ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 91 อาภรณ์ศพวังสวรรค์
เสียงดัง “ฟู่!”
ปลายนิ้วของหญิงเสื้อแดงเย็นสะท้านเล็กน้อย จากนั้นโลหิตก็พุ่งเป็นสายออกจากในนั้น หลังจากที่มันดูลางเลือนแล้วก็กลายเป็นอสรพิษเพลิงยาวสี่ห้าจั้ง มันอ้าปากกัดลงไปบนเงาแถบผ้าสีเหลือง
พริบตานั้นเอง แสงละลานตาก็ปรากฏตรงด้านหน้าของต้วนฉานจู่ อสรพิษเพลิงทำลายเกราะป้องกันอย่างเงาแถบผ้าสีเหลืองได้ จากนั้นมันก็พุ่งเข้าใส่หน้าอกของเขา
เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น!
อสรพิษเพลิงระเบิดตัวออกมากลายเป็นเสาเพลิงพุ่งขึ้นฟ้าพร้อมกับม้วนตัวห่อหุ้มต้วนฉานจู่ไว้ในนั้น
และในขณะเดียวกันง่ามบินอัคคีทั้งสองก็หมุนวนอยู่บริเวณนั้นด้วย แล้วมันก็เปล่งประกายพร้อมกับพุ่งโจมตีผ่านอากาศไปโดนตัวต้วนฉานจู่ ทำให้เขาถูกเปลวไฟสีแดงห่อหุ้มไว้ในนั้น
ขณะนี้ศิษย์ที่ยืนดูอยู่นอกม่านแสงต่างก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นไออันร้อนแรงที่ออกมาจากในนั้น พร้อมกับเบิกตาจ้องมองอย่างไม่กะพริบ
เมื่อเสาเพลิงหายไปในอากาศแล้ว ร่างของต้วนฉานจู่ก็ร่วงลงมาบนลานประลอง
ผู้คนทั้งหมดจ้องมองแล้วต่างก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ
ร่างของต้วนฉานจู่ตอนนี้ดำเกรียมตั้งแต่หัวจรดเท้า ราวกับว่าทั่วทั้งร่างของเขากลายเป็นถ่านไปเสียแล้ว
“ฮึ! เจ้าบีบบังคับให้ข้าใช้เคล็ดวิชาอสรพิษเพลิงได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว แต่ถ้าคิดที่จะชิงตำแหน่งของข้าล่ะก็คงจะเป็นเรื่องเพ้อฝันไปหน่อย!” หญิงชุดแดงตรงข้ามลดแขนลงแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา
ตอนนี้แก้มทั้งสองของนางแดงฉานกว่าปกติ ทำให้ดูงดงามมากขึ้นกว่าเดิม
ประจักษ์ชัดว่าการโจมตีเมื่อครู่ก็สิ้นเปลืองพลังของนางไปไม่ใช่น้อย
“เช่นนั้นหรือ? แต่เมื่อข้าได้เห็นการโจมตีของศิษย์พี่แล้ว ข้ากลับมีความมั่นใจที่จะชิงตำแหน่งของศิษย์พี่ได้มากขึ้นกว่าเดิม” ตอนที่หญิงชุดแดงกำลังรู้สึกแปลกใจว่าทำไมอาจารย์จิตวิญญาณถึงไม่ประกาศผลชนะสักทีนั้น พลันมีเสียงดังมาจากร่างดำเกรียมที่อยู่ไกลๆ
ท่ามกลางสายตาที่คาดไม่ถึงของผู้คน ร่างเกรียมดำที่ควรจะสลบไปแล้วกลับค่อยๆ ลุกขึ้นมา หลังจากขยับแขนขาเล็กน้อย ชั้นหนังสีดำบนร่างก็ค่อยๆ หลุดออกมาราวกับเป็นหนังที่ตายแล้ว พริบตาเดียวก็เผยให้เห็นถึงผ้าพันแผลสีเหลืองอ่อนใหม่เอี่ยมอ่องแต่ละชั้นที่พันแน่นไปทั่วร่างของเขา จนแม้แต่ลมฝนก็ไม่อาจทะลุเข้าไปได้ เหลือไว้เพียงแค่ส่วนที่ถัดจากลำคอขึ้นไปเท่านั้น
ฉากนี้ทำให้ทุกคนที่เห็นตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
“สมกับเป็นเคล็ดวิชาอาภรณ์ศพวังสังสรรค์ที่ฝึกฝนยากที่สุด และคงจะฝึกฝนจนสำเร็จขั้นต้นแล้ว ฮ่าๆ! ดูท่าครั้งนี้ศิษย์น้องเฟยคงจะต้องพ่ายแพ้จริงๆ แล้ว” ชายสวมชุดคลุมเขียวตรงธงเสาที่สองที่มีนามว่า ‘เฟิงฉาน’ เห็นเช่นนี้ก็ตบมือหัวเราะใหญ่
และ ‘ศิษย์น้องเฟย’ ที่เขากล่าวถึงนั้น ท่ามกลางความตกใจนางก็รู้สึกหวาดผวาอย่างช่วยไม่ได้ แต่พอกัดฟันก็กล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น “ข้าไม่เชื่อว่าครั้งต่อไปเจ้าจะรอดไปได้อีก” เมื่อกล่าวจบนางก็ยกแขนขึ้นมา ปลายนิ้วสีแดงชี้ไปยังฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง
แต่ในขณะนั้นเอง ต้วนฉานจู่ที่ยังดูเหมือนจะเชื่องช้ากลับยกแขนทั้งสองขึ้นเช่นกัน เขากางนิ้วมือทั้งห้าออกจากกันและสะบัดออกไปเบาๆ
บังเกิดเสียงสะเทือนเลือนลั่นขึ้น!
แถบผ้าเกือบร้อยเส้นพุ่งออกไปจากมือ หลังจากที่มันส่ายสะบัดจนดูลางเลือนแล้วก็กลายเป็นตาข่ายยักษ์สีเหลืองแผ่คลุมหญิงสาวชุดแดงราวกับไม่มีจุดสิ้นสุด
พอนางเห็นสถานการณ์เช่นนี้สีหน้าก็ซีดขาว ปลายนิ้วของนางค่อยๆ สั่นไหว โลหิตเปล่งประกายออกไปเป็นสาย อสรพิษเพลิงอีกตัวคำรามพร้อมกับกระโจนเข้ามา แต่หลังจากที่ทะลุออกจากตาข่ายได้แค่ไม่กี่ชั้นก็สลายตัวไปท่ามกลางเสียงร้องอันน่าเวทนา
ส่วนง่ามบินอัคคีทั้งสองที่กลายเป็นเปลวไฟ ก็ถูกตาข่ายยักษ์ม้วนเข้าไปในนั้น มันดูราวกับปลาน้อยที่ถูกจับโดยไม่สามารถดิ้นรนได้ ครู่เดียวเปลวไฟก็มอดไหม้จนดับลงไป
ต่อมาถึงแม้ว่าหญิงชุดแดงผู้นี้จะเคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็วโดยไม่ยอมแพ้ ทั้งยังปล่อยลูกเปลวไฟแต่ละลูกออกมาโจมตีแถบผ้าที่พันอยู่ไม่หยุด แต่ก็หาได้เกิดประโยชน์อันใดไม่
หลังจากผ่านไปสักครู่ นางก็ถูกล้อมรอบด้วยแถบผ้าที่เกือบจะปกคลุมไปทั่วลานประลองจนไม่สามารถหลบหลีกได้ จากนั้นก็ถูกรัดแน่นจนล้มลงไปไม่สามารถขยับเขยื้อนได้อีก
“ข้ายอมแพ้แล้ว รีบปล่อยข้าไป!”
หญิงชุดแดงนอนอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าแดงก่ำ ทำได้เพียงแค่เปล่งเสียงยอมรับความพ่ายแพ้อย่างช่วยไม่ได้
ได้ยินเช่นนี้ อาจารย์จิตวิญญาณก็เหาะลงมาพร้อมกับม่านแสงที่สลายไป และประกาศว่าต้วนฉานจู่เป็นผู้ชนะ
ต้วนฉานจู่ยิ้มเล็กน้อย จากนั้นค่อยเก็บแถบผ้าทั้งหลายคืนกลับมา เขาโค้งคารวะให้กับอาจารย์จิตวิญญาณ แล้วก็เดินไปยังใต้ธงเสาที่หกด้วยมาดหยิ่งยโส
และหลังจากที่หญิงชุดแดงลุกขึ้นแล้ว ก็จ้องมองต้วนฉานจู่อย่างดุเดือด แล้วค่อยกระโดลงไปจากลานประลอง
ถึงแม้นางจะเสียตำแหน่งอันดับหกไป แต่ก็มีสิทธิที่จะท้าสู้กับคนอื่นได้เช่นกัน
แต่ด้วยอารมณ์ที่ไม่มั่นคง กับพลังเวทย์ที่สูญเสียไปไม่น้อยนี้ ถ้าไม่ใช่ผู้ที่สมองมีปัญหาย่อมไม่กล้ารีบท้าสู้ทันที
ขณะนี้ ศิษย์ที่ดูการประลองเมื่อครู่ตรงบริเวณลานประลองที่หนึ่งต่างก็ฮือฮาขึ้นมา
ด้านหนึ่งเป็นเพราะตกตะลึงกับพลังอันแข็งแกร่งของต้วนฉานจู่ ส่วนอีกด้านหนึ่งมันยังช่วยให้ศิษย์คนอื่นๆ มีความกล้าที่จะท้าสู้ขึ้นมา
ยังไม่ทันที่อาจารย์จิตวิญญาณจะตั้งนาฬิกาทราย ก็มีศิษย์ผู้หนึ่งกระโดดขึ้นไปบนลานประลอง และยังเลือกท้าสู้กับศิษย์แกนนำอันดับที่เก้า
ครู่ต่อมาการต่อสู้ก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง
ในขณะเดียวกัน บนลานหยกที่ลอยอยู่บนอากาศนั้น ประมุขนิกายปีศาจกับกุยหรูฉวน และอาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นๆ ต่างก็เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่นี้
“ศิษย์พี่หวง ไม่คาดคิดว่าสาขาฝึกศพของท่านจะมีคนฝึกเคล็ดวิชาอาภรณ์ศพวังสวรรค์ได้สำเร็จจริงๆ ท่านคงไม่ได้ถ่ายทอดให้ด้วยตนเองหรอกนะ!” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวกับผู้อาวุโสร่างผอมสูงที่อยู่ด้านหลัง
“ถ้าเป็นเช่นนี้จริงๆ ล่ะก็ ข้าคงไม่ตกตะลึงเช่นนี้ หลายปีมานี้ต้วนฉานจู่ล้วนแสดงออกมาได้ธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษมาโดยตลอด ข้าเองก็คาดไม่ถึงว่าเขาจะแอบฝึกเคล็ดวิชานี้ จุ๊ๆ! ดูเหมือนว่าตอนแรกข้าจะมองข้ามเขาไป”
‘ศิษย์พี่หวง’ ผู้นี้สวมชุดคลุมดำทั้งตัว มีรอยย่นเต็มใบหน้า ดูเหมือนกับว่าเขาแก่ง่อมเป็นอย่างมาก
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เด็กคนนี้ซ่อนตัวฝึกฝนมาโดยตลอด ตอนนี้อยู่ๆ ก็มาแสดงฝีมือ คงคิดที่จะทำให้ทุกคนได้ตื่นตะลึง ยินดีกับศิษย์พี่ด้วย นอกจากเจ้าเด็กเฟิงฉานแล้ว ดูเหมือนจะมีศิษย์ในสาขาของท่านเพิ่มเข้ามาในตำแหน่งศิษย์แกนนำสิบอันดับแรกแล้ว” ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม เขาผู้นั้นก็คืออาจารย์อาเหลยแห่งสาขากลลับสวรรค์ และก็เป็นอาของเหลยเจิ้นด้วย
”อืม! เจ้าเด็กต้วนฉานจู่ผู้นี้กล้าฝึกเคล็ดวิชาอาภรณ์ศพวังสวรรค์ มันทำให้ข้ายินดีกับความประหลาดใจนี้ แต่จะสามารถอยู่ในตำแหน่งสิบอันดับแรกของศิษย์แกนนำได้หรือไม่นั้น ยังคงเป็นเรื่องที่พูดได้ยาก อย่างน้อยเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหลยเจิ้นกับเจียหลาน” ศิษย์พี่หวงยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวอย่างถ่อมตัว
“ศิษย์พี่หวงล้อข้าเล่นแล้ว ถึงแม้เจียหลานกับเหลยเจิ้นจะมีคุณสมบัติไม่เลว แต่ยังเป็นศิษย์ที่เพิ่งเข้านิกายมาใหม่ จะสามารถชิงตำแหน่งศิษย์แกนนำสิบอันดับแรกมาได้หรือไม่นั้นยังไม่อาจพูดได้ แล้วจะเป็นคู่ต่อสู้ของต้วนฉานจู่ได้อย่างไร แต่ข้าได้ยินมาว่าช่วงนี้ศิษย์ของศิษย์พี่กุยที่ชื่อสือชวนเก็บตัวฝึกฝนมาเกือบปี และเมื่อสองปีก่อนศิษย์น้องจูกับคนอื่นๆ ยังได้รับเหล็กแสงเย็นทะเลลึกมาชิ้นหนึ่ง ไม่ทราบว่าทั้งสองเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่?” ชายบุคลิกภาพภูมิฐานอายุสามสิบกว่าปีผู้หนึ่งยิ้มตอบรับ และเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปยังกุยหรูฉวนที่ยืนอยู่ไม่ไกล
เขาก็คือหัวหน้าสาขาหยินทนทรมาณที่มีนามว่า ‘ฉู่ฉี’ และก็เป็นไม้เบื่อไม้เมากับกุยหรูฉวนมาโดยตลอด
“เรื่องเกี่ยวกับเหล็กแสงเย็นทะเลลึกข้าเองก็เคยได้ยินคนพูดถึงอยู่เหมือนกัน และทีผ่านมายังไม่ได้แสดงความยินดีกับศิษย์น้องกุยเลย ได้ยินมาว่านิกายจันทราสวรรค์ส่งคนมาขอซื้อวัสดุชิ้นนี้แต่ถูกปฏิเสธกลับไป หรือว่าศิษย์น้องมีแผนการอื่น!” ประมุขนิกายปีศาจได้ยินเช่นนี้ก็เหมือนจะโดนจุดความสนใจขึ้นมาเช่นกันแล้วถามด้วยรอยยิ้ม
กุยหรูฉวนฟังจบแล้วก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน จากนั้นก็ตอบกลับด้วยสีหน้าปกติ
“ข้าจะมีแผนอะไรล่ะ แค่นำวัสดุนี้ทำเป็นอาวุธจิตวิญญาณเท่านั้น ที่สือชวนเก็บตัวฝึกฝนกับพวกข้าเป็นปีก็เพื่อฝึกใช้อาวุธจิตวิญญาณนี้ให้คุ้นชินก็เท่านั้น”
คำพูดของกุยหรูฉวนในครั้งนี้กึ่งจริงกึ่งเท็จ ฉู่ฉีได้ยินแล้วย่อมมีความคลางแคลงใจอยู่บ้าง แต่พอประมุขนิกายปีศาจกล่าวยินดีออกไป หัวข้อสนทนาก็เปลี่ยนเป็นเรื่องของลานประลองแรกที่มีศิษย์สองคนกำลังต่อสู้กันอยู่
ขณะนี้ถึงแม้ศิษย์ที่ท้าสู้จะเปลี่ยนไปใช้วิชาระดับสูงต่างๆ หลายวิชา แต่พอถึงจุดสำคัญที่ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์ ก็ถูกคมวายุของคู่ต่อสู้ทำลายได้อย่างง่ายดาย เขาทำเช่นนี้อยู่หลายครั้ง คู่ต่อสู้ไม่ต้องลงมือโจมตีอะไรเลย จนสุดท้ายเขาก็ถูกพลังเวทย์สะท้อนกลับจนล้มลงไปบนพื้น
“ช่างโง่เสียจริง ไม่รู้เหรอว่าเวลาแสดงวิชาระดับสูงต้องดูจังหวะด้วย? ฝึกฝนแค่ระดับนี้ก็คิดที่จะใช่วิชาระดับสูงต่อสู้กับข้าแล้ว เจ้านี่ไม่รู้จักความตายหรือไง!” ศิษย์แกนนำอันดับเก้าคือชายชุดน้ำเงินที่มีใบหน้าแหลมคม พอเขาเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะกล่าวออกมา
ผู้คนด้านล่างลานประลองเห็นเช่นนี้ ก็มีไม่น้อยที่หัวเราะออกมา
ถึงแม้ผู้ท้าสู้คนนี้จะฝึกฝนได้ไม่ธรรมดา แต่เรื่องแค่นี้ก็ยังไม่รู้ ประจักษ์ชัดว่ามีความมั่นใจสูงเกินไป และมีประสบการณ์การต่อสู้น้อยไปหน่อย
หลังที่อาจารย์จิตวิญญาณเหาะลงมาประกาศชื่อผู้ชนะแล้ว ผู้ท้าสู้บนลานประลองก็รีบกระโดดลงไปด้วยสีหน้าแดงก่ำ จากนั้นก็หายตัวไปท่ามกลางฝูงชน
“ที่จริงเขาสามารถฝึกฝนวิชาระดับสูงได้มากขนาดนี้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว ถ้าหากว่าไม่มาลานประลองแรกล่ะก็ ไม่แน่อาจจะมีโอกาสเข้าไปอยู่ในตำแหน่งศิษย์แกนนำก็ได้ เขาก็แต่เลือกคู่ต่อสู้ผิดเท่านั้น ข้าคิดว่าศิษย์น้องไป๋ก็คงไม่ทำผิดเช่นเดียวกับเขา”
หลิ่วหมิงกำลังมองดูศิษย์อีกคนที่ขึ้นไปท้าสู้ศิษย์แกนนำอันดับสิบบนลานประลอง แต่พลันได้ยินเสียงเฉยชาดังขึ้นมาจากข้างหลัง
“อะไรนะ! ศิษย์น้องเกาหมายถึงข้าเหรอ!” หลิ่วหมิงไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย และตอบกลับไปอย่างราบเรียบโดยที่ไม่หันหน้ากลับไปมอง
“อ้อ! ศิษย์น้องไป๋นับว่าเป็นคนฉลาด แต่เรียกข้าแบบนี้มันผิดกฎนิกายนะ หรือศิษย์น้องไม่รู้ว่าถึงแม้จะเราเข้านิกายพร้อมกัน แต่ศิษย์ที่ตำแหน่งต่ำกว่าก็ต้องเรียกศิษย์ที่ตำแหน่งสูงกว่าว่าศิษย์พี่นะ?”
ผู้ที่พูดอยู่ด้านหลังก็คือเกาชงจริงๆ ด้วย ด้านข้างของเขามีมู่หมิงจู ชายหนุ่มสวมห่วงที่แขน และสือเจียนกับคู่รักยืนอยู่
มู่หมิงจูจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน สือเจียนและคู่รักกลับดูเหมือนไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา
……………………………………….