ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 905 สลัดหลุด
หลิ่วหมิงเผชิญหน้ากับการโจมตีที่มาเยือนกะทันหัน แต่เหมือนเขาคาดเดาเอาไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว เขาเพียงแค่นเสียงหยันทีหนึ่ง ร่างกายท่ามกลางปราณสีดำพลันสั่นไหวกลายเป็นเงามายาสีเงินดำที่หน้าตาเหมือนกันทุกประการสี่ร่าง พุ่งหายวับไปสี่ทิศ หนีพ้นจากเงากรงเล็บที่ห้อมล้อมในพริบตา
สองตาของค้างคาวยักษ์ทอประกายสีเลือด ทันใดนั้นมันก็กรีดร้องเสียงแหลมอย่างเกรี้ยวกราด แสงสีเลือดที่แผ่ออกมารอบร่างรวมกันเป็นก้อน ขดขมวดกลายเป็นลูกบอลแสงสีเลือดลูกหนึ่งดัง “ฟึบ” จากนั้นก็ระเบิดตัวเอง
แสงสีเลือดนับไม่ถ้วนพุ่งพรวดออกไปสี่ด้านแปดทิศพร้อมกับเสียงแหวกอากาศ กระทั่งปีศาจค้างคาวบางส่วนที่ไล่ตามติดอยู่ด้านหลังก็ถูกลูกหลงไปด้วย พวกมันพากันกรีดร้องโหยหวน เพลิงสีเลือดประหลาดลุกไหม้บนร่างร่วงลงมาจากท้องฟ้า
เงาดำที่หนีไปไกลสามร่างถูกแสงสีเลือดทะลุผ่านในพริบตาแล้วสลายกลายเป็นปราณดำหายไป
มีเพียงร่างเดียวที่ปราณดำรอบร่างฉับพลันลุกโหม ก่อตัวเป็นเกราะแสงสีดำชั้นหนึ่งปกป้องทั้งร่างเอาไว้
ฟึบ ฟึบ ฟึบ!
แสงสีเลือดสิบกว่าสายทยอยโจมตีบนเกราะแสงแต่ไม่มีเสียงพลังเวทกระแทกอย่างที่คาด แสงสีเลือดกลับส่องสว่างวูบหนึ่งผสานเข้าไปในเกราะแสง
ร่างกายของหลิ่วหมิงเย็นวาบ เขารู้สึกได้ทันทีว่าพลังงานประหลาดสายหนึ่งแทรกเข้ามาจากด้านนอกเกราะแสงสีดำแล้วหายวับไปในร่างกายอย่างรวดเร็ว ทำให้แขนขาของเขาแข็งทื่อทันที กระทั่งการโคจรของพลังเวทในร่างก็เริ่มติดขัดด้วย
“แย่แล้ว!”
หลิ่วหมิงตกตะลึง ในใจขบคิดเร็วไว เขากำลังจะโคจรวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬเต็มกำลังเพื่อขับพลังงานสายนี้ออกไป ทว่าเวลานี้เองภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนบนหัวไหล่เขาก็พลันส่องสว่าง แสงสีน้ำเงินสายหนึ่งลอยโถมเข้าไปในร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว
พลังงานเย็นยะเยือกประหนึ่งน้ำแข็งหลอมละลายราวกับพบเปลวไฟ ชั่วพริบตาก็ถูกพลังของภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนกลืนกิน
รอดพ้นจากอันตรายได้อย่างปลอดภัยเช่นนี้ทำให้หลิ่วหมิงยินดีอยู่ในใจ ร่างกายขยับเล็กน้อยเพียงครั้งเดียวก็ฟื้นกลับคืนสภาพเดิม ไม่รู้สึกว่าการโคจรพลังเวทเชื่องช้าแต่อย่างใด
ความมหัศจรรย์ของภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนนี้เหนือกว่าที่เขาคาดไว้มากมายนัก นอกจากเก็บซ่อนกลิ่นอายได้แล้วยังครอบครองพลังที่กลืนกินสรรพสิ่งได้อีกด้วย พลังเช่นนี้ช่วยเขาคลี่คลายภัยร้ายมาได้หลายครั้งแล้ว
ในแดนลึกลับประตูสวรรค์เมื่อตอนนั้น พวกต่างเผ่า เผ่าหนอนผีเสื้อที่หน้าตาเหมือนตะขาบตัวนั้นที่เหมือนจะถูกเรียกว่า ‘จู๋เสิน’ อะไรสักอย่างก็ด้วยเช่นกัน ซึ่งต่อมาเขาค้นหาข้อมูลผ่านช่องทางต่างๆ ของนิกายแต่ก็ไม่พบเงื่อนงำอันใด
ในใจหลิ่วหมิงครุ่นคิดเรื่องราวเหล่านี้อย่างรวดเร็ว แต่ร่างกายกลับไม่กล้าเคลื่อนไหวชักช้าแม้สักนิด มือข้างหนึ่งขยับตั้งท่าเคล็ดวิชาดึงพลังเวทออกมา เพิ่มความเร็วจนถึงระดับสูงสุดกลายเป็นเส้นยาวสีดำสลับเงินเส้นหนึ่งเหาะไปยังขอบฟ้าไกลในทันที
ปีศาจค้างคาวกระหายเลือดระดับแก่นแท้เห็นลำแสงสีดำบินห่างออกไปไกลทุกทีจึงกรีดร้องแหลมอย่างเกรี้ยวกราดที่สุด ปีกค้างคาวยักษ์ทั้งสองข้างพร่าเลือนวูบหนึ่งก็กลายเป็นพายุปีศาจสีดำแดงสายหนึ่ง ไล่ตามเร็วไวไปด้านหน้าด้วยความเร็วที่ไม่ด้อยไปกว่าหลิ่วหมิง
ปีศาจค้างคาวกระหายเลือดตัวอื่นส่วนใหญ่ยังตามติดอยู่หลังร่างเขาเหมือนเมฆดำก้อนใหญ่ที่เพียงพอบดบังภูเขาไปได้เกินครึ่งลูก ถาโถมไปยังทิศทางที่หลิ่วหมิงหนีไป
ปีศาจค้างคาวส่วนน้อยในนั้นที่ตามกลุ่มใหญ่ไม่ทันหมุนตัวบินกลับไปยังกลุ่มค้างคาวที่ล้อมโจมตีค่ายกลในหุบเขาอยู่
ทว่าเวลาเพียงหนึ่งก้านธูปสั้นๆ ปีศาจค้างคาวที่อยู่ในหุบเขาก็เหลือเพียงไม่ถึงสามส่วนของจำนวนเดิม อีกทั้งยังมีแต่ระดับของเหลวจิตวิญญาณ
“ดี!”
จินเทียนชื่อมองเมฆดำทะมึนที่เคลื่อนออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ ตรงขอบฟ้า ทันใดนั้นใบหน้าก็เผยสีหน้าพึงพอใจ มือใช้เคล็ดวิชาต่อเนื่องหลายท่า ดวงตาเพ่งสมาธิ ปากตวาดคำหนึ่งออกมา
“ระเบิด!”
แผ่นค่ายกลในมือจินเทียนชื่อกับอีกสามคนปริแตกตอบรับเสียงตวาดทันที เกราะแสงค่ายกลสี่ชั้นในหุบเขาสั่นไหวอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ระเบิดกะทันหันกลายเป็นลำแสงเส้นแล้วเส้นเล่าพุ่งเร็วรี่ไปสี่ด้านแปดทิศ
ปีศาจค้างคาวที่เหลืออยู่ด้านนอกหุบเขาถูกลำแสงเหล่านี้ทะลวงผ่าน พวกมันหลายร้อยตัวถูกฉีกเป็นชิ้นในทันที ปีศาจค้างคาวกระหายเลือดที่เหลือพ่ายแพ้ไม่เป็นกระบวน ส่งเสียงกรีดร้องหวาดผวาดังระงม
“ฉวยจังหวะตอนนี้ รีบไปเร็ว!”
ฉิวหลงจื่อออกคำสั่ง จากนั้นมือก็ตั้งท่าเคล็ดกระบี่อีกครั้ง ทั้งร่างพุ่งขึ้นฟ้าไปทันที
ฟึบๆ !
ปราณกระบี่สีทองนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากฝักกระบี่สีเทาที่แลดูเก่าคร่ำครึ สะบั้นปีศาจค้างคาวระดับของเหลวจิตวิญญาณหลายตัวที่ขวางอยู่หน้าสุดเป็นชิ้นๆ
คนที่เหลือก็พากันเหาะขึ้นจากพื้น แสงพลังเวทหลากสีสันหลายสิบสายผุดขึ้นตรงนั้นตรงนี้ กวาดล้างปีศาจค้างคาวระดับของเหลวจิตวิญญาณที่เหลืออย่างรวดเร็วดั่งสายฟ้าฟาด
คนเหล่านี้ล้วนเป็นบุคคลผู้โดดเด่นในหมู่ศิษย์สายในระดับผลึกของนิกายยอดบริสุทธิ์ ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งเค่อก็สังหารปีศาจค้างค้าวที่เหลือจนเกลี้ยงแล้วพุ่งออกจากหุบเขาแหวกท้องฟ้ามุ่งไปยังทิศทางหนึ่งได้ครบทุกคน
“พี่เชี่ยน ดูท่าทางท่านกังวลกลัดกลุ้มเช่นนี้ เป็นห่วงหลิ่วหมิงผู้นั้นหรือ?” ด้านในลำแสงโอวหยางฉินเหลือบมองโอวหยางเชี่ยนด้านข้างแล้วเอ่ยขึ้นคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม
“ฉินเอ๋อร์ พูดเหลวไหลอะไร! ก็แค่คนผู้นี้รับปากตระกูลไว้ว่าจะปกป้องความปลอดภัยของพวกเราสองคน หากตายไปเช่นนี้จะยกประโยชน์ให้เขาเกินไปแล้ว” โอวหยางเชี่ยนมองโอวหยางฉินอย่างตำหนิครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นอย่างเร็วไว
“ก็ได้ พี่สาวคนดีของข้า ไม่ต้องรีบร้อนอธิบาย พลังของเจ้าหนูหลิ่วหมิงคนนี้สูงส่งยากหยั่งถึง ไม่มีทางเป็นอะไรไปหรอก!” ไม่รอให้โอวหยางเชี่ยนพูดจบ โอวหยางฉินก็แย้มยิ้มงดงามเอ่ยขัด จากนั้นเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน
โอวหยางเชี่ยนเห็นเช่นนี้ก็ได้แต่ร้องเหอะเสียงหวานครั้งหนึ่งแล้วตามไปเช่นเดียวกัน
……
ขณะที่ผู้คนของนิกายยอดบริสุทธิ์หนีออกจากหุบเขาได้อย่างราบรื่น ห่างไปหมื่นลี้ในทิศตรงกันข้ามกับทุกคน เหนือเทือกเขากับสายธารทอดยาวแห่งหนึ่ง หลิ่วหมิงกำลังพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วกลางลำแสงสีดำ
ห่างไปไม่กี่ร้อยจั้งหลังร่างเขา เมฆสีดำทะมึนก้อนโตยังคงตามติด ปีศาจค้างคาวประหลาดมากมายในนั้นดวงตาสองข้างแดงก่ำไล่ตามติดไม่ลดละอย่างบ้าคลั่ง
เพียงแต่จำนวนของปีศาจค้างคาวเหล่านี้เทียบกับตอนแรกที่เขาหนีออกมาจากหุบเขาเห็นชัดว่าน้อยลงไปราวสองในสามส่วน ปีศาจค้างคาวที่พลังไม่ถึงระดับของเหลวจิตวิญญาณขั้นปลายในฝูงถูกสลัดทิ้งไปกลางทางนานแล้ว
ทันใดนั้นเงาร่างสีแดงคล้ำมหึมาร่างหนึ่งก็พุ่งปานสายฟ้าออกมาจากกลางฝูงค้างคาว ปีศาจค้างคาวกระหายเลือดระดับแก่นแท้ตัวนั้นนั่นเอง
มันขยับไม่กี่ครั้งก็ย่นระยะห่างเข้ามาใกล้หลิ่วหมิงได้ไม่น้อย จากนั้นก็พลันอ้าปาก
เสียง “เปรี้ยง” ดังขึ้นพร้อมกับที่แสงสีเลือดยาวสิบกว่าจั้งพุ่งออกมา เพียงแวบเดียวก็มาถึงด้านหลังหลิ่วหมิงไม่ไกล
หลิ่วหมิงคล้ายจะรู้ล่วงหน้า เขาพลันต่อยหนึ่งหมัดไปด้านหลังโดยที่ไม่หันศีรษะกลับไปสักนิด ปราณดำบนร่างทะลักออกมาก่อนที่เงามังกรหมอกสีดำตัวหนึ่งจะคำรามพุ่งออกมาจากหมัด
เสียงเปรี้ยงดังขึ้นครั้งหนึ่ง!
เงามังกรปะทะกับแสงสีเลือดแล้วพังทลายพร้อมกัน แสงสีเลือดกับปราณสีดำที่สอดแทรกด้วยคลื่นพลังเวทรุนแรงพุ่งเร็วรี่ไปสี่ด้านแปดทิศ
เสียงกรีดร้องแหลมดังขึ้นครั้งหนึ่ง!
ปีศาจค้างคาวระดับแก่นแท้กางปีกทั้งสองข้างออก มันพุ่งวูบเดียวออกจากกลางหมอกสีดำกับแสงสีเลือดที่แผ่เต็มท้องฟ้า ย่นระยะห่างเข้ามาใกล้หลิ่วหมิงอีกหลายส่วน
หลังจากหลิ่วหมิงกวาดจิตสัมผัสไปด้านหลังครั้งหนึ่งก็สูดลมหายใจลึกแล้วหมุนตัวในฉับพลัน สองแขนพร่าเลือนอีกครั้ง เงาหมัดสีดำถี่รัวกระหน่ำโจมตีเข้าใส่ปีศาจค้างคาวระดับแก่นแท้ดุจเม็ดฝน พลังน่าตะลึงอย่างที่สุด
ปีศาจค้างคาวคล้ายจะหวั่นเกรงเงาหมัดเหล่านี้อยู่บ้าง ปีกค้างคาวกางออก โฉบหลบเงาหมัดถี่รัวไปประหนึ่งสายลม
แม้หลิ่วหมิงจะลงมือบีบให้ปีศาจค้างคาวระดับแก่นแท้ถอยไปได้ แต่การหยุดชะงักชั่วครู่นี้กลับทำให้ปีศาจค้างคาวกระหายเลือดด้านหลังไล่ตามเข้าใกล้มาไม่น้อย เขาย่อมไม่กล้ารั้งรอนาน ปีกเนื้อสีเงินบนแผ่นหลังฉับพลันกระพือหลายหน กลายเป็นลำแสงสีดำสลับเงินสายหนึ่งแหวกท้องฟ้าจากไปไกลอีกครั้ง
ค้างคาวยักษ์ระดับแก่นแท้ด้านหลังกับฝูงปีศาจตัวอื่นยังคงไล่ตามติดไม่เลิกรา
หลิ่วหมิงอาศัยปีกสองข้างที่สร้างจากเคล็ดวิชาเกราะอสูรกับการต่อยหมัดเสียงดังกึกก้องไปด้านหลังเป็นระยะ ฝั่งหนึ่งไล่ตาม ฝั่งหนึ่งหนีเช่นนี้จนมาถึงท้องฟ้าเหนือทะเลสาบสีดำขลับซึ่งมองไปไร้ที่สิ้นสุดแห่งหนึ่ง
ตอนนี้เขาล่อปีศาจค้างคาวเหล่านี้ออกมาเป็นเวลาหนึ่งก้านธูปแล้ว
ระยะเวลายาวนานเช่นนี้เพียงพอให้คนอื่นหนีไปได้แล้ว
หลิ่วหมิงเหวี่ยงหมัดอีกครั้ง ปราณดำหลายสายพุ่งออกมาบีบปีศาจค้างคาวระดับแก่นแท้ด้านหลังให้ถอยไป เขาพลิกมือครั้งหนึ่งเรียกยันต์แหวกมิติแผ่นหนึ่งออกมาทันที หลังจากบนใบหน้าปรากฏสีหน้าตัดใจไม่ลงจางๆ เขาก็ขยี้จนแหลกในพริบตา
เสียง “ฟุบ” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง!
ยันต์สีขาวมากมายถี่ยิบปรากฏขึ้นบนความว่างเปล่าใกล้ตัวหลิ่วหมิง พวกมันหมุนรวดเร็วรอบหนึ่งก่อตัวเป็นค่ายกลยันต์สีขาวจางๆ รอบด้านแล้วส่งเสียงแผ่วเบาออกมาก่อนจะทำงานด้วยตนเอง
ปีศาจค้างคาวระดับแก่นแท้ด้านหลังเห็นภาพนี้ก็สะบัดปีกสองข้างทันที รอบร่างฉับพลันมีปราณปีศาจสีดำแดงดวงแล้วดวงเล่าผุดออกกลายเป็นศรสีดำแดงพุ่งดังฟึบไปเบื้องหน้า
หลิ่วหมิงทำเหมือนไม่เห็นศรสีดำแดงที่พุ่งมาถึงด้านหลังร่าง แสงสีขาวรอบด้านค่ายกลส่องสว่างขึ้นวูบหนึ่ง เขาก็หายไปกับความว่างเปล่าอย่างไร้ร่องรอยจากไกลๆ
ศรสีดำแดงมากมายถี่ยิบแล่นผ่านค่ายกลยันต์โจมตีจนเกิดรูนับร้อยนับพันในพริบตา ค่ายกลยันต์กลายเป็นละอองแสงสีขาวพังทลายสลายตาม ทันใดนั้นไกลออกไปก็ว่างเปล่าไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่อีกต่อไป
ปีศาจค้างคาวระดับแก่นแท้เห็นภาพนี้ก็หยุดยิ่ง แรกสุดมันตกตะลึง จากนั้นก็แหงนหน้าคำรามอย่างดุร้ายเกรี้ยวกราดเป็นที่สุด อากาศสั่นสะเทือนจนปีศาจค้างคาวตัวอื่นที่ตามติดมาด้านหลังทั้งหมดบินเฉซ้ายเฉขวาไปพักหนึ่ง!
ในเทือกเขาแห่งหนึ่งห่างออกไปหลายร้อยลี้ แสงสีขาวสว่างขึ้นวูบหนึ่ง กลางท้องฟ้าปรากฏเงาคนผู้หนึ่งที่บนแผ่นหลังมีปีกสองข้างและมีปราณดำหุ้มอยู่ทั่วร่าง
หลิ่วหมิงนั่นเอง!
“ฟู่…ในที่สุดก็สลัดหลุดแล้ว”
หลิ่วหมิงตั้งร่างมั่นคงได้ก็แผ่จิตสัมผัสออกไปหลายสิบลี้รอบด้าน หลังจากไม่พบร่องรอยปีศาจค้างคาวกระหายเลือด สีหน้าก็ผ่อนคลายแล้วเป่าลมหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
จะว่าไปแล้วธาราลวงวิญญาณนี่ก็ร้ายกาจอย่างแท้จริง ปีศาจค้างคาวกระหายเลือดเหล่านั้นได้กลิ่นก็ตามติดเขาเหมือนตังเม หากไม่ใช่เพราะยันต์แหวกมิติ เขาก็คงไม่มีหนทางอื่นสลัดหลุดอย่างสิ้นเชิงได้จริงๆ
ในใจเขาครุ่นคิดเช่นนี้แล้วสะบัดแขนเสื้อ ปราณดำม้วนออกมาพร้อมกับที่ขวดน้อยสีเขียวหยกใบหนึ่งลอยออกมา
หลังจากเขากวาดจิตสัมผัสครั้งหนึ่งก็พบว่าธาราลวงวิญญาณเหลืออยู่เพียงราวครึ่งขวดเท่านั้น
หลิ่วหมิงคิ้วขมวดแล้วดีดนิ้วครั้งหนึ่ง จุกไม้ชิ้นหนึ่งลอยออกมาปิดบนปากขวดอย่างแม่นยำใหม่อีกครั้ง จากนั้นเขายกมือขึ้นส่งยันต์แผ่นหนึ่งไปแปะไว้ด้านบนถึงปิดกั้นกลิ่นในขวดได้อย่างสมบูรณ์
หลิ่วหมิงยกมือข้างหนึ่งขึ้นกวัก เขาคว้าขวดหยกมาไว้ในมือแล้วตรวจสอบเล็กน้อย หลังจากยืนยันว่าไม่มีปัญหาแน่นอนแล้วถึงเก็บมันเข้าไปในแหวนย่อส่วน จากนั้นก็พลิกมืออีกครั้งเรียกแผนที่ออกมาเหมือนเตรียมตัวจะดูสักหน่อย
แต่ในเวลานี้เองฉับพลันนั้นเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันตรายเบาบาง หลิ่วหมิงตื่นตระหนก ปีกสองข้างบนแผ่นหลังหุบลง ร่างกายพุ่งถอยหลังออกไปประหนึ่งลูกธนู
ฟึบ!
ประกายแสงเย็นเยียบเรียวเล็กอย่างที่สุดสายหนึ่งพุ่งรวดเร็วผ่านจุดที่เขาเพิ่งยืนอยู่เมื่อครู่ไปแล้วโจมตีลงบนหน้าผาใกล้ๆ เสียงแผ่วเบาดังขึ้นครั้งหนึ่ง พริบตาเดียวมันก็จมเข้าไปด้านใน ทิ้งเอาไว้เพียงรูขนาดเล็กเท่ารูเข็มรูหนึ่ง