ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 93 วิญญาณราชาปีศาจระดับสูงสุด
ชายร่างยักษ์เปล่งเสียงออกมาทันที อักขระสีเขียวบนร่างหายไปท่ามกลางแสงสายฟ้า ขณะเดียวกันเงาร่างที่กระโจนไปยังด้านหน้าก็หยุดชะงักลง ร่างกายส่วนบนของเขากลายเป็นสีดำเกรียมภายในทันที และยังมีกลิ่นเนื้อไหม้จางๆ โชยออกมา
เสียงตะโกนดังขึ้น!
เส้นผมของชายร่างยักษ์ตั้งตรงขึ้นมา ขณะเดียวกันร่างกายก็ขยายสูงขึ้นไปอีกหลายจั้ง จากนั้นก็กระโจนแหวกวงล้อมของเส้นสายฟ้าออกไป
ถึงแม้ตอนนี้เขาจะมีกลิ่นไออันน่าสะพรึง การเคลื่อนไหวก็ช้ากว่าแต่ก่อนมาก แต่ก็กระโจนมาอยู่หน้าเหลยเจิ้นไม่ถึงจั้งกว่าๆ แล้ว
เหลยเจิ้นมองเห็นเส้นเลือดใหญ่ที่ปูดบวมบนหน้าผากจากการโมโหของชายร่างยักษ์ได้อย่างชัดเจน
สีหน้าของเหลยเจิ้นฉายแววแปลกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ครู่เดียวก็ตะโกนคำว่า “โจมตีครั้งที่สาม” ออกมา
เสียงดัง “ตู้ม!”
หลังจากที่สายฟ้าบนตัวเขาหยุดชะงักลง สายฟ้าขนาดใหญ่เส้นหนึ่งพุ่งยิงออกไปยังบริเวณด้านหน้าของชายร่างยักษ์
พอชายร่างยักษ์รู้สึกร้อนตรงหน้า ก็บังเกิดความเจ็บปวดจนยากที่บรรยายออกมาได้ จากนั้นก็ล้มลงไปบนลานประลองจนไม่สามารถลุกขึ้นมาได้
ไม่คาดคิดว่าเหลยเจิ้นจะใช้การโจมตีแค่สามครั้งก็สามารถเอาชนะชายร่างยักษ์ได้แล้ว
“โจมตีสามสายฟ้า เจ้าเด็กนี่ทำความเข้าใจพลังของของสายฟ้าได้ถึงขั้นนี้! ถ้าเป็นผู้ที่มีจิตวิญญาณวิญญาณอัสนีคนอื่นๆ คงไม่สามารถปล่อยพลังสายฟ้าได้ถึงสามครั้งภายในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้” มีคนลานหยกพูดขึ้นมาด้วยความตกตะลึง
“เฮ่อๆ! ไม่มีอะไรเลย เพียงแค่เด็กคนนี้มีพรสวรรค์บนเส้นทางของอัสนีเล็กน้อย ถึงแสดงออกได้เช่นนี้” ถึงแม้ชายฉกรรจ์แซ่เหลยที่เป็นหัวหน้าสาขากลลับสวรรค์จะกล่าวแบบถ่อมตัว แต่ก็ดูกระหยิ่มยิ้มย่องจนใครๆ ก็ดูออก
ถึงแม้ประมุขนิกายปีศาจจะไม่กล่าวอะไร แต่ก็ดูมีสีหน้าประหลาดใจขึ้นมา
กุยหรูกุยกับหญิงแซ่หลิน และคนอื่นๆ ต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
หลังจากที่อาจารย์จิตวิญญาณประกาศชื่อผู้ชนะแล้ว เหลยเจิ้นก็เดินไปนั่งตรงใต้ธงเสาที่สิบด้วยท่าทีหยิ่งยโส
ด้านล่างลานประลองกลับเงียบไปครู่หนึ่ง
เขาใช้แค่สามกระบวนท่าก็สามารถเอาชนะศิษย์แกนนำอันดับสิบได้จริงๆ มันช่างดูเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก
สายตาของเหล่าศิษย์ที่มองเหลยเจิ้นบนลานประลองเต็มไปด้วยความเกรงกลัว ทั้งยังมีศิษย์เก่าจำนวนหนึ่งที่ใจเต้นแรง และคิดว่าพวกเขาควรจะไปพึ่งพาอาศัยศิษย์เก้าชีพจรจิตวิญญาณอัสนีผู้นี้หรือไม่
โอวหยางเฟยย่อมตื่นเต้นเป็นธรรมดา สายตานางที่มองเหลยเจิ้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและเลื่อมใสอย่างปิดไม่มิด
“พลังอัสนีช่างน่ากลัวถึงเพียงนี้!” ชายหนุ่มสวมห่วงที่แขนกล่าวพึมพำด้วยความรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
“ศิษย์พี่ซิ่งวางใจเถอะ! ถึงแม้พลังอัสนีจะแข็งแกร่งสมคำร่ำลือ แต่ถ้าหากสู้กับข้าก็ไม่อาจชนะข้าได้ ข้ามีวิธีรับมือกับมันไว้แล้ว” เกาชงเหมือนจะเข้าใจความกังวลจากน้ำเสียงของอีกฝ่ายเลยกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“ศิษย์น้องคิดมากเกินไปแล้ว ข้าก็แค่พูดออกไปเท่านั้นแหละ” ชายหนุ่มสวมห่วงที่แขนได้ยินก็กล่าวด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
หยางเฉียนที่อยู่บนลานประลองก็มองดูเหลยเจิ้นอยู่ครู่หนึ่งด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก
ผู้คนบริเวณด้านล่างต่างก็กำลังวิพากษ์วิจารณ์ถึงพลังของเหลยเจิ้นด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป
หลิ่วหมิงเองก็มองเหลยเจิ้นที่อยู่ใต้ธงด้วยตาที่เปล่งประกายไม่หยุด และไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ
หลังจากที่เหลยเจิ้นชนะแล้วศิษย์ที่มีพลังแข็งแกร่งจำนวนหนึ่งก็ขึ้นไปท้าสู้
นอกจากเหลยเจิ้นที่เพิ่งจะได้อันดับศิษย์แกนนำแล้ว ตำแหน่งศิษย์แกนนำอันดับที่เก้า แปด เจ็ด ก็ถูกศิษย์คนอื่นท้าสู้จนเอาชัยชนะมาได้อย่างรวดเร็ว
แต่เพียงไม่นาน ศิษย์แกนนำคนใหม่เหล่านี้ก็ถูกศิษย์คนอื่นๆ ท้าสู้จนพ่ายแพ้ และศิษย์ที่ชนะได้เข้ามาแทนที่อีกครั้ง
แต่ต้วนฉานจู่กับเหลยเจิ้นที่ได้อันดับที่หกกับอันดับที่สิบนั้นไม่มีคนเข้าไปท้าสู้อยู่ช่วงเวลาหนึ่ง
ส่วนห้าอันดับแรกยิ่งไม่มีคนกล้าเข้าไปยุ่ง
ช่วงระหว่างเวลานี้หลิ่วหมิงเจียดเวลาไปดูลานประลองอื่นๆ เขาค้นพบว่าตำแหน่งศิษย์แกนนำอันดับที่แปดสิบเก้าถูกคนที่เขารู้จักอย่างตู้ไห่ชิงได้แล้ว
และจางชุ่ยเอ๋อร์ ศิษย์ผู้มีพรสวรรค์แห่งสาขาระบำปีศาจก็ชิงตำแหน่งศิษย์แกนนำอันดับที่ยี่สิบสองมาได้
ซือหม่าเทียนแห่งสาขาหยินทนทรมานที่หาเรื่องเขาในตอนแรก ก็ยืนอยู่ใต้ธงเสาที่สิบสาม ร่างของเขาเต็มไปด้วยปราณหยินอันหนาแน่น และก็ไม่มีใครกล้าที่จะท้าสู้กับเขา
ศิษย์พี่สี ศิษย์พี่จูเหลียนซิง และศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายคนอื่นๆ ที่มีพลังแข็งแกร่งของสาขาเก้าทารกก็ค่อยๆ ออกโรง และต่างก็ได้ตำแหน่งศิษย์แกนนำในอันดับท้ายๆ
ส่วนเซียวเฟิงถึงแม้เพิ่งจะเข้าสู่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายได้ไม่นาน แต่ก็ชิงตำแหน่งศิษย์แกนนำอันดับที่เก้าสิบสามมาได้ ทำให้ผู้ที่ยืนดูอยู่ข้างล่างอย่างเซวียซานกับวั่นเสี่ยวเชี่ยนมองดูด้วยความอิจฉา
ทั้งสองคนนี้ คนหนึ่งเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลาง อีกคนหนึ่งเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นต้น พวกเขาย่อมไม่คิดที่จะขึ้นไปท้าสู้บนลานประลอง ได้แต่ยืนให้กำลังใจเซียวเฟิงอยู่ด้านล่าง
แต่ศิษย์พี่ใหญ่ของสาขาเก้าทารกอย่างสือชวน ได้แต่เดินไปเดินมาระหว่างลานประลองที่หนึ่งกับสอง และมองดูการประลองของคนอื่นๆ โดยที่เขายังไม่ลงมือทำการท้าสู้แต่อย่างใด
หลิ่วหมิงเดินวนไปมาสองสามรอบ และค้นพบว่าเขาเหมือนจะไม่เห็นเจียหลานผู้นั้น
งานประลองใหญ่เช่นนี้นางจะไม่เข้าร่วมได้อย่างไร
เขาไม่เชื่อว่านางจะไม่เข้าร่วม จึงได้ตั้งใจมองหาอีกรอบแต่ผลลัพธ์ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง พอนึกถึงใบหน้างดงามอีกแบบที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงตอนพิธีเปิดจิตวิญญาณ เขาก็เข้าใจในทันที และได้ละความคิดที่จะหานางต่อไป
เมื่อเวลาผ่านไป เวลาของการประลองในวันแรกก็สิ้นสุดลง
ประมุขนิกายปีศาจแหงนหน้ามองท้องฟ้าแล้วคิดว่าได้เวลาพอประมาณแล้ว ในที่สุดก็ประกาศสิ้นสุดการประลองในวันแรก
ดังนั้นการประลองบนลานประลองแต่ละแห่งก็หยุดลง และค่อยประลองต่อในวันที่สอง
จากนั้นไอหมอกที่ปกคลุมเขาหินก็กระจายออกไป พร้อมกับปรากฏทางเข้าออกอีกครั้ง ศิษย์ทั้งหมดต่างก็ค่อยๆ ทยอยออกไปด้วยเสียงฮือฮา เพื่อที่จะได้กลับไปพักผ่อนสะสมพลังกันต่อไป
เช้าวันที่สอง เมื่อบรรดาศิษย์ปรากฏตัวบนเขาหินภายใต้การนำของประมุขนิกายปีศาจ และอาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นๆ อีกครั้ง การประลองก็เริ่มต้นทันที
อาจจะเป็นเพราะว่าเมื่อวานได้มีศิษย์ขึ้นไปท้าสู้เป็นจำนวนมากแล้ว ด้วยเหตุนี้ผู้เก็บพลังไว้ตั้งแต่แรกก็เริ่มขึ้นไปท้าสู้ในที่สุด
และศิษย์แกนนำที่สูญเสียตำแหน่งไปเมื่อวานก็เริ่มทำการท้าสู้ขึ้นมาใหม่
ด้วยเหตุนี้พอเริ่มต้นการประลองในวันนี้ บรรยากาศก็ดูดุเดือดเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงยืนอยู่ใต้ลานประลองแรก เขามองดูดรุณีงดงามที่ดูคล่องแคล่วปราดเปรียวบนลานประลองผู้หนึ่งด้วยสีหน้าตื่นตะลึง
ตั้งแต่เริ่มต้นการประลองนางก็ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเงียบๆ มองคู่ต่อสู้ด้วยแสงสีม่วงจางๆ ที่หมุนวนอยู่ในลูกตาเท่านั้น และคู่ต่อสู้ก็เป็นชายหนุ่มที่เพิ่งจะได้ตำแหน่งศิษย์แกนนำอันดับเจ็ดมาเมื่อวาน
เมื่อวานชายหนุ่มผู้นี้แสดงพลังออกมาได้น่ากลัวมาก มิเช่นนั้นคงไม่สามารถเอาชนะศิษย์แกนนำคนเก่าได้ แต่ตอนนี้ในมือข้างหนึ่งของเขาถือกระบี่ยาวที่เปล่งแสงเย็นสะท้าน สองตาจ้องมองใบหน้างดงามของดรุณีน้อยด้วยสายตางงงวย และร่างก็ค่อยๆ สั่นท้านอยู่ไม่หยุด
จนเมื่อเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป ชายหนุ่มก็ล้มโครมลงไปบนพื้น พร้อมกับพ่นฟองสีขาวออกมา
“เจียหลานชนะ”
พอม่านแสงหายไป อาจารย์จิตวิญญาณก็กล่าวออกมาอย่างไม่ลังเล
ดรุณีน้อยใบหน้างดงามผู้นี้ ก็คือเจียหลานที่เมื่อวานหลิ่วหมิงหาไม่เจอนั่นเอง
แต่พอการประลองใหญ่ในวันนี้เริ่มขึ้น นางก็ปรากฏตัวขึ้นบนลานประลองที่หนึ่งโดยไม่มีสันญาณเตือนมาก่อน และใช้วิธีการแปลกประหลาดชิงตำแหน่งศิษย์แกนนำอันดับเจ็ดมาได้
ไม่ใช่เพียงแต่หลิ่วหมิงเท่านั้นที่ดูการประลองนี้เสร็จแล้วหายใจเข้าด้วยความเย็นสะท้าน คนอื่นๆ ก็จ้องมองด้วยความตะลึงจนอ้าปากค้างเลยทีเดียว
แม้แต่หยางเฉียนที่ไม่แสดงอาการใดๆ ตั้งแต่แรก ก็มองนางด้วยสีหน้าประทับใจอย่างอดไม่ได้
“ศิษย์น้องฉู่ ในที่สุดร่างละเมอฝันของเจ้าเด็กเจียหลานผู้นี้ก็แสดงอานุภาพออกมา ด้วยระดับการฝึกฝนของเขาในตอนนี้ เกรงว่านอกจากศิษย์แกนนำที่อยู่อันดับก่อนหน้านางจะสามารถต้านทานพลังมหาเสน่ห์ของนางได้แล้ว ศิษย์คนอื่นๆ ล้วนโดนเสน่ห์ของนางจนหมดสิ้น วิชาที่นางแสดงในตอนนี้คงเป็น ‘วิชาดวงตาละเมอฝัน’ ในตำนานสินะ! ศิษย์น้องปิงฝึกฝนนางได้ไม่เลว ดูเหมือนว่าข้าจะคิดไม่ผิดที่มอบเด็กคนนี้ให้กับสาขาหยินทนทรมาน”
บนลานหยก ประมุขนิกายปีศาจเห็นผลการประลองในครั้งนี้ก็กล่าวชื่นชมออกมาไม่หยุด
“เฮ่อๆ! ในสาขาของพวกข้าเจ้าเด็กเจียหลานผู้นี้เป็นรองแค่หยางเฉียนที่เป็นศิษย์ติดตามเท่านั้น ศิษย์น้องปิงก็รักและชอบนางเป็นอย่างมาก ดังนั้นนางย่อมชี้แนะสั่งสอนให้อย่างสุดพลัง” ฉู่ฉีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ฮึ! ถ้าหากมอบเจ้าเด็กนี่ให้สาขาระบำปีศาจของของข้า ไม่แน่ข้าอาจดูแลสั่งสอนนางได้โดดเด่นกว่านี้” หญิงแซ่หลินกล่าวด้วยความไม่พอใจ
“ฮ่าๆ! เรื่องผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว ศิษย์น้องหลินไม่ควรพูดมันออกมาด้วยอารมณ์เช่นนี้ เจ้าหนูน้อยเฉียนก็มีคุณสมบัติดีเลิศไม่ด้อยไปกว่าผู้ใด ดูเหมือนว่ากลิ่นไอพลังก็แตกต่างจากแต่ก่อนมาก เพื่อการประลองใหญ่ในครั้งนี้ก็คงจะฝึกฝนเคล็ดวิชาอันน่าตื่นตะลึงด้วยเช่นกัน” ประมุขนิกายปีศาจเห็นเช่นนี้ ก็รีบกล่าวออกมาแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันที
“ศิษย์พี่ท่านประมุขช่างมีสายตาที่เฉียบแหลมยิ่งนัก ห่างจากการประลองครั้งก่อนมานานขนาดนี้ ย่อมเพียงพอที่นางจะฝึกฝนเคล็ดวิชาใหม่ๆ จนถึงขั้นสำเร็จต้นๆ ได้แล้ว” หญิงแซ่หลินกล่าวด้วยเสียงหัวเราะกิ๊กกั๊ก แต่ก็ไม่เปิดเผยว่าศิษย์ของตนฝึกฝนเคล็ดวิชาอะไร
“ประมุขนิกายปีศาจส่ายศีรษะ และคิดที่จะพูดอะไรออกไป แต่ทันใดนั้นผู้อาวุโสแซ่หวงแห่งสาขาฝึกศพที่ยืนอยู่ด้านข้างกลับร้องออกมาด้วยความตกใจ
“ดูโซ่ตรวนวิญญาณที่ศิษย์ผู้นั้นใช้สิ ต่อให้ใช้วิญญาณระดับสูงในการหลอมสร้างก็ไม่ใหญ่ขนาดนี้ หรือว่าจะใช้วิญญาณราชาปีศาจระดับสูงสุดหลอมสร้างขึ้นมา”
“วิญญาณราชาปีศาจระดับสูงสุด”
พอได้ยินคำนี้ อาจารย์จิตวิญญาณกว่าครึ่งหนึ่งต่างก็มองออกไปยังตำแหน่งที่อาจารย์จิตวิญญาณหวงจ้องมองอยู่ด้วยความตื่นตะลึง
บนลานประลองที่สอง ชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ หัวล้าน ผิวสีน้ำตาลแก่ผู้หนึ่งกำลังยกมือปล่อยโซ่สีดำขนาดใหญ่ไปพันตัวคู่ต่อสู้ไว้ และยังค่อยๆ ตรึงโซ่ให้แน่นด้วยรอยยิ้มอันเยือกเย็น
ครู่เดียวคู่ต่อสู้ของเขาก็มีสีหน้าแดงก่ำ แล้วรีบเอ่ยปากยอมรับความพ่ายแพ้ออกมา
ดังนั้นเมื่ออาจารย์จิตวิญญาณประกาศชัยชนะแล้ว ชายฉกรรจ์หัวล้านก็เดินเชิดหน้าไปนั่งลงตรงใต้ธงเสาที่สิบเก้า
“ดูจากอานุภาพของโซ่ตรวนวิญญาณนี้แล้ว มันหลอมสร้างมาจากวิญญาณราชาปีศาจระดับสูงสุดจริงๆ ช่างน่าเสียดายจริงๆ ที่ใช้วิญญาณราชาปีศาจระดับสูงสุดฝึกฝนวิชาระดับต่ำเช่นนี้”
บนลานหยก ชายฉกรรจ์แซ่เหลยได้กล่าวพึมพำออกมาด้วยความรู้สึกที่เสียดายเป็นอย่างมาก
ประมุขนิกายปีศาจ และอาจารย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ พากันละสายตากลับมาแล้วสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง ทุกคนต่างก็แสดงสีหน้าเสียดายออกมาเช่นกัน
……………………………………….