ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 552 แดนลางร้าย
“มหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิม?”
เทพเสือขนดำฉงน เขาไม่เคยได้ยินวลีแบบนี้มาก่อน ซีอวิ๋นเซี่ยงนำเอาพิมพ์เขียวปึกหนึ่งออกมา และวางมันแผ่ออกไปในป้อมปราการเมือง รูปภาพบนพิมพ์เขียนเหล่านั้นคือวงจรอักษรรูน
“นี่คือวิชาที่จ้าวลัทธิและผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสันตินิรันดร์ร่วมมือกันเพื่อสรรค์สร้างขึ้นมา และมันถูกเรียกว่า เคล็ดลับสามมหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิม โดยจักรพรรดิ”
ซีอวิ๋นเซี่ยงค้นหาอยู่ครู่หนึ่ง และค้นเจอรอยประทับของจิตวิญญาณดั้งเดิมฉินมู่ จากนั้นนำเอาผงชาดและพู่กันออกมา หลังจากที่ละลายผงชาดแล้ว นางก็เริ่มวาดบนเสาต่างๆของป้อมปราการเมือง
“ครั้งนั้นจ้าวลัทธิได้จารึกรอยประทับจิตวิญญาณดั้งเดิมของทุกๆ คนในโถงบรมศึกษาแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ รอยประทับของเขาเองก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน มหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิมใช้รอยประทับพวกนี้เพื่อดึงดูดจิตวิญญาณดั้งเดิมของเจ้าของรอยประทับมา ดังนั้นทุกคนจึงสามารถเข้ามารวมตัวกันได้ด้วยจิตวิญญาณดั้งเดิม เพื่อสนทนาหารือเรื่องต่างๆ”
หลิงอวี้จิวนำเอาธูปแท่งหนึ่งออกมาและปักมันไว้ข้างใต้รอยประทับจิตวิญญาณดั้งเดิม จากนั้นก็จุดมันขึ้น “ธูปนำทางวิญญาณนี้เป็นสิ่งที่เด็กเลี้ยงวัวสร้างขึ้นมาจากทักษะเทวะนำทางวิญญาณ มันใช้เพื่อดึงดูดเอาจิตวิญญาณดั้งเดิมมาที่นี่ พวกเราต้องการที่จะใช้มันและรอยประทับเพื่อสร้างการเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขา จากนั้นก็จะนำทางเขามาที่นี่และถามเขาถึงตำแหน่งแห่งหน”
ทั้งสองสาวหันไปมองหน้ากันและซีอวิ๋นเซี่ยงก็ปลดปล่อยปราณชีวิตของนาง จุดแสงให้กับรอยประทับจิตวิญญาณดั้งเดิมของฉินมู่ ในเวลาเดียวกันนั้นหลิงอวี้จิวก็ใช้ปราณชีวิตของนางเพื่อม้วนพันเอาควันหอมของธูปนำทางวิญญาณเพื่อส่งมันเข้าไปในรอยประทับจิตวิญญาณดั้งเดิม
ทุกคนรออย่างเงียบๆ ในป้อมปราการ และเฝ้ามองธูปนำทางวิญญาณเผาไหม้ลงไป ควันของมันลอยขึ้นเป็นเกลียววน แต่กลิ่นหอมไม่ฉุนสักเท่าไร ดมแล้วค่อนข้างสดชื่นมากกว่า
ธูปอยู่ได้ไม่นาน ดังนั้นขณะที่ธูปนำทางวิญญาณเผาไหม้ลงไปทีละเล็กทีละน้อย ทุกคนก็หัวใจเต้นตุ๊มต่อมเหมือนถูกแขวนอยู่บนเส้นด้าย รอยประทับจิตวิญญาณดั้งเดิมและธูปนำทางวิญญาณจะกระตุ้นปฏิกิริยาในจิตวิญญาณดั้งเดิมของฉินมู่ ดังนั้นเขาเพียงแต่ต้องขับเคลื่อนเคล็ดลับสามมหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิม ก็จะสามารถมาหาพวกเขาได้
แต่ทว่า หากว่าเขาประสบเคราะห์ภัย เขาก็จะไม่สามารถมาพบพวกเขา
เมื่อธูปนำทางวิญญาณเผาลงไปครึ่งทาง และก็ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหว ทุกคนก็กระสับกระส่ายกังวล แต่ในตอนนั้นเอง ลมก็พลันอื้ออึงและพวยพุ่งเข้ามาในป้อมปราการเมือง
ทุกคนปีติยินดี พวกเขาเห็นจิตวิญญาณของฉินมู่ที่เลือนลางและไม่เสถียร
“จ้าวลัทธิ ท่านอยู่ที่ไหนน่ะ” กิเลนมังกรดีใจอย่างสุดๆ และร้องออกมาอย่างรีบเร่ง “ยาวิญญาณที่ท่านเตรียมให้ข้ามันหมดแล้วนะ กลับมาไวๆ เถอะ!”
“ข้าเตรียมยาวิญญาณให้เจ้าพอกินไปสามสี่เดือนนี่ แล้วเจ้ากินมันหมดไปแล้วได้อย่างไรกัน”
“นี่…” กิเลนมังกรจนด้วยคำพูด
“คุณชาย พวกเรากำลังตามหาท่านอยู่ ท่านอยู่ที่ไหน” ฮู่หลิงเอ๋อถาม
ฉินมู่ส่ายหัว “ข้าเองก็ไม่รู้ ข้าอยู่ในเขตแดนเผ่ามาร แต่มันไม่มีดวงตะวัน ดวงจันทร์ และดวงดาวบนท้องฟ้าให้ข้ากะตำแหน่งของตนเอง ข้าถูกฟู่ยื่อลัวลักพาตัวไป แต่ก็หนีออกมาได้อย่างยากลำบาก ตอนนี้ข้าถูกพวกยอดฝีมือของเผ่ามารไล่ล่าอยู่ ดังนั้นจิตวิญญาณดั้งเดิมของข้าคงอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน”
ทุกคนนิ่วหน้าอย่างแรง
ซังฮั่วพูดขึ้นมา “พี่ชายเด็กฟาดฟ่อนข้าว ดูที่ภูมิประเทศของภูเขารอบๆ และจดจำมันเอาไว้ ตรวจตราว่ามีเมืองไหนอยู่ใกล้ๆ หรือไม่ สวรรค์ไท่หวงมีเมืองทั้งหมดหกสิบสี่เมือง และนามของแต่ละแห่งก็แตกต่างกัน ภูมิประเทศรอบๆ เมืองเหล่านั้นก็ไม่เหมือนกัน ดังนั้นบอกอะไรมาก็ได้ พวกเราจะได้สามารถระบุพิกัดของเจ้า”
จิตวิญญาณดั้งเดิมของฉินมู่หยิบพู่กันผงชาดขึ้นมา และวาดลงไปบนพื้น เขารีบวาดภาพภูมิประเทศรอบตัวเขา “ข้าไม่เห็นเมืองเทพยดาแห่งไหนเลย”
ซังฮั่ว อวี่เหอ และผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงคนอื่นๆ มองดู จากนั้นก็ส่ายหัว พวกเขานั้นยังเยาว์เกินไป และไม่เคยไปยังเขตแดนเผ่ามารมาก่อน
“เดี๋ยวข้าไปเรียกท่านพ่อมา!” ซังฮั่วรีบวิ่งจากไป
ทันใดนั้นจิตวิญญาณดั้งเดิมของฉินมู่ก็หรี่มัว “ศัตรูมาที่นี่แล้ว ข้าต้องกลับไปก่อน!”
หอบลมรุนแรงพัดออกไปจากป้อมปราการเมือง และจิตวิญญาณดั้งเดิมนั้นก็หายไปโดยไร้ร่องรอย ไม่นานนัก ซังฮั่วก็พาเทพซังเย่มา และเขาก็เพ่งพิศดูภูมิประเทศที่ฉินมู่วาดเอาไว้อย่างละเอียดก่อนที่จะร่ำร้องออกมา “เขาอยู่ใกล้รังเก่าของพวกมาร! เขาอยู่ในเทือกเขาตะวันดำที่อยู่ติดเมืองดรุณีหวนคืน!”
อวี่เหอขมวดคิ้ว “เมืองดรุณีหวนคืน? ไม่ใช่ว่าเมืองเทพยดาแห่งนั้นถูกทำลายไปแล้วหรอกหรือ ข้าได้ยินว่าสถานที่แห่งนั้นกลายเป็นดินแดนลางร้าย…”
เทพซังเย่พยักหน้า “เมื่อตอนที่เผ่ามารรุกรานเข้ามา พวกเขาปรากฏครั้งแรกที่เมืองดรุณีหวนคืน และได้ทำลายล้างมันโดยสิ้นเชิง ตรงหน้าของเทือกเขาตะวันดำคือสนามรบของเมืองดรุณีหวนคืน สถานที่นั้นเป็นสนามรบอันโหดร้ายทารุณที่สุดในสวรรค์ไท่หวง เทพและมารเกือบพันได้ทิ้งชีวิตไว้ที่นั่น! จำนวนของผู้ฝึกวิชาเทวะที่ตกตายของทั้งสองฝั่งก็มากมายจนนับไม่ถ้วน! หากว่าเขายังคงเดินมุ่งหน้าต่อไป เขาก็จะเข้าไปในดินแดนลางร้าย!”
“ทำไมท่านถึงพูดว่าที่แห่งนั้นเป็นดินแดนลางร้ายล่ะ” หลิงอวี้จิวถามด้วยความฉงน
“มีเทพและมารสิ้นชีวิตที่นั่นมากเกินไป และโลหิตของพวกเขาก็ผสมปนเปเข้าด้วยกัน ก่อขึ้นมาเป็นเขตพื้นที่อันแปลกประหลาด มันเต็มไปด้วยเจตจำนงที่ไม่มีวันตายของเทพและมารทั้งหลาย เช่นเดียวกับคำสาปและสันดานมารของดวงวิญญาณที่ไม่ได้ผุดได้เกิด ผู้ฝึกวิชาเทวะ เทพเจ้า และมารมากมายได้สิ้นสูญไปที่นั่นจนกระทั่งทำให้เขตแดนนั้นสว่างไสวราวกับกลางวัน แม้จะเป็นยามราตรี”
มีร่องรอยของความขยาดพรั่นพรึงในน้ำเสียงของเขาเมื่อเขากล่าวต่อไป “สิ่งที่จุดแสงในยามราตรีคือตะเกียงเจ้าพายุ มันห้อยอยู่บนเรือน้อยที่แล่นลอยมาจากแดนใต้พิภพ ผู้นำทางความตายมากมายแล่นเรือไปทุกหนทุกแห่ง ทำให้สมรภูมิเก่านั้นเป็นดินแดนแสนอันตรายร้ายกาจ ในครั้งกระโน้น ข้ายังไม่ทันฝึกปรือจนถึงเขตขั้นเทวะ และเป็นเพียงทหารธรรมดา…”
หลังจากมหาสงคราม สถานที่นั้นได้กลายเป็นรกร้างอย่างถึงที่สุด ซังเย่ในยามหนุ่มได้รับบาดเจ็บสาหัสในการต่อสู้ และเมื่อเขาลืมตาขึ้นมา ท้องฟ้าก็มืดค่ำไปแล้ว
เมื่อเขาปีนไต่ออกมาจากกองซากศพ เขาเห็นภาพอันติดตาไม่รู้ลืม เรือน้อยแล่นออกมาจากความมืด และข้างใต้ตะเกียงของพวกมันคือผู้เฒ่านับพันที่ดูเหมือนกันไม่มีผิด พวกเขาแล่นเรือไปรอบๆ อย่างเงียบงันและเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณจากสนามรบ
ผู้เฒ่าไม่ส่งเสียงใดๆ กระนั้นค่ำคืนก็เต็มไปด้วยเสียงร้องคร่ำครวญของดวงวิญญาณจำนวนไร้ประมาณผู้ที่ไม่อยากจะตกลงไปในแดนใต้พิภพ ทว่าไม่มีดวงใดเลยที่รอดพ้นไปจากเงื้อมมือของผู้นำทางความตาย พวกเขาติดตามเรือน้อยไป และล่องลอยเข้าสู่ความมืดของแดนใต้พิภพ
เทพซังเย่ไม่มีวันลืมภาพนั้น!
“ดวงวิญญาณที่แตกกระจัดกระจายไม่ถูกผู้นำทางความตายนำตัวไป ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไป สถานที่นั้นก็ได้กลายเป็นดินแดนลางร้าย มันมีเหตุการณ์พิลึกกึกกือมากมายเกิดขึ้นในนั้น และมีสิ่งร้ายประหลาดมากมายที่ซ่อนตัวอยู่ที่นั่น”
เทพซังเย่ปลุกปลอบตนเองก่อนที่จะกล่าวต่อ “หลังจากนั้น ทั้งพวกเราและเผ่ามารก็ได้ละทิ้งสถานที่นั้น หากว่าจ้าวลัทธิยังคงก้าวต่อไป เขาก็จะย่างเข้าสู่แดนลางร้ายที่ว่า”
กิเลนมังกรร้องออกมาทันที “การผสมผสานของโลหิตเทพและมารสามารถให้กำเนิดสิ่งน่าสะพรึงกลัวอย่างปีศาจรากไม้แห่งสันเขาเดียวดาย! รีบบอกจ้าวลัทธิเร็วเข้าให้หลีกเลี่ยงสถานที่นั้น!” กิเลนมังกรร้องออกมา
“ปีศาจรากไม้แห่งสันเขาเดียวดายแข็งแกร่งแค่ไหนหรือ” เทพซังเย่ถาม
“เทียบเท่ากับยอดฝีมือขั้นเป็นตาย”
เทพซังเย่ยิ้มหยัน “นั่นน่าจะเป็นแค่ตัวเล็กตัวน้อยเท่านั้น สิ่งร้ายในแดนลางร้ายนั้นยังแข็งแกร่งกว่ายอดยุทธขั้นเป็นตายเสียอีก บอกเขาเร็วเข้าให้หลีกเลี่ยงสถานที่นั้น!”
ซีอวิ๋นเวี่ยงและหลิงอวี้จิวรีบติดต่อฉินมู่อีกครั้ง แต่คราวนี้ขนาดว่าธูปเผาไหม้จนหมดดอก เขาก็ยังไม่ตอบสนองกลับมา
“เขาน่าจะกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูอยู่ จึงไม่มีเวลาตอบกลับ! นี่แย่แล้ว!” ซีอวิ๋นเซี่ยงกล่าว “ศัตรูพวกนั้นจะต้องแข็งแกร่งมากแน่ และพวกเขาอาจจะบีบให้เขาต้องล่าถอยเข้าไปในแดนลางร้าย”
“ข้าจะไปที่นั่นและเอาตัวเขากลับมา!” เทพเสือขนดำกล่าวอันตัดสินใจเด็ดขาด
เทพซังเย่ส่ายหัว “เจ้าไปไม่ได้หรอก การเดินทางจะยาวนานเกินไป และก็จะมีตัวแปรมากมายเกินไป หากว่าเจ้าพบกับมารเทวะในระหว่างทาง แม้แต่เจ้าเองก็จะตายที่นั่น พวกเจ้ารออยู่ที่นี่รอให้จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาตอบกลับมาจะดีที่สุด หวังว่าเขาจะสามารถเดินออกมาจากแดนลางร้ายได้ มีก็แต่เมื่อเขาเดินออกมาได้แล้วเท่านั้น จึงจะมีโอกาสรอด”
เทพเสือขนดำขมวดคิ้วและส่ายหัว “ข้าเป็นคนทำเขาหายไป ข้าจะต้องไปตามหาเขา!”
ซีอวิ๋นเซี่ยงและหลิงอวี้จิวหันไปสบตากันและกล่าวเป็นเสียงเดียว “พวกเราจะตามท่านไป!”
“ข้าด้วย!” ฮู่หลิงเอ๋อยกหางของนาง และมองไปที่เพื่อนพ้อง
กิเลนมังกรลังเล ฮู่หลิงเอ๋อหรี่ตาลงและกล่าวอย่างนุ่มนวล “มังกรอ้วน หากว่าพวกเราหาตัวคุณชายไม่พบ เจ้าจะอดตายนะ”
กิเลนมังกรพลันเต็มไปด้วยไฟเร่าร้อนทันที “นับข้าด้วยอีกคน!”
ซังฮั่วมองไปที่บิดาของนางและกล่าว “ท่านพ่อ พวกเขาไม่คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนั้น…”
เทพซังเย่รู้สึกปวดหัวตึ้บขึ้นมา “เช่นนั้นก็ระวังตัวหน่อย หนึ่งวันหลังจากที่เจ้าเข้าไปในเขตแดนมาร ข้าจะนำกองกำลังไปโจมตีและดึงดูดความสนใจของพวกเขา พวกเจ้าจะได้ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น”
ที่ขอบแดนของแดนลางร้าย ม้าฝันร้ายไฟมารข้างใต้ฉินมู่ร้องออกมาเมื่อขาของมันถูกแสงมีดสีเงินชุดหนึ่งตัดสะบั้น ผู้ฝึกวิชาเทวะมารคนหนึ่งผ่าเปิดท้องของม้าและโจมตีฉินมู่ที่อยู่บนหลังของมัน
ฉินมู่กระโดดขึ้นไปพลางกดลงไปข้างล่างด้วยฝ่ามือ เขาบดขยี้มารคนนั้นไปพร้อมกับม้าในกระบวนท่าเดียว
ฟิ้วว!
หญิงเฒ่าคนหนึ่งพุ่งออกมาพร้อมกับน้ำเต้าลูกใหญ่ แสงโลหิตหลั่งไหลออกมาจากในนั้นราวน้ำหลาก และท่วมท้นฉินมู่ ด้วยกลิ่นเลือดอันฉุนเฉียว มันก็หมุนเป็นเกลียววนจนกระทั่งก่อตัวขึ้นมาเป็นงูเหลือมสีแดงเลือดขนาดยักษ์ ที่รัดพันรอบตัวฉินมู่ บดขยี้กระดูกของเขา
วงจรพยุหะไหววนในดวงตาของฉินมู่ และดวงตะวันก็ลอยผงาดขึ้นมาจากทางช้างเผือก ลำแสงสองลำยิงออกไป ลำหนึ่งสะบั้นหัวงูยักษ์ และอีกลำเฉือนตัดคอของหญิงเฒ่า
สตรีแมงป่องตวัดหางฉกเข้ามา และมันแทงทะลุหัวไหล่ของฉินมู่ ยกเขาลอยขึ้นสูง นางฟาดเขาลงกับพื้นอย่างโหดเหี้ยม และเด็กหนุ่มเผ่ามารที่แบกธงมาแปดผืนก็โค้งสักการะต่อฉินมู่ ธงทั้งแปดพวยพุ่งออกไป และเสาของมันก็ปักลงบนพื้นรอบกายฉินมู่
“พยุหะมารเชื่อมภูเขา! สยบ สยบ สยบ สยบ สยบ สยบ สยบ สยบ!”
เมื่อเด็กหนุ่มมารตะโกนคำนี้ออกไปแปดครั้ง รูปเงาภูเขาแปดลูกก็ร่วงลงมาจากท้องฟ้าด้วยเสียงระเบิดกัมปนาท แผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่นไปหมด
ทันใดนั้น ดวงดาวมากมายก็พุ่งวูบวาบอยู่ในรูปเงาของภูเขาทั้งแปด และแปรเปลี่ยนเป็นเขตพลังหมู่ดาวสวรรค์คลุมนภา ด้วยฝ่ามือเดียวของฉินมู่ ภูเขาทั้งแปดก็แหลกทำลาย
เขาทะยานพุ่งออกไปจากพยุหะธง และเห็นว่ามีไจมีดมากกว่าสิบกำลังหมุนติ้วอย่างดุร้ายเข้ามาหาเขา เขารีบชี้นิ้วไปยังทิศทางนั้น และคำตรึงขนาดใหญ่ก็ปรากฏอยู่ในอากาศ ไจมีดสิบกว่าเม็ดแช่ค้างอยู่กลางอากาศ แต่กระนั้นในพริบตาถัดมา มันก็เริ่มหมุนอีกครั้ง และมีดมารนับไม่ถ้วนก็พวยพุ่งออกมา เฉือนตัดคำตรึงออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ฉินมู่หันกาย เหยียบขึ้นไปบนหมู่ดาว เขาหลบหลีกมีดมารนับไม่ถ้วนนั้นได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด ไจกระบี่ของเขาลอยขึ้นไปในตอนนี้ ซัดแกว่งสวนทางลม มันตัดสะบั้นมีดทั้งหมดในอากาศให้แตกทำลาย
ทหารมารกว่าสิบคนที่มีสามเศียรหกกรก็พุ่งเข้ามา พวกเขารุกเข้าและถอยกลับ โจมตีและป้องกันอย่างเป็นแบบแผนขณะที่ต่อสู้อย่างดุเดือดกับฉินมู่
เขาป้องกันแล้วป้องกันอีก ถูกการโจมตีซัดเข้าใส่เป็นสิบๆ ครั้งในพริบตาเดียว เขาจึงรีบหลบหนีเข้าไปในดิน มารสี่แขนคนหนึ่งกดฝ่ามือลงบนพื้น ทำให้พื้นดินปูดโปนขึ้นมา และฉินมู่ก็ถูกดีดออก
เขากระโดดขึ้นไปบนอากาศ แต่ก็ร่วงลงมาในอีกพริบตาให้หลัง เขาเคลื่อนที่เหมือนมังกรและเลื้อยคลานประดุจอสรพิษ พุ่งถลันไปยังป่าพรุใหญ่ข้างหน้า
ทหารมารมากมายไล่ล่าเขาไปจนถึงริมป่าพรุใหญ่ แต่ทันใดนั้น พวกเขาทั้งหมดก็ยั้งเท้าและนิ่วหน้า
“พวกเราควรเข้าไปไหม” ผู้ฝึกวิชาเทวะมารคนหนึ่งถามด้วยเสียงต่ำ
ฉินมู่เดินเข้าไปในป่าพรุขนาดยักษ์และมองไปรอบๆ ที่นี่มีหมอกหนาและปราณมารลอยอยู่ไปทั่ว ข้างใต้น้ำใสของบึงพรุ มีซากศพลอยอยู่ พวกมันเดี๋ยวก็ผลุบๆ โผล่ๆ ขึ้นมายังผิวบึง เผยให้เห็นโครงกระดูกและอาวุธวิญญาณที่ขึ้นสนิมของพวกมัน
เขาขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเข้าไปใกล้ เขาเคาะลงบนโครงกระดูกที่อยู่บนพื้นและถามด้วยรอยยิ้ม “พี่ชายท่านนี้ ข้าจะเสาะหาหนทางที่นี่ได้อย่างไร”
โครงกระดูกลุกขึ้นมา และหันมองไปทางเขา จากนั้นก็อ้าปาก “นี่คือเส้นทางไปยังน้ำพุเหลือง เจ้าเข้ามาได้ แต่ไม่มีหนทางย้อนกลับ”
………………..