักษ์สูงถึงสามสิบกว่าจั้งแห่งหนึ่ง ลึกเข้าไปในถ้ำภูเขาคล้ายมีแสงสีแดงเลือนราง กลิ่นหอมหวานชวนให้คนลุ่มหลงสายแล้วสายเล่าลอยล่องออกมาเป็นระลอก
……
พร้อมกับที่เวลาเคลื่อนคล้อย ศิษย์ของกลุ่มอำนาจใหญ่ต่างๆ บนแผ่นดินจงเทียนที่มีความสามารถพอจะเข้ามาในเศษซากของโลกบนต่างก็ทยอยเข้ามาด้านใน แล้วเริ่มต้นการเดินทางค้นหาสมบัติของแต่ละกลุ่ม
คณะเดินทางนิกายยอดบริสุทธิ์ของหลิ่วหมิง หลังออกมาจากทะเลทรายเวิ้งว้างผืนนั้นตอนตั้งต้น หน้าตาภูมิประเทศเบื้องหน้าก็ค่อยๆ กลายเป็นเขตเนินเขา พื้นดินเริ่มมีพืชพันธุ์สีเขียวจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้น เพิ่มกลิ่นอายชีวิตให้แก่ดินแดนอันรกร้างแห่งนี้ขึ้นมาบ้าง
นอกจากพี่น้องโอวหยางที่ยังคงอยู่ในกลุ่มของนิกายยอดบริสุทธิ์ คนจากนิกายอื่นอีกสามคนที่เหลือไม่รู้ออกจากกลุ่มไปตั้งแต่เมื่อไร
“รอประเดี๋ยว!” จินเทียนชื่อที่บินอยู่ด้านหน้าสุดฉับพลันสะบัดแขนเสื้อแล้วหยุดการเคลื่อนที่
ผู้คนด้านหลังเห็นเช่นนี้ก็พากันหยุดลำแสง
“ศิษย์พี่จิน เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?” ฉิวหลงจื่อที่เดิมทีอยู่ท้ายขบวนขมวดคิ้วเข้ม ทะยานร่างเหาะเข้ามาพลางเฝ้าระวังสภาพรอบด้าน แล้วเอ่ยถามขึ้นเช่นนี้
“ศิษย์น้องฉิวอย่าเพิ่งตระหนก ไม่ใช่ศัตรูลอบโจมตี แต่ท้องฟ้าไกลออกไปทางทิศตะวันตกเกิดปรากฏการณ์ประหลาดเล็กน้อย ข้าสัมผัสได้เลือนรางว่าคลื่นปราณจิตวิญญาณด้านนั้นผิดปกติ” จินเทียนชื่อหมุนตัวหันหน้าไปทางตะวันตกแล้วเอ่ยขึ้นนิ่งๆ
ทุกคนได้ยินก็ตกตะลึงพากันหันศีรษะมองไปยังขอบฟ้าทางทิศตะวันตก ที่ตรงนั้นม่านนภามืดสลัวทอดตัวลงมาแต่ไม่มีสิ่งผิดปกติอย่างใด
ในดวงตาของฉิวหลงจื่อมีแสงสีทองฉายสว่าง ทันใดนั้นแสงสีทองยาวหนึ่งฉื่อกว่าสองสายก็โผล่ออกมา เขากวาดสายตามองไปด้านหน้า ชั่วครู่ให้หลังจึงส่ายศีรษะเพราะมองไม่เห็นสิ่งใด
“ที่นั่นห่างจากที่นี่ไกลนัก เกรงว่าจะห่างเกินพันลี้ ข้าก็ใช้วิชาเพ่งปราณถึงสัมผัสสภาพผิดปกติได้เลือนราง น่าจะเป็นสัญญาณการปรากฏตัวของสมบัติพิเศษ” จินเทียนชื่อเห็นสีหน้าของทุกคนก็ยิ้มบางๆ
“สมบัติพิเศษ!” ทุกคนที่นั่นได้ยินคำนี้ ในใจล้วนฮึกเหิมขึ้นมา
“หากทุกท่านเชื่อมั่นในสายตาของข้า ไม่สู้ไปที่นั่นสำรวจดูสักหน บางทีอาจมีลาภก้อนใหญ่” สายตาของจินเทียนชื่อกวาดผ่านทุกคนไป
“ในเมื่อศิษย์พี่เอ่ยเช่นนี้ ไปดูสักหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไร อย่างไรตอนนี้เดินทางไปที่ไหนก็ล้วนเหมือนกัน” ฉิวหลงจื่อครุ่นคิดเล็กน้อยก็พยักหน้าตอบ
คนอื่นๆ เห็นหัวหน้าทั้งสองคนเอ่ยเช่นนี้ย่อมไม่มีความคิดเห็นอันใด ทุกคนเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางเหาะไปทางตะวันตกทันที
หลิ่วหมิงเหาะอยู่ท่ามกลางหมู่คน ขณะเดียวกันก็เคลื่อนพลังเวทใช้วิชาอนธการค้นวิญญาณช้าๆ ในดวงตาเกิดประกายแสงสีหม่นวูบหนึ่ง
ชั่วครู่ให้หลังลูกตาของเขาก็จับภาพแสงเรืองรองสีน้ำเงินสายเล็กๆ สีสันอ่อนจางอย่างที่สุดกลางท้องนภาทิศตะวันตกซึ่งปะปนอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆจนแทบแยกไม่ออกได้ ในใจพลันยินดีทันที
“มีอะไร พี่หลิ่วเห็นสิ่งผิดปกติอันใดหรือ?” โอวหยางเชี่ยนที่อยู่ข้างกายหลิ่วหมิงตลอด สังเกตเห็นวิชาของเขาในทันใด จึงอดไม่อยู่อ้าปากเอ่ยถามออกมา