ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 995 ราชาไก่ทองคำสี่มงกุฎ
ในเมื่อไม่อาจจำแนกชนิดของไข่อสูรสีทองฟองนั้นได้ หลิ่วหมิงจึงคิดถึงที่นี่ขึ้นมา
แต่เขาก็เพิ่งเคยมาที่แห่งนี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน ก่อนหน้านี้เคยได้ยินสหายร่วมนิกายคนอื่นเอ่ยถึงบ้างเป็นบางครั้งเท่านั้น
หลังจากหลิ่วหมิงมองสำรวจก็ยกมือข้างหนึ่งปล่อยแสงจิตวิญญาณสายหนึ่งออกมา มันกะพริบวูบเดียวแล้วหายเข้าไประหว่างกลางยอดเขาทั้งสองอย่างไร้ร่องรอย
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง แสงสีแดงก็สว่างขึ้นเหนือยอดเขาทั้งสอง ชายหนุ่มชุดแดงคนหนึ่งเหาะออกมา เขาพุ่งมาไม่กี่ครั้งก็ปรากฏตัวเบื้องหน้าหลิ่วหมิง จากนั้นคำนับแล้วเอ่ยอย่างมีมารยาทว่า
“ศิษย์พี่ท่านนี้ ไม่ทราบว่ามาเยือนสวนอสูรจิตวิญญาณมีธุระอันใดหรือ?”
“ข้าต้องการยืมอสูรไก่ทองคำสามมงกุฎสักตัว” หลิ่วหมิงครุ่นคิดเล็กน้อยก็เอ่ยขึ้น
“อสูรไก่ทองคำสามมงกุฎหรือ?” ชายหนุ่มชุดแดงได้ยินก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาเล็กน้อย
“ทำไม? นิกายไม่ได้เลี้ยงปีศาจอสูรชนิดนี้ไว้หรือ?” ดวงตาของหลิ่วหมิงทอประกายวูบหนึ่งแล้วเหลือบมองชายหนุ่มชุดแดง
จะว่าไปแล้วข้อมูลเกี่ยวกับปีศาจอสูรไก่ทองคำสามมงกุฎ เขาก็เคยอ่านเจอแต่ในบันทึกตามคัมภีร์ ไม่เคยเห็นกับตาตนเองมาก่อน
ชายหนุ่มชุดแดงได้ยินก็รีบโบกมือ
“ศิษย์พี่อย่าเข้าใจผิด ไก่ทองคำสามมงกุฎเป็นปีศาจอสูรธาตุไฟธรรมดาชนิดหนึ่งเท่านั้น ในสวนอสูรจิตวิญญาณย่อมมี แต่น้อยครั้งนักจะมีคนจ่ายเพื่อหยิบยืม ศิษย์พี่เชิญตามข้ามา”
เมื่อเอ่ยคำนี้จบ บนใบหน้าชายหนุ่มชุดแดงก็มีเหงื่อผุดออกมาเล็กน้อย เขารีบหมุนตัวเหาะไประหว่างกลางยอดเขาทั้งสองลูก
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้พลันขมวดคิ้ว
เมื่อครู่เขาไม่ได้ใช้แรงกดดันจิตวิญญาณข่มขวัญชายหนุ่มชุดแดงผู้นี้เลย แต่เพราะฝึกฝนวิชาสายวิญญาณ ลมปราณดุร้ายบนร่างจึงหนักหน่วง อีกทั้งเขายังสังหารผู้คนระดับเดียวกันหรือกระทั่งผู้ฝึกฝนที่ระดับสูงกว่าในเศษซากโลกบนไปไม่น้อย ในที่สุดลมปราณดุร้ายในร่างจึงค่อยๆ เผยออกมาด้านนอกนิดหน่อยแล้ว
ระหว่างการต่อสู้ลมปราณดุร้ายเป็นประโยชน์กับเขาไม่น้อย มันข่มขวัญผู้ฝึกฝนที่พลังสู้ตนไม่ได้หรือกระทั่งผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันส่วนหนึ่งให้หวั่นกลัวได้อย่างง่ายดาย แต่ในยามปกติหากไม่เก็บงำไว้กลับนำความไม่สะดวกบางประการมาให้
ขณะที่เขาครุ่นคิดในใจอยู่นั้น ร่างกายก็เหาะตามชายหนุ่มชุดแดงเข้ามาในสวนอสูรจิตวิญญาณแล้ว
เมื่อมองไปด้านหลังยอดเขาสองลูก สิ่งที่ปรากฏสู่สายตากลับเป็นยอดเขาเตี้ยที่ทอดยาวเป็นแนวแห่งหนึ่ง ยอดเขาใหญ่น้อยมากมายนับพันลูก ยอดเขาแต่ละลูกล้วนมีเขตแดนค่ายกลทรงครึ่งวงกลมชั้นหนึ่งล้อมอยู่ ด้านในแสงหลากสีส่องสว่างอยู่เลือนราง
หลิ่วหมิงกวาดจิตสัมผัสผ่านไปก็พบว่ายอดเขาแต่ละลูกมีสภาพแวดล้อมแตกต่างกันไป บางแห่งเป็นป่าโบราณต้นไม้สูงเสียดฟ้าเบียดกันแน่น บางแห่งเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจี บางแห่งเหมือนไร่ขนาดยักษ์ที่สร้างติดกับเขา ยิ่งไปกว่านั้นบนเขาบางลูกกั้นรั้วเหมือนคอกหมูในครอบครัวชาวนาธรรมดาอยู่หลายแห่ง แต่ขนาดใหญ่กว่าเล้าหมูทั่วไปไม่รู้กี่เท่า
บนยอดเขาสารพัดรูปแบบเหล่านี้เลี้ยงปีศาจอสูรหลากหลายชนิดเอาไว้ ปีศาจวิหค อสูรเดินดิน เรียกได้ว่ารูปร่างแปลกประหลาดอย่างใดล้วนมีทั้งสิ้น
ตัวอย่างเช่นริมสระน้ำใสกลางหุบเขารูปวงแหวนแห่งหนึ่ง ช้างยักษ์แปดขาสูงร้อยกว่าจั้งสีน้ำตาลอ่อนทั้งร่างตัวหนึ่งยืนตระหง่านอยู่ งวงช้างขนาดยักษ์ยาวยี่สิบสามสิบจั้งงวงหนึ่งขยับสะบัดตามใจครั้งหนึ่งมิติรอบด้านก็สั่นไหวบิดเบี้ยว
กลางป่าทึบบนยอดเขาอีกแห่งหนึ่งมองเห็นอสูรจิตวิญญาณหน้าตาดุร้ายร่างเป็นพยัคฆ์หัวเป็นอินทรีหลายตัวเดินทอดน่องเตร็ดเตร่อยู่กลางแมกไม้ด้วยท่วงท่าอ่อนโยน
บนยอดเขายักษ์โล่งเตียนที่ทอแสงเรืองรองสีฟ้าอมม่วงลูกหนึ่งข้างยอดเขาลูกนี้ วิหคยักษ์หน้าตาคล้ายสัตว์เทพหงส์แดงสมัยบรรพกาลกำลังทะยานพุ่งชนเขตแดนค่ายกลไม่หยุด จงอยปากกรีดร้องก้องฟ้าครั้งแล้วครั้งเล่า
ปีศาจอสูรเหล่านี้บางส่วนหลิ่วหมิงรู้จัก บางส่วนเพียงเคยอ่านเจอในคัมภีร์ แล้วก็มีบางส่วนที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน ทำให้เขาได้เปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง
สิ่งที่เหมือนกันก็คือเขตแดนของค่ายกลแต่ละแห่งล้วนมีผู้ฝึกฝนสวมอาภรณ์สีแดงคนหนึ่งคอยเฝ้าอยู่
หลิ่วหมิงกวาดจิตสัมผัสผ่านผู้ฝึกฝนเหล่านี้ ดวงตาฉายแววประหลาดใจอย่างห้ามไม่ได้
ระดับพลังต่ำที่สุดของผู้ฝึกฝนชุดแดงเหล่านี้คือระดับของเหลวจิตวิญญาณขั้นปลาย ยอดเขาบางแห่งที่มีอสูรดุร้ายมีกระทั่งเงาร่างของผู้ฝึกฝนระดับผลึก ดูท่านิกายยอดบริสุทธิ์จะใส่ใจและทุ่มเทกำลังทรัพย์ในการฝึกอสูรจิตวิญญาณไม่น้อย
ชายหนุ่มอาภรณ์สีแดงพาหลิ่วหมิงเหาะไปยังยอดเขาที่อยู่ลึกเข้าไป ไม่นานก็มาถึงหน้ายอดเขาสีแดงฉานลูกหนึ่ง ทั้งยอดเขาถูกเขตแดนยักษ์ชั้นหนึ่งล้อมไว้เช่นกัน
“สถานที่เลี้ยงอสูรไก่ทองคำสามมงกุฎก็คือที่นี่ โปรดรอสักครู่” ชายหนุ่มชุดแดงเค้นรอยยิ้มออกมาบนใบหน้าแล้วโบกมือยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งร่วงลงตรงเขตแดนเบื้องหน้า
ครู่หนึ่งหลังจากนั้นเขตแดนก็สั่นไหวแล้วค่อยๆ เกิดรอยแยกตรงกลาง จากนั้นบุรุษร่างกำยำผมสั้นคนหนึ่งก็เหาะออกมา
“ศิษย์น้องชวีนี่เอง ช่างเป็นแขกที่หาได้ยาก! มีอะไร? มีคนอยากยืมอสูรจิตวิญญาณที่นี่ของข้างั้นหรือ? ผู้นี้คือใคร?” บุรุษกำยำผมสั้นเห็นชายหนุ่มชุดแดงก็ฉีกยิ้มเอ่ยขึ้นทันที จากนั้นสายตาก็เคลื่อนมามองหลิ่วหมิงที่ยืนอยู่ด้านหลังแล้วเอ่ยถามต่อ
“ท่านนี้คือศิษย์พี่ชิวผู้ประจำอยู่ที่ยอดเขาลูกนี้” ชายหนุ่มชุดแดงไม่สนใจบุรุษร่างกำยำผมสั้นที่ทำตัวสนิทคุ้นเคยผู้นี้ แต่อธิบายกับหลิ่วหมิงเสียงเบา
หลิ่วหมิงฟังแล้วก็พยักหน้า
“ศิษย์พี่มีสิ่งใดต้องการก็เอ่ยกับศิษย์พี่ชิวได้โดยตรง ข้ายังมีธุระ ต้องขอตัวก่อน” ชายหนุ่มชุดแดงเอ่ยจบก็หมุนตัวเหาะเร็วรี่จากไป
“ไม่ทราบว่าศิษย์น้องผู้นี้ชื่อแซ่อันใด มาที่นี่ต้องการยืมอสูรจิตวิญญาณชนิดไหน?” บุรุษร่างกำยำผมสั้นเห็นชายหนุ่มชุดแดงรีบร้อนจากไปเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย หลังจากมองสำรวจหลิ่วหมิงอย่างละเอียดก็ยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นมา
“ข้าแซ่หลิ่ว ครั้งนี้มาเยือนเพราะต้องการยืมอสูรไก่ทองคำสามมงกุฎ” หลิ่วหมิงไม่พูดไร้สาระแต่เอ่ยจุดประสงค์ออกมาทันที
“ที่แท้ก็ศิษย์น้องหลิ่วนี่เอง เชิญตามข้าเข้ามาเถิด” บุรุษร่างกำยำผมสั้นฉีกยิ้ม แล้วแทรกกายเข้าไปในรอยแยกของเขตแดน หลิ่วหมิงตามหลังเขาไปติดๆ เหาะเข้าไปในเขตแดนด้วย
ตอนที่อยู่ข้างนอกยังไม่รู้สึก ทว่าทันทีที่เขาเหยียบเข้ามาในเขตแดนก็สัมผัสได้ถึงความร้อนระอุที่โถมเข้ามาใส่หน้าทันที
“ที่นี่มีชีพจรจิตวิญญาณเพลิงพิภพ เลี้ยงดูอสูรจิตวิญญาณธาตุไฟไว้หลายชนิด…” บุรุษร่างกำยำผมสั้นพาหลิ่วหมิงเหาะเข้าไปด้านใน ปากก็แนะนำสภาพของยอดเขาที่ตนดูแลไปพลางด้วย
ไม่นานทั้งสองคนก็เหาะมาถึงลานเรียบแห่งหนึ่งบนยอดของยอดเขาสีแดง
“โปรดรอที่นี่สักครู่ ข้าจะไปนำอสูรไก่ทองคำสามมงกุฎตัวหนึ่งมาเดี๋ยวนี้…ใช่แล้ว ไม่ทราบว่าศิษย์น้องหลิ่วต้องการระดับใด?” บุรุษร่างกำยำผมสั้นเอ่ยถาม
“อสูรไก่ทองคำสามมงกุฎที่ร้ายกาจที่สุดของที่นี่ระดับใด?” หลิ่วหมิงคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ย้อนถาม
“อสูรไก่ทองคำสามมงกุฎเป็นเพียงปีศาจอสูรธาตุไฟธรรมดาชนิดหนึ่ง ยามเกิดจะมีหนึ่งหงอน วัยเด็กจะงอกหงอนที่สอง เมื่อโตเต็มวัยพลังจะบรรลุระดับของเหลวจิตวิญญาณพร้อมกับงอกหงอนที่สาม แต่ที่นี่มีราชาไก่สี่มงกุฎอยู่ตัวหนึ่ง พลังบรรลุระดับผลึกขั้นต้นแล้ว เจ้านี่ในโลกภายนอกหายากยิ่งนัก” แม้บุรุษร่างกำยำผมสั้นจะประหลาดใจอยู่บ้างแต่ก็ตอบตามจริง
“อ้อ เช่นนั้นเอาราชาไก่ทองคำสี่มงกุฎระดับผลึกตัวนี้แล้วกัน” หลิ่วหมิงได้ยินก็เอ่ยอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
บุรุษร่างกำยำผมสั้นนิ่งงันไปครู่หนึ่งแต่ไม่พูดอะไรมาก เขาส่งสัญญาณให้หลิ่วหมิงรอสักครู่จากนั้นกลายเป็นแสงสีแดงสายหนึ่งเหาะไปทางตะวันออกเฉียงเหนือของยอดเขา
สายตาของหลิ่วหมิงมองสำรวจรอบด้านแล้วเห็นบนยอดเขามีตำหนักหลายหลังสร้างพิงเขาอยู่ น่าจะเอาไว้ให้คนที่เฝ้าที่แห่งนี้พักผ่อน ใต้ยอดเขามีชั้นจำกัดอยู่หลายอัน แบ่งด้านล่างออกเป็นสี่เขต ตามทิศเหนือใต้ออกตก
ขณะที่เขายืนอยู่บนยอดเขา เขาเห็นชัดเจนว่าทางใต้กับทางตะวันตกเลี้ยงหนูไฟขนาดเท่าครึ่งตัวคนชนิดหนึ่งกับไก่อัคคีสามขาชนิดหนึ่ง ระดับพลังส่วนใหญ่เหมือนจะเป็นระดับของเหลวจิตวิญญาณ พวกมันล้วนเป็นปีศาจอสูรที่เขาไม่เคยพบมาก่อน
ผ่านไปไม่นาน บุรุษร่างกำยำผมสั้นก็เหาะกลับมา สิ่งที่ทำให้หลิ่วหมิงประหลาดใจก็คือสองมือของเขากลับว่างเปล่า ทำให้หลิ่วหมิงอดขมวดคิ้วไม่ได้
แต่ครู่ต่อมาหลิ่วหมิงก็สังเกตเห็นถุงสีแดงถุงหนึ่งที่ห้อยอยู่ข้างเอวบุรุษร่างกำยำผมสั้น ใบหน้าจึงเผยแววเข้าใจออกมา
“ปล่อยให้ศิษย์น้องรอนานแล้ว ราชาไก่ทองคำสี่มงกุฎอยู่ในถุงอสูรจิตวิญญาณใบนี้ ใช้ป้ายคำสั่งแผ่นนี้จะบังคับอสูรตัวนี้ได้” บุรุษร่างกำยำผมสั้นเอ่ยบอก ขณะที่หยิบป้ายหยกสีแดงหม่นแผ่นหนึ่งออกมาจากถุงสีแดงข้างเอวแล้วส่งให้หลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ยื่นมือไปรับ
“จริงสิ ราชาไก่ทองคำสี่มงกุฎระดับผลึกตัวนี้ค่ายืมวันละหนึ่งแสนหินจิตวิญญาณ ไม่ทราบศิษย์น้องหลิ่วจะยืมอสูรตัวนี้ไปใช้ประโยชน์อันใด? อสูรจิตวิญญาณชนิดนี้นอกจากเพลิงปีศาจที่อยู่ในร่างตั้งแต่กำเนิดพอไปวัดไปวาได้บ้าง พลังอย่างอื่นก็ไม่ค่อยแข็งแกร่งนัก” บุรุษร่างกำยำผมสั้นเอ่ยอย่างสบายอารมณ์
หลิ่วหมิงย่อมไม่ชี้แจง เพียงยิ้มน้อยๆ บอกว่า
“ข้าไม่ได้ยืมอสูรตัวนี้ไปใช้ต่อสู้ แค่ในใจมีเรื่องหนึ่งต้องการพิสูจน์สักหน่อยเท่านั้น”
เขาเอ่ยจบก็โบกมือยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งตกต้องบนป้ายคำสั่งสีแดงหม่นในมือ ถุงอสูรจิตวิญญาณในมือทอแสงสีแดงวูบหนึ่ง ไก่ตัวใหญ่สีแดงฉานขนาดหนึ่งจั้งกว่าตัวหนึ่งก็ร่วงหล่นลงบนลานกว้าง
อสูรตัวนี้ดูไม่ต่างกับไก่เลี้ยงในโลกคนธรรมดาสักเท่าไร ตีนไก่สีดำสองข้าง เส้นขนบนร่างสีสดสว่าง ขนปีกยาวและหยักโค้ง จุดที่พิเศษจุดเดียวก็คือบนหัวของมันมีหงอนไก่สีแดงก่ำดุจโลหิตสี่หงอนดูสะดุดตา มองแวบแรกคล้ายบนหัวมีดอกไม้สี่ดอกติดอยู่ แลดูน่าขบขันเล็กน้อย
“นี่เจ้าจะ…” บุรุษร่างกำยำผมสั้นเห็นแล้วอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็หยุดไป
หลิ่วหมิงไม่ได้สนใจบุรุษร่างกำยำผมสั้น สองตาหรี่ลงเล็กน้อยมองสำรวจ
อสูรตัวนี้ส่งเสียงร้องกุ๊กๆ หัวไก่ขนาดมหึมาเดี๋ยวมองซ้ายเดี๋ยวมองขวา หงอนไก่สี่หงอนบนหัวขยับไหว ดูไม่มีความดุร้ายอย่างปีศาจอสูรทั่วไปแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณข้างเอวครั้งหนึ่ง แสงสีดำสายหนึ่งลอยออกมากลายเป็นแมงป่องสีเงินขนาดเท่าฝ่ามือตัวหนึ่ง
“นายท่าน!” มีคนนอกอยู่ด้วย เซียเอ๋อร์จึงไม่เปิดปากพูด แต่ใช้จิตสื่อสารกับหลิ่วหมิง
“เอ๋ แมงป่องกระดูกขาว ไม่ใช่สิ เหมือนจะเป็นแมงป่องวิญญาณ? จิ๊ๆ แล้วยังระดับผลึกขั้นปลายอีกด้วย คิดไม่ถึงว่าศิษย์น้องหลิ่วจะชอบเลี้ยงอสูรจิตวิญญาณ” บุรุษร่างกำยำผมสั้นมองสำรวจเซียเอ๋อร์จากหัวจรดหางรอบหนึ่งก็จิ๊ปากเอ่ยอย่างประหลาดใจ
“เซียเอ๋อร์ ที่นี่มีราชาไก่ทองคำสี่มงกุฎระดับผลึกอยู่ตัวหนึ่ง เจ้ารู้สึกอย่างไร” หลิ่วหมิงไม่ตอบบุรุษร่างกำยำผมสั้น แต่ส่งกระแสจิตถามเซียเอ๋อร์ผ่านความคิด
ไม่ต้องให้หลิ่วหมิงบอก เซียเอ๋อร์ก็เห็นนานแล้วว่ามีราชาไก่ทองคำสี่มงกุฎอยู่ไม่ไกล ก้ามใหญ่สองข้างยกขึ้น ปากส่งเสียงแสดงความเป็นอริออกมาเต็มที่
ทันทีที่ราชาไก่ทองคำสี่มงกุฎเห็นเซียเอ๋อร์ หงอนไก่ทั้งสี่ก็ตั้งชันกลายเป็นสีแดงสดดุจจะเค้นเป็นหยดออกมาได้ในพริบตา พร้อมกันนั้นปีกสีแดงบนร่างก็ลุกติดไฟ ตั้งท่าจะจู่โจม