ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 496 หินปักปันเขตแห่งความเป็นตาย
ฉินมู่ หีบ และกิเลนมังกร เช่นเดียวกับโครงกระดูก และชิ้นส่วนกระดูกที่ปลิวว่อนไปทั่วฟ้าก็ร่วงลงมา ฉินมู่ใจหล่นตุ้บลงสู่ความสิ้นหวัง เขาไม่ต้องการจะสร้างเสียงใดๆ เพื่อมิให้ซิงอ้าน เจ้าวิปริตนั่นได้ยิน แต่ทว่าแผนการสวรรค์เหนือกว่ามานะคน แผนการของเขาทั้งหมดเรียกได้ว่าล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
ปัง ปัง ปัง พวกเขาตกลงไปในกองกระดูก
โครงกระดูกมากมายโดยรอบ ร้องระงมจนหนวกหู ถกเถียงกันว่าใครไปทำกระดูกแขนหรือกระดูกขาของใครหัก บางตนถึงกับแย่งชิงซี่โครงของตนอื่น เสียงของพวกเขาระเบ็งเซ็งแซ่
ทันใดนั้น พวกโครงกระดูกก็เริ่มต่อสู้กัน ไม่รู้ว่าพวกเขาไปเอาไม้ตะบองกระดูกมาจากที่ไหน แต่พวกเขาก็ใช้มันเหวี่ยงซัดตะลุมบอน ทุบกะโหลกของคนอื่นดังโผละเผละ
ก็มีแต่ถ้าซิงอ้านหูหนวกเท่านั้นแหละ เขาถึงจะไม่ได้ยินความโกลาหลอึกทึกนี้!
ฉินมู่ยืนขึ้นด้วยแข้งขาสั่น และมองไปรอบๆ ด้วยความเหม่องง หมอกหนาเมื่อครู่เจือจางลงไปมาก และก็มีแสงสว่างรอบข้างเยอะขึ้น
เขามองไปยังทิศตะวันออก และอดไม่ได้ที่จะตะลึงงัน
ในหมอกของแม่น้ำหย่ง โลกแห่งโครงกระดูกอันไพศาลและลึกลับก็ก่อตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มันปรากฏขึ้นในใจกลางของแดนโบราณวินาศและเข้าซ้อนทับกัน!
“เจ้าเหยียบข้าอยู่นะ…” เสียงอ่อนแรงหนึ่งดังมาจากใต้หีบ มันกระโดดโหยงด้วยความตกใจ แต่เมื่อมันพบว่าสิ่งที่กำลังพูดอยู่นั้นเป็นกระดูกกองหนึ่ง หีบก็ดีใจจนเนื้อเต้น มันอ้าฝาด้วยความลิงโลดและ ‘กลืน’ กองกระดูกพูดได้นั้นเข้าไป
หลังจากที่พรายวิญญาณของมันถูกฉินมู่ปลุกให้ตื่น มันก็ชอบที่จะสะสมของแปลกๆ
“ผี—”
กิเลนมังกรขนและเกล็ดลุกซู่ และร่างกายเขาแข็งทื่อ เมื่อเขาเห็นทั้งภูเขาเต็มไปด้วยกระดูกผี เจ้าอ้วนนี้ก็หงายหลังตึงเท้าชี้ฟ้า
เมื่อหีบเห็นว่ากิเลนมังกรล้มตายหงายหลัง มันก็หมายจะกลืนเขาเข้าไปด้วยเช่นกัน มันเริ่มงับจากทางหางจนถึงก้นของเขา กิเลนมังกรดีดเท้าถีบมันออกไปและกล่าวด้วยเสียงต่ำที่เต็มไปด้วยความฉิว “อย่าวุ่นวายสิ ข้ากำลังแกล้งตาย…”
“ยมโลก ที่นี่คือเขตรอบนอกแดนยมโลก…”
ฉินมู่มองไปยังโลกที่เคลื่อนไหวไปอย่างรวดเร็ว เมื่อมันซ้อนทับกับความเป็นจริง ภูเขาทั้งหลายในโลกจริงก็ดูจะหายไป มันประหลาดอย่างไม่น่าเชื่อ
หัวใจเขาเคลื่อนเล็กน้อย และเขาเตะกิเลนมังกรหนึ่งที “มังกรอ้วน ลุกขึ้น ฝีมือแกล้งตายของเจ้าไม่ได้ขี้เล็บของหลิงเอ๋อ หากว่าเจ้ายังไม่ลุก กระดูกผีพวกนี้มันจะมากินเนื้อเจ้านะ”
“เนื้อ เนื้อ!” ข้างใต้กิเลนมังกร โครงกระดูกหนึ่งได้กลิ่นหอมของเนื้อ และยิ้มจนหุบไม่อยู่ มันอ้าปากและกอดขากิเลนเพื่องับลงไปบนนั้น
“เนื้อ! เนื้อ!”
ในทะเลโครงกระดูก พวกนี้จำนวนนับไม่ถ้วนตื่นเต้นขึ้นมาทันที และวิ่งพล่านเข้ามาอย่างกระตือรือร้น เมื่อพวกมันทำเช่นนั้น พวกมันก็สร้างเป็นคลื่นโครงกระดูกที่สูงกว่าร้อยห้าสิบวา
ฟิ้ววว
โครงกระดูกร่วงลงมา และกระดูกผีจำนวนนับไม่ถ้วนกลิ้งไปด้วยกัน รวมตัวเป็นยักษ์โครงกระดูกที่วิ่งตะบึงเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ด้วยความเร้าใจที่จะได้กินเนื้อ
“ข้าไม่มีเนื้อ ให้เนื้อเจ้ากับข้า!”
“ทิ้งผืนหนังไว้ให้ข้า หนังของข้าเน่าเปื่อยหมดแล้ว!”
กิเลนมังกรรีบพลิกตัวขึ้นมาและบดขยี้โครงกระดูกที่กระโจนเข้าใส่เข้าให้เป็นผุยผง เมื่อเห็นเช่นนั้น เขาก็เกือบจะเป็นลมอีกรอบ
แสงพุทธธรรมฉายส่องรอบกายฉินมู่อย่างเจิดจรัส และข้างหลังเขาก็ปรากฏรูปเงาของพุทธรูปหยกขาว ยักษ์โครงกระดูกที่วิ่งรี่เข้ามาก็พลันพังทลาย และกระดูกผีก็หนีพล่านไปทุกทิศทุกทาง
“ไม่อร่อย นี่มันไอ้ลาโล้นน้อยเมื่อครั้งก่อน! หนีเร็ว–”
ฉินมู่อึ้งกิมกี่ เขานำเอาเหรียญทองออกมาและฉายส่องมันเข้าไปในทะเลหมอก เรือโดดเดี่ยวกำลังแล่นมาทางนี้
“ไสหัวไปให้หมด!”
เสียงของซิงอ้านดังมาแต่ไกล เขานั้นได้นำลูกตาของตนเองกลับมาแล้ว และกำลังพุ่งติดตามมายังทิศทางเสียงอึกทึก เมื่อเขาเข้ามาใกล้ เขาก็บดขยี้โครงกระดูกจำนวนนับไม่ถ้วนที่กระโจนเข้ากลุ้มรุมเขา เขาบุกตะลุยมาทางฉินมู่ด้วยมหาพลานุภาพและความหยิ่งผยอง
ฉินมู่ได้ทำให้เขาเพลี่ยงพล้ำเสียทีซ้ำแล้วซ้ำอีก และนี่ทำให้เขาต้องจุดไฟโทสะอันแท้จริงขึ้นมาในหัวใจจนได้ ที่เขาต้องการยิ่งกว่าอะไรในตอนนี้ก็คือการกำจัดไอ้หมอนี่ ผู้ซึ่งทำเขาเป็นตัวตลกครั้งแล้วครั้งเล่า!
ฉินมู่รีบขับเคลื่อนทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกล และคลี่คลุมหีบอันกำลังเก็บสะสมโครงกระดูกและกิเลนมังกรที่ตัวสั่นงันงกอยู่ข้างๆ ไว้ในรัศมีทักษะเทวะ เขาเคลื่อนย้ายตรงไปยังเรือน้อยที่มองเห็นอยู่เลือนรางในทะเลหมอก!
“เจ้าคิดจะใช้วิธีเดิมซ้ำสองครั้งหรือ ลงมา!”
หนึ่งในดวงตาของซิงอ้านเหาะเข้ามาและสายแสงโชนในอากาศ ทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลของฉินมู่พลันถูกตัดขาด และเขาก็ปรากฏออกนอกห้วงมิติพร้อมกับหีบและกิเลนมังกร พวกเขาตกลงไปยังทะเลหมอกข้างล่าง
ในทะเลแห่งมวลหมอก สัตว์ประหลาดมากมายเคลื่อนไหว และพวกมันตื่นเต้นอย่างที่สุด ในจังหวะนั้นเอง เรือโดดเดี่ยวก็พลันวิ่งไปยังจุดที่ฉินมู่และคนอื่นๆ ตกลงมา รับพวกเขาเอาไว้
“ศิษย์พี่ซิงอ้าน ไม่พบกันนานคงสบายดีสินะ” คนเรือที่กำลังคัดท้ายเรือยกหมวกไผ่สานของเขาขึ้น และเผยกรอบหน้าอันมีแต่กระดูกของเขา ยิ้มเย็นเยียบน่าสยอง
ซิงอ้านที่กำลังไล่ล่าพวกเขาไปยังฝั่ง ก็ตะลึงไปเล็กน้อย เขาชะงักเท้า ไม่อาจจดจำอีกฝ่ายได้ เขาถามด้วยความสงสัย “เจ้าคือใคร”
“ศิษย์พี่ซิงอ้านจดจำนักพรตหลิงจิ่งผู้นี้ไม่ได้แล้วหรือ ก่อนหน้านั้นเจ้าไล่ล่าข้าไปทุกหนทุกแห่งเพียงเพื่อแย่งชิงโลหิตเทวะของข้า แต่สุดท้ายเจ้าก็ลืมทุกอย่างเกี่ยวกับข้าไปหมด ทำให้ข้ารู้สึกเศร้าใจอะไรอย่างนี้”
คนเรือขยับไม้พายไผ่ของเขาและคัดท้ายเรือไปยังที่ไกลๆ พลางแย้มยิ้ม “ที่นี่คือแดนยมโลก และศิษย์พี่ซิงอ้านเป็นคนเป็น ดังนั้นโปรดกลับไปเสียเถอะ นี่มิใช่สถานที่ที่เจ้าจะย่างกรายเข้ามาได้”
ซิงอ้านถอนสายตากลับมา และย่างเท้าเข้าไปในทะเลหมอก มันพลันกระเพื่อมขึ้นเมื่อสัตว์ประหลาดในนั้นเริ่มจะวุ่นวายอยู่ไม่สุข
สัตว์ประหลาดในหมอกนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง แต่ซิงอ้านก็ไม่หวาดกลัวพวกมันเลยแม้แต่น้อย เขายังคงไล่ตามเรือโดดเดี่ยวไปพลางกล่าวอย่างไม่ยี่หระ “หากว่าคนเป็นไม่สามารถย่างกรายเข้าไปได้ ทำไมพวกเขาถึงโดยสารเรือได้ นักพรตหลิงจิ่ง เจ้าและข้าอย่างน้อยก็รู้จักกัน จะมาโกหกกันแบบนี้คงไม่ค่อยดีกระมัง หรือเจ้าคิดว่าอย่างไร”
ความเร็วของเขาเร็วอย่างยิ่งยวด และแม้แต่ในทะเลหมอกอันพิลึกประหลาด เขาก็ก้าวอาดๆ เหมือนเดินเล่นในสวน เรือน้อยไม่สามารถสลัดหลุดเขาไปได้ ในทางกลับกัน ระยะห่างกลับยิ่งหดสั้นลงไปทุกที
“เจ้ามีเงินไหมล่ะ” นักพรตหลิงจิ่งถามอย่างไม่รีบร้อน “มีเงินใช้ผีให้พายเรือได้ เด็กหนุ่มผู้นี้เขามีเงินจ่ายค่าโดยสาร ดังนั้นเขาย่อมนั่งเรือของข้าและเข้าไปยังยมโลกได้ เจ้าไม่มีเงิน ก็จงกินลมเหนือแทนข้าวไปเถอะ กลับไปซะ ยมโลกมิใช่สถานที่ที่เจ้านึกอยากจะมาก็มา ที่นั่นมีตัวตนมากมายอันเจ้าไม่สามารถตอแยได้”
ซิงอ้านแค่นเสียงเฮอะเย็นชา และก้าวไปข้างหน้าต่อ แต่ทันใดนั้น สัตว์ประหลาดตัวมหึมาก็ผงาดขึ้นจากทะเลหมอก และลากเขาลงไป
ในเรือโดดเดี่ยว กิเลนมังกรแตกตื่นจนตาตั้ง เขารีบไปที่กราบเรือและก้มลงมองดู นักพรตหลิงจิ่งยกไม้เท้าไผ่ของเขาและกดหัวเขากลับลงมาเบาๆ เขายิ้มและกล่าว “เจ้าโง่ ตัวตนอันน่าสะพรึงกลัวข้างล่างนั้น ไม่มีเหตุมีผลหรอกนะ ระวังเถอะเดี๋ยวพวกมันก็งับหัวเจ้าเอาหรอก”
ไม่ทันที่เขาจะกล่าวจบ ทะเลหมอกก็สะท้านสะเทือนอย่างรุนแรง เสียงคำรามของสัตว์ประหลาดดังออกมา และขุนเขาสูงตระหง่านในหมอกก็โยกคลอนอย่างรุนแรง ที่ก่อขึ้นมาเป็นภูเขาก็คือกองกระดุกขาวมากมาย อันก่อตัวขึ้นใหม่เป็นยักษ์โครงกระดูกและหนีไปในตอนนั้น
กิเลนมังกรรีบหมอบลงตรงท้องเรือและปิดตาของเขาด้วยอุ้งเท้าหน้าทั้งสอง แต่เขาก็ยังแอบมองไปข้างนอกผ่านง่ามอุ้งเท้าของตนเอง
การต่อสู้ในทะเลหมอกยิ่งเข้มข้นดุเดือดมากขึ้นทุกที สร้างคลื่นกระเพื่อมอันน่าแตกตื่น และแม้กระทั่งดีดเรือที่พวกเขานั่งอยู่ให้ลอยกระเด็นขึ้นไป ก่อนจะร่วงลงตกลงมาที่ยอดคลื่น
ฉินมู่ขับเคลื่อนเนตรสวรรค์อาภาและทำได้เพียงแค่พอมองเห็นรางๆ ว่ามีสัตว์ประหลาดมากกว่าหนึ่งตัวที่กำลังต่อสู้กับซิงอ้านในทะเลหมอก ด้วยภาพที่เห็นนั้น หัวใจเขาก็สะท้านอย่างรุนแรง และเขาก็ระบายลมหายใจขาดเป็นห้วง “ซิงอ้านไม่ธรรมดาเลยจริงๆ!”
นักพรตหลิงจิ่งผู้ซึ่งตอนนี้เป็นโครงกระดูกก็ใช้ไม้ไผ่พายเรือต่อพลางยิ้มอย่างน่าสยอง “แน่นอนว่าเขาต้องเหนือธรรมดา แต่ทว่า เขาทำอะไรมากมายที่นี่ไม่ได้หรอก ทะเลหมอกนี้ก่อตัวควบแน่นขึ้นจากความอาฆาตของผู้ที่ตายในช่วงสิ้นสุดยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง หลังจากทุกๆ คนตายไป พวกเขามิอาจไปสู่สุคติ ดังนั้นพวกเขาจึงควบแน่นความอาฆาตแค้นเคืองเหล่านั้นและกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่ขัดขวางทุกๆ คนซึ่งบังอาจบุกตะลุยไปยังยมโลก ระหว่างช่วงสิ้นสุดยุคสมัยจักพรรดิก่อตั้ง ผู้คนในแดนโบราณวินาศได้ล้มตายกันเป็นเบือจนนับไม่หวาดไม่ไหว ดังนั้นกำลังฝีมือของสัตว์ประหลาดเหล่านี้จึงเทียบเท่ากับเทพเจ้า”
ฉินมู่อึ้งไปเล็กน้อย “โครงกระดูกพวกนี้คือผู้คนที่ตายในช่วงมหาภัยพิบัติแห่งยุคจักรพรรดิก่อตั้งงั้นหรือ แล้วทำไมพวกเขาไม่ได้เข้าไปในยมโลกล่ะ”
“ยมโลกรับก็แต่ดวงวิญญาณที่มีประโยชน์” ในกะโหลกของนักพรตหลิงจิ่ง มีไฟภูตผีสองดวงจุดแสงอยู่แทนดวงตา “พวกเขาไร้ประโยชน์ และไม่เข้ากับเงื่อนไข ผู้ที่สามารถเข้าแดนยมโลกได้นั้น พวกเขาจะต้องมีกำลังฝีมือเทียบเท่ากับเทพเจ้า แม้แต่ข้าเองก็นับว่าพอผ่านแบบฉิวเฉียด ดังนั้น ผู้คนเหล่านี้จึงได้แต่รวมตัวกันอยู่ในเขตรอบนอก แต่ไม่ข้ามทะเลหมอก…”
ฉินมู่มีสีหน้าประหลาด หากว่าเป็นความอาฆาตของโครงกระดูกเหล่านี้ที่ได้ก่อทะเลหมอกขึ้นมา และแปรเปลี่ยนพวกเขาให้เป็นสัตว์ประหลาด ถ้านั้นก็เป็นพวกเขาเองที่ขัดขวางพวกเขานั่นแหละไม่ให้เข้าไปข้างใน!
นี่มันช่างวกวนย้อนกลับมาที่เดิม
“เดิมทีท้าวยมราชคิดที่จะขจัดพวกเขาไป แต่ยมโลกนั้นเล็กจนเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องคอยระวังป้องกันแดนใต้พิภพอีก…”
เห็นได้ชัดว่านักพรตหลิงจิ่งรู้ความลับต่างๆ มากมาย แต่เขาไม่ประสงค์ที่จะกล่าวมากไปกว่านี้ เขานั้นก็เป็นบุคคลที่ตายไปแล้วและสามารถมีชีวิตอยู่ได้แต่ในยมโลกเท่านั้น ตกอยู่ในสถานการณ์ประหลาดอันไม่ใช่ทั้งเป็นและตาย
ฉินมู่มองไม่ออกว่าเขาตายแล้วหรือว่ายังมีชีวิตอยู่
หากว่าเขาตาย เลือดเนื้อของเขาก็จะงอกกลับขึ้นมาใหม่เมื่อเขาเข้าไปในแดนเป็นของคนตาย แต่หากว่าเขายังมีชีวิต เขาก็จะตายและสิ้นสุดการดำรงอยู่ทันทีที่ไปจากยมโลก
ความเคลื่อนไหวใต้ทะเลหมอกยิ่งรุนแรงมากขึ้นทุกที เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้ระหว่างซิงอ้านและสัตว์ประหลาดเหล่านั้ยิ่งทวีความดุเดือด เป็นภาพที่มองไปก็ทำให้หัวใจเต้นระรัว
อาจจะกล่าวได้ว่าซิงอ้านนั้นแข็งแกร่งอย่างสุดขีดขั้ว แม้ว่าจะต้องเผชิญกับสัตว์ประหลาดอันก่อขึ้นมาจากความอาฆาต เขาก็ยังสามารถต่อสู้ได้อย่างไม่ลดราวาศอก!
“เจ้าวิปริตนี่…”
นักพรตหลิงจิ่งมองไปยังทะเลหมอกและเห็นซิงอ้านกับสัตว์ประหลาดมากมายต่อสู้ทะลวงฟันมาจนถึงผิวทะเล สัตว์ประหลาดพวกนี้มายังเมฆหมอก และถึงกับใหญ่มหึมายิ่งกว่าภูเขาโครงกระดูกและเกาะต่างๆ โดยรอบ พลังจู่โจมของพวกมันก็น่าสะพรึงกลัวอย่างหาที่เปรียบมิได้ แต่ซิงอ้านก็ยังน่าสะท้านขวัญกว่า
“กษัตริย์มนุษย์ฉิน รีบขึ้นไปบนฝั่ง”สายตาของนักพรตหลิงจิ่งนั้นดีกว่า และเขากล่าว “เขากำลังจะสลัดหลุดออกมาในเวลาไม่นาน อีกอย่าง เจ้าติดค้างข้าสี่เหรียญยมโลก ดังนั้นรวมกับครั้งนี้ก็จะเป็นทั้งหมดห้าเหรียญ”
ฉินมู่นำเอาเหรียญยมโลกออกมาห้าเหรียญ และนักพรตหลิงจิ่งก็รับมันไป เขายืดหลังและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเขาทั้งหมดล้วนแต่มีผู้หนุนหลัง และสามารถเสพสุขได้ทันทีที่เข้าไปในยมโลก แต่ข้ากลับยังต้องมาหาเงินทอง เมื่อข้ามีเงินพอ ข้าถึงจะเข้าไปข้างในเมืองยมโลกได้ หากว่าข้าต้องการที่อยู่ในยมโลก ข้าก็ยังต้องจ่ายอีกก้อนใหญ่…”
เขาพายเรือจากไปในที่ไกลๆ หายลับสู่ทะเลหมอก กระนั้นเสียงของเขาก็ยังดังมา “ยมโลกนั้นสนใจคนที่ยังมีชีวิตอยู่แบบเจ้า หากว่าเจ้าช่วยคนตายทำธุระไหว้วาน พวกเขาก็จะให้เหรียญยมโลกแก่เจ้าเป็นรางวัล แบบนี้ เจ้าก็จะกลับมาที่ยมโลกได้บ่อยๆ และนั่นคือสิ่งที่ข้าทำในอดีต…”
ฉินมู่รีบพากิเลนมังกรและหีบมุ่งหน้าไปยังยมโลก
ไม่นานนัก เขาก็มาถึงหินปักปันเขตแห่งแดนเป็นของคนตาย เมื่อเห็นมัน เขาก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจโล่งอก
ในจังหวะนั้น เสียงปังกัมปนาทก็ดังมาจากข้างหลังเขา ซิงอ้านหลุดพ้นออกมาจากการพัวพันของสัตว์ประหลาดเหล่านั้นจนได้ และพุ่งทะยานออกมาจากทะเลหมอก เขาขึ้นมาเหยียบบนท่าเรือ
ฉินมู่สีหน้าแปรเปลี่ยนไป และเขารีบพุ่งเข้าไปในแดนเป็นของคนตาย วิ่งหน้าตั้งอย่างไม่คิดชีวิต
กิเลนมังกรก็โกยแน่บ และเมื่อเขาทำเช่นนั้น เขาก็พบว่าเจ้านายอาหารของตนเองได้หายไป ข้างกายเขากลายเป็นกระดูกผีที่กำลังวิ่งอยู่อย่างบ้าคลั่ง!
โครงกระดูกนั้นสวมใส่เสื้อผ้าและรองเท้าของฉินมู่!
กิเลนมังกรขนหัวลุกเต็มเหยียด และเขาก็หวีดร้องเสียงหลง ในตอนนั้นเองเขาก็พบว่าตัวเขาก็กลายเป็นโครงกระดูกเช่นกัน
แข้งขาของกิเลนมังกรอ่อนเปลี้ย และเขาก็เป็นลมตาเหลือกไป คราวนี้เขาไม่ได้แกล้งทำ
ฉินมู่ชะงักและหมายที่จะยกตัวเขาขึ้นเพื่อวิ่งหนีต่อ แต่ทันใดนั้น เขาก็เห็นซิงอ้านพุ่งเข้าไปในอาณาเขตแห่งแดนเป็นของคนตาย
ปัง!
บนคอของซิงอ้าน อีกหัวหนึ่งเบียดมุดขึ้นมา และข้างใต้แขนของเขาก็เกิดอีกแขนที่ผุดออก จากนั้นขาเขาก็งอกเงยขึ้นมาอีกสี่ข้าง!
ฉินมู่ตกตะลึง และซิงอ้านเองก็ตระหนกไม่แพ้กัน ยังมีเสียงเป๊าะๆ ดังออกมาไม่หยุด และร่างกายอื่นๆ ก็งอกเงยออกมาจากร่างกายของเขา มีหัวอีกมากมายที่งอกออกมารอบๆ หัวของเขา ยากที่จะกล่าวได้ว่ามีร่างกี่ร่างที่พยายามจะเบียดเสียดออกมาจากตัวเขา เขางอกเงยแขนออกมามากกว่าสิบ ขามากกว่าสิบ หัวยี่สิบสามสิบ และแม้กระทั่งร่างกายที่งอกออกมาติดกันเป็นช่อ!
ตึง
ซิงอ้านล้มคะมำลงกับพื้นด้วยแขนมากมายที่คว้าไต่หาอย่างสุ่มๆ ไปทั่วทิศทาง หัวทั้งหลายของเขาก็ดิ้นรนและคำรามราวกับว่าพวกมันอยากจะคลานออกมาจากร่างกายของเขาที่ดูเละเทะยุ่งเหยิง
เห็นได้ชัดว่าสำนึกรู้ของแต่ละอวัยวะต่างไม่เหมือนกัน และไม่ได้เป็นของบุคคลคนเดียวกัน มีสำนึกรู้ของผู้คนในนั้นถึงยี่สิบสามสิบคน และแต่ละคนก็หมายอยากจะมุดแยกออกไป!
“แดนเป็นของคนตาย แดนเป็นของตาย…”
ฉินมู่ล้มเลิกความคิดจะหลบหนีและพึมพำ “ที่แท้นี่ก็คือวิธีการจัดการกับซิงอ้าน ร่างกายของเขาต่อเข้าด้วยกันจากชิ้นส่วนร่างกายของยอดฝีมือที่เข้าใกล้เขตขั้นเทวะมากมาย เมื่อเข้ามาในโลกแห่งนี้ ชิ้นส่วนที่ขาดหายไปก็จะปรากฏขึ้นมาใหม่…”
ทันใดนั้น นกยักษ์ก็โบยบินมาจากความมืด และลงมาจับบนภูเขาข้างหน้าพวกเขา เขาเอียงคอมองดูคณะเดินทางอย่างเพ่งพิศ
“ผู้ที่มาคือกษัตริย์มนุษย์ฉินใช่ไหม”
นกยักษ์กระพือปีกของมัน และแปลงร่างเป็นเทพเจ้าหัวนก เขาหุบปีกของตนเองและกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “อาชญากรรมของเจ้าถูกเปิดโปงแล้ว และท้าวยมราชก็หาตัวเจ้ามานาน!”
ฉินมู่ตกตะลึง “ข้าเคยทำอะไรด้วยหรือ ทำไมข้าไม่เห็นรู้เลย”
…………………….