ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 97 มุกเพลิงอัคคีกับโอสถโลหิตไขกระดูก
ดูเหมือนว่าถ้าไม่ใช่เพราะว่าชายหนุ่มตะโกนออกมาเร็วมากพอ เกรงว่าแขนหรือขาของเขาคงจะหลุดออกจากร่างไปแล้ว
ชายหนุ่มที่ยอมแพ้ เขากระโดดลงจากลานประลองด้วยสีหน้าหงอยเหงา โดยไม่รอให้อาจารย์จิตวิญญาณประกาศผลก่อน
สิ่งนี้ก่อให้เกิดความฮือฮาขึ้นในบรรดาศิษย์ที่ชมอยู่ด้านล่างลานประลอง และต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆ นานา
“ศิษย์น้องไป๋ผู้นี้เก่งกาจเหลือเกิน ไม่คาดคิดว่าจะใช้แค่วิชาคมวายุก็สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ ไม่รู้ว่ายังจะมีวิธีการอะไรอื่นอีกหรือเปล่า!”
“ทำไมเขาปล่อยคมวายุได้รวดเร็วขนาดนี้ ข้าเหมือนจะรู้สึกว่าเขาไม่ได้ร่ายคาถาเลย อานุภาพมันก็เหนือกว่าคมวายุโดยทั่วไปมาก”
“เจ้าโง่ เจ้ายังดูไม่ออกอีกเหรอ วิชาคมวายุของศิษย์น้องไป๋ได้ฝึกฝนจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบในตำนานแล้ว ไม่แน่อาจจะผนึกประทับวิชาแล้วก็ได้!”
“ประทับวิชา! คือสิ่งใดกัน?”
“อันนี้…แม้แต่ประทับวิชาเจ้าก็ยังไม่รู้ แล้วจะมีอะไรที่มันน่าสนทนากับเจ้าด้วยอีกเล่า กลับไปถามผู้อาวุโสก็จะรู้เอง”
……
ลานประลองที่หนึ่งครึกครื้นเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมดึงดูดความสนใจจากศิษย์ที่อยู่ลานประลองรอบๆ ด้วย ศิษย์บางคนที่เมื่อครู่ไม่ได้สนใจก็เดินเข้ามาด้วยความแปลกใจ และสอบถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เอ๋! นี่…ไม่ใช่ศิษย์น้องไป๋หรอกหรือ! ข้า…ไม่ได้ดูผิดนะ ไม่คาดคิดว่าศิษย์น้องไป๋จะอยู่บนลานประลองที่หนึ่ง ธงด้านหลังไม่ใช่เครื่องหมายที่แสดงถึงศิษย์แกนนำอันดับเก้าหรอกหรือ!” เซวียซานเพิ่งจะเข้ามาดูความครึกครื้นด้วยความแปลกใจพร้อมกับศิษย์คนอื่นๆ หลังจากที่สายตาของเขากวาดมองบนลานประลองอย่างไม่ใส่ใจ ก็รู้สึกตกใจจนพูดออกมาด้วยความสับสน
พอวั่นเสี่ยวเชี่ยน และศิษย์เก้าทารกไม่กี่คนที่ยืนอยู่ด้านข้าง เห็นใบเห็นของหลิ่วหมิงบนลานประลองอย่างชัดเจนแล้ว ก็จ้องมองจนอ้าปากค้าง
คนจำนวนหนึ่งที่รู้จักหลิ่วหมิงก็รู้สึกตกตะลึงเช่นกัน
ผู้ที่ตกตะลึงเลยพรึงเพริดที่สุด กลับเป็นมู่อวิ๋นเซียนหญิงสาวใบหน้างดงามที่พอจะรู้จักหลิ่วหมิงอยู่บ้าง
นางเพิ่งจะโล่งใจที่เห็นตู้ไห่เอาชนะผู้ท้าสู้ได้ จากนั้นจึงมาเดินดูลานประลองอื่นๆ และเห็นว่าหลิ่วหมิงขึ้นลานประลองที่หนึ่งด้วย
ด้วยเหตุนี้สีหน้านางจึงเต็มไปด้วยความสนใจ แต่ต่อมานางกลับรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงสามารถเข้าไปอยู่ในอันดับต้นๆ บนแผ่นศิลาจันทราได้ ประมุขนิกายปีศาจจะต้องพิจารณาการเปลี่ยนตัวผู้ที่จะมาเป็นเตาหลอมพลังของเกาชงแล้ว
ถ้าหากว่าหลิ่วหมิงสามารถเข้าสู่สามอันดับแรกของศิษย์แกนนำได้ และรอดชีวิตกลับมาจากการทดสอบความเป็นความตาย หลานสาวของตนจะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน ทางนิกายจะต้องไม่ยอมให้คนอื่นมาทำร้ายคนของศิษย์ที่สร้างคุณูปการอันใหญ่หลวงให้กับนิกายอย่างแน่นอน
ขณะมู่อวิ๋นเซียนกำลังรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากนั้น ในที่สุดบนลานประลองที่หนึ่งก็ไม่มีผู้ขึ้นไปท้าสู้แล้ว
หลังจากนาฬิกาทรายที่อาจารย์จิตวิญญาณได้ตั้งไว้จนเม็ดทรายเม็ดสุดไหลลงไปจนหมด เขาก็ประกาศสิ้นสุดการประลองของลานประลองที่หนึ่ง
ศิษย์ใต้ธงสิบคนที่อยู่บนลานประลองได้รับตำแหน่งชั่วคราว ก่อนการประลองรอบที่สองใครก็ไม่สิทธิ์มาท้าสู้พวกเขาได้
ได้ยินประกาศจากจากอาจารย์จิตวิญญาณเช่นนี้ บรรดาศิษย์ที่อยู่ด้านล่างลานประลองต่างก็มองหลิ่วหมิง และคนอื่นๆ ที่อยู่บนนั้นด้วยสายตาที่อิจฉา และยกย่องสรรเสริญ
ถ้าดูจากการประลองใหญ่ที่ผ่านมา ศิษย์สิบคนบนลานประลองนี้เกือบครึ่งหนึ่งจะยังรักษาตำแหน่งไว้ได้จนการประลองใหญ่สิ้นสุด
ต่อให้จะถูกท้าสู้ในการประลองรอบที่สองจนหลุดไปจากศิษย์แกนนำสิบอันดับแรก แต่ก็จะมีชื่ออันดับต้นๆ บนแผ่นศิลาจันทรา
หลังจากอาจารย์จิตวิญญาณประกาศเสร็จแล้ว หลิ่วหมิง และคนอื่นๆ ต่างก็ค่อยๆ ลงไปจากลานประลอง
“ศิษย์น้องไป๋ เจ้าทำให้สาขาเก้าทารกของเราได้หน้าเป็นอย่างมาก”
“ศิษย์พี่ไป๋ ยินดีด้วย จากการประลองใหญ่สองสามครั้งที่ผ่านมา ท่านเป็นคนแรกของสาขาเราที่ได้เข้าไปอยู่ในสิบอันดับแรก”
“ฮ่าๆ! เช่นนี้แล้ว ดูสิว่าจะมีสาขาไหนกล้าดูถูกสาขาเก้าทารกเราอีกไหม!”
หลิ่วหมิงเพิ่งจะลงจากลานประลอง เซวียซาน วั่นเสี่ยวเชี่ยน และศิษย์เก้าทารกคนอื่นๆ ก็รีบมาห้อมล้อมตัวเขา และกล่าวออกมาด้วยความดีใจ
แน่นอนว่าหลิ่วหมิงย่อมตอบรับกลับไปอย่างถ่อมตัว แต่ในขณะนั้นเองก็มีเสียงเย็นยะเยือกดังขึ้นมา
“ศิษย์น้องไป๋ เจ้าช่างปิดได้มิดชิดเสียจริง แต่อย่าคิดว่าผนึกประทับวิชาคมวายุได้ก็จะสามารถอยู่สิบอันดับแรกได้ เท่าที่ข้ารู้มายังมีผู้ที่ซ่อนพลังไว้จำนวนมากเตรียมที่จะแสดงพลังที่แท้จริงในการท้าสู้รอบที่สอง ถ้าเจ้าอยากจะฉลองก็ควรจะรอให้การประลองใหญ่สิ้นสุดจริงๆ เสียก่อน”
เกาชงเดินมาพร้อมกับสือเจียน และคนอื่นๆ เขาพูดขึ้นกลับหลิ่วหมิงอย่างเยือกเย็นจากที่ไกลๆ และมู่หมิงจูที่ยืนอยู่ด้านข้างก็มองหลิ่วหมิงด้วยความตกใจ
เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่หลิ่วหมิงเข้าไปอยู่ในสิบอันดับแรกได้นั้น ทำให้นางรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก
“ศิษย์น้องเกาชง ข้าจะได้อยู่ในสิบอันดับแรกหรือไม่ ก็รอดูหลังสิ้นสุดการประลองรอบที่สองในวันพรุ่งนี้ก็จะรู้เอง” หลิ่วหมิงเงยหน้ามองเกาชงครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“ดี ข้าจะเช็ดหน้าเช็ดตารอคอย” เกาชงสีหน้าเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก หลังจากที่เขาจ้องมองหลิ่วหมิงอย่างเหี้ยมโหดแล้วก็หมุนตัวเดินจากไป
หลังจากเซวียซาน และศิษย์เก้าทารกคนอื่นๆ ได้ยินคำสนทนาที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งระหว่างหลิ่วหมิงกับเกาชง ก็อดที่จะมองหน้ากันไม่ได้
หลังจากที่การประลองบนลานประลองที่หนึ่งสิ้นสุดลง ลานประลองอื่นๆ ก็ค่อยๆ ทยอยกันสิ้นสุดลงเช่นกัน
จนเมื่อท้องฟ้าใกล้จะมืด บนลานประลองสุดท้ายก็ไม่มีคนอยู่แล้ว
ตอนนี้เองที่ประมุขนิกายปีศาจเหาะออกมาจากลานหยก แล้วประกาศสิ้นสุดการประลองรอบแรกอย่างเป็นทางการ พรุ่งนี้ก็จะเป็นการท้าสู้เพื่อจัดอันดับในระหว่างศิษย์แกนนำด้วยกัน
ศิษย์ทั้งหลายต่างก็แยกย้ายกันออกไป
การท้าสู้เพื่อจัดอันดับนี้ เป็นการจัดอันดับของศิษย์แกนนำหนึ่งร้อยคนโดยแบ่งออกเป็นสิบขั้นๆ ละสิบคน ทุกคนจะต้องไปเลือกท้าสู้กับศิษย์ที่อยู่ขั้นที่สูงกว่าตัวเอง ถ้าสามารถเอาชนะได้ก็จะได้อยู่ในตำแหน่งนั้น และยังสามารถท้าสู้ในขั้นที่สูงต่อไปได้ แต่ถ้าแพ้ก็จะอยู่ในตำแหน่งเดิม
เช่นนี้แล้ว ศิษย์สิบคนสุดท้ายจะต้องทำการท้าสู้ และศิษย์สิบคนแรกก็จำเป็นต้องรับคำท้า
แน่นอนว่ามันเป็นอย่างที่เกาชงพูดจริงๆ มีศิษย์จำนวนมากที่ไม่แสดงพลังที่แท้จริงในการท้าสู้ก่อนหน้านั้น หลังการประลองรอบที่สองเสร็จสิ้นจึงจะตัดสินอันดับที่แท้จริงได้
หลิ่วหมิงก็ไม่กล้ารีรอ หลังจากที่เขารีบจากเขาหินไปแล้วก็กลับไปพักผ่อนสะสมพลังตรงที่พัก
แต่เพียงไม่นาน กลับมีศิษย์นิกายสายนอกมาบอกตรงลานหน้าที่พักว่ากุยหรูฉวยอยากพบเขา
หลิ่วหมิงไม่รู้สึกแปลกใจในเรื่องนี้ หลังจากที่ลังเลเล็กน้อยแล้วก็รับปากออกไป จากนั้นก็ขี่เมฆทะยานขึ้นไปยังยอดเขาของสาขาเก้าทารก
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เขาก็มาปรากฏตัวในห้องโถงหลักที่อยู่บนยอดเขา
ที่นั่นนอกจากจะมีกุยหรูฉวย จูชื่อ นักพรตจงแล้ว ยังมีสือชวนที่ยืนเก็บมืออยู่ด้านข้างอย่างเรียบร้อย
หลิ่วหมิงรีบคารวะทันที
“ชงเทียน ไม่ต้องมากพิธี ลุกขึ้นเถอะ! ครั้งนี้เจ้าทำได้ดีมาก ไม่คาดคิดว่าจะเข้าไปในสิบอันดับแรกได้ เรื่องนี้ทำให้พวกข้าทั้งสามรู้สึกแปลกใจและดีใจเป็นอย่างมาก” พอกุยหรูฉวนเห็นหลิ่วหมิงเข้ามาก็รีบกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
จูชื่อ และนักพรตจง ก็มองดูหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม
“มิกล้า! ศิษย์ก็แค่โชคดีเท่านั้น” หลิ่วหมิวกล่าวอย่างนอบน้อม
“เรื่องอื่นสามารถโชคดีได้ แต่การฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายของเจ้า กับวิชาคมวายุขั้นสมบูรณ์แบบของเจ้าเป็นเรื่องโชคดีได้หรือ? เป็นเพราะข้า และอาจารย์อาทั้งสองของเจ้าไม่รู้ว่าเจ้ามีความสามารถในการฝึกฝนวิชาได้ถึงเพียงนี้ มิเช่นนั้นคงจะแบ่งทรัพยากรให้เจ้าตั้งนานแล้ว จากนั้นถ้าได้ชี้แนะเจ้าอีกสักหน่อยล่ะก็เชื่อว่าพลังของเจ้าจะต้องอยู่ในระดับที่สูงมากกว่านี้” กุยหรูฉวนกล่าวด้วยความเสียดาย
“ศิษย์เองก็เพิ่งรู้ว่าการผนึกประทับวิชาเป็นเรื่องที่ยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง มิเช่นนั้นคงจะรายงานความจริงให้อาจารย์กุยได้ทราบแล้ว” หลิ่วหมิงแสดงออกด้วยสีหน้าที่ดูซื่อๆ
“เจ้าไม่ต้องกังวลไป พวกข้าทั้งสามไม่สนว่าเจ้าจะใช่ร่างจิตวิญญาณปัญญาสวรรค์ในตำนานหรือไม่ หรือว่าใช้วิธีอื่นใดในการผนึกประทับวิชาได้ แค่อยากจะถามเจ้าว่าการประลองในวันพรุ่งนี้เจ้ามีความเชื่อมั่นแค่ไหนต่อการรักษาตำแหน่งสิบอันแรกไว้ได้” กุยหรูฉวนโบกมือแล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“อันนี้มันก็พูดยาก แต่ถ้าหากไม่มีผู้ท้าสู้ที่มีปีศาจดุร้ายปรากฏออกมาล่ะก็ คงจะมั่นใจได้ในเจ็ดถึงแปดในสิบส่วน” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“เจ็ดถึงแปดส่วน! เฮ่อๆ! ดูท่านอกจากเจ้าจะมีวิชาคมวายุที่ประทับวิชาแล้วยังคงมีพลังอื่นที่ซ่อนอยู่” จูชื่อได้ยินเช่นนี้ก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
กุยหรูฉวนก็เผยสีหน้าพึงพอใจออกมา
“ดีมาก ตอนนี้ข้าจะถามเจ้าสักประโยค เจ้าจะยอมไหว้ข้าเป็นอาจารย์หรือไม่ ข้าคิดที่จะรับเจ้าเป็นศิษย์ติดตาม!” นักพรตจงที่เงียบมาโดยตลอด พอเอ่ยปากก็พูดประโยคที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึงขึ้นมา
ถึงแม้เขาพอจะเดาได้ลางๆ ว่าที่เรียกเขามาครั้งนี้จะต้องมีสิ่งดีๆ มอบให้ แต่เรื่องที่ถูกนักพรตจงรับเป็นศิษย์ติดตามนี้เป็นเรื่องที่เขานึกไม่ถึงมาก่อน
แต่เมื่อเขาสามารถเป็นศิษย์ติดตามของอาจารย์จิตวิญญาณได้ ย่อมเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายเป็นอย่างมาก
“แน่นอน ข้ายินดี! ไป๋ชงเทียนคารวะอาจารย์!”
หลิ่วหมิงฉุกคิดเล็กน้อยแล้วก็รีบโค้งคำนับพร้อมกับกล่าวออกมาอย่างสุภาพ
“ดีมาก! ลุกขึ้นเถอะ! ถึงแม้จะมีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณ แต่ในเมื่อฝึกฝนจนถึงระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายได้ และยังผนึกประทับวิชาได้อีก ไม่แน่อาจยังพอมีหวังที่จะก้าวสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณได้” นักพรตจงเห็นเช่นนี้ก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“คารวะอาจารย์อากุย อาจารย์อาจารย์อาจู!” หลิ่วหมิงรีบคารวะกุยหรูฉวนกับจูชื่อ
“ศิษย์หลานไป๋ จากนี้ไปเจ้าก็เป็นศิษย์ติดตามของสาขาเก้าทารกแล้ว รีบลุกขึ้นเถอะ!” กุยหรูฉวนหัวเราะเบาๆ
จูชื่อเองก็โบกมือให้หลิ่วหมิงลุกขึ้น
“ในเมื่อชงเทียนไหว้พวกท่านทั้งสองใหม่อีกครั้ง การเรียกขานก็เปลี่ยนไปด้วย หวังว่าคงไม่ไหว้โดยเสียเปล่านะ” นักพรตจงกล่าวกับอาจารย์จิตวิญญาณทั้งสอง และหัวเราะเบาๆ
“เฮ่อๆ! ศิษย์น้องวางใจเถอะ! ในเมื่อชงเทียนเจ้าถูกรับเป็นศิษย์แล้ว จะขาดของขวัญต้อนรับไปไม่ได้อย่างแน่นอน ข้ามีมุกเพลิงอัคคีอยู่สามเม็ด และจะมอบมันให้กับศิษย์หลานไป๋ เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งก็โยนมันออกไปทั้งหมด ไม่แน่มันอาจจะช่วยชีวิตเจ้าไว้ได้” จูชื่อหัวเราะออกมา และหยิบตลับเหล็กเล็กๆ ออกมาจากแขนเสื้อโยนไปให้หลิ่วหมิง
“ข้าไม่ได้ใจกว้างอย่างศิษย์น้อง ในมือมีแค่โอสถโลหิตไขกระดูกที่ใช้ชุบหลอมโลหิตให้บริสุทธิ์เท่านั้น” กุยหรูฉวนยิ้มแล้วก็หยิบขวดสีขาวบริสุทธิ์ออกมายื่นให้หลิ่วหมิงเช่นกัน
หลิ่วหมิงดีใจจนกล่าวขอบคุณออกมาติดๆ กัน เขาเก็บของทั้งสองสิ่งไว้ และยังไม่รีบร้อนที่จะเปิดมันออกมาดู
……………………………………….