ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 554 จุดสูงสุดในชีวิตของเขา
“ที่พิลึกไปกว่านั้นก็คือตอนที่ข้ากำลังร่ายนำทางวิญญาณ ถ้อยคำในภาษามารที่ข้าไม่เคยเรียนรู้มาก่อนกลับปรากฏขึ้นมาในจิตของข้า…”
ฉินมู่ขมวดคิ้ว ความรู้ที่ผุดขึ้นมาอย่างฉับพลันในหัวของเขายังคงอยู่ที่นั่น และมันก็เป็นภาษาเก่าแก่บรรพกาลอย่างถึงที่สุดแบบหนึ่ง
หัวใจเขาสั่นสะเทือนเล็กน้อย และเขาก็จำแลงร่างเป็นเทพครองดาวเสาร์ ประตูน้อมสวรรค์ปรากฏขึ้นมาข้างหลังเขา และรูปเงาของหนังสือโบราณก็ค่อยๆ ก่อรูปขึ้นมาในมือเขา
ฉินมู่ตั้งสติตนเอง และยื่นมือออกไปเพื่อเปิดหนังสือโบราณนั้น เมื่อข้อเขียนทั้งหลายเข้ามาในสายตาของเขา เขาก็พลันรู้สึกเหมือนกับว่าตัวอักษรยึกยือพวกนั้นก่อรูปใหม่ขึ้นมาด้วยตนเอง สัญลักษณ์อันพิลึกพิสดารแต่ละอันเกิดมีความหมายขึ้นมาราวกับว่าเขาได้จดจำมันเอาไว้ติดฝังใจ!
ฉินมู่เหม่อลอย หนังสือนี้เขียนในภาษาแดนใต้พิภพ และเขาก็ไม่มีความรู้เกี่ยวกับระบบอักษรนี้เลยแม้แต่นิดเดียว!
ราชามารตู้เถียนพอรู้อยู่บ้าง และสอนเขาหนึ่งวลีอันคือประตูน้อมสวรรค์ แต่เขาก็ยังโกหกฉินมู่อีกต่างหาก อันเกือบจะทำให้ฉินมู่ต้องเอาชีวิตไปทิ้ง
ส่วนข้อเขียนในหนังสือ ราชามารตู้เถียนไม่เคยสอนเขาเลยสักคำ
กระนั้นบัดนี้เขาก็เข้าใจพวกเขามันทั้งหมด และคล่องแคล่วในภาษาโดยไม่ต้องร่ำเรียน ราวกับว่าเขารู้มันอยู่แล้ว!
แดนลางร้ายนี้ประหลาดจริงๆ ก่อนนี้ข้าไม่เคยเข้าใจตัวอักษรในหนังสือได้สักตัว แต่บัดนี้ข้ากลับอ่านมันได้! ข้อเขียนบนหน้าแรกดูเหมือนกับวิชาแบบหนึ่ง แต่ไม่เหมือนกับวิชาฝึกปรือพลังวัตรโดยทั่วไป พวกมันอาจจะเต็มไปด้วยความรู้พิสดารเกี่ยวกับดวงวิญญาณ แต่มันก็ดูไม่เหมือนจะเป็นเช่นนั้นไปพร้อมๆ กัน พวกมันเหมือนกับทักษะเทวะ…
ฉินมู่ตะลึงลานอย่างไม่รู้จบ ภาษาแดนใต้พิภพในหนังสือนั้นประหลาดพิสดารจนเกินไป มันเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบพานกับนิพนธ์อันดูเหมือนจะเป็นวิชาฝึกปรือแต่ก็ไม่ใช่วิชาฝึกปรือ เหมือนกับความรู้เรียบง่ายแต่ก็ไม่เชิงว่าเป็นเช่นนั้น เหมือนกับทักษะเทวะแต่ก็ไม่ใช่ทักษะเทวะอีกนั่นแหละ
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่เขาก็อดใจไม่ไหว เขาเริ่มต้นอ่านสิ่งที่เขียนไว้บนหน้าแรกออกมาดังๆ น้ำเสียงของเขาทั้งซับซ้อนและลึกล้ำ พร้อมกับมีจังหวะจะโคนอันอัศจรรย์แฝงซ่อนอยู่ด้วย
นิพนธ์นี้มิอาจอธิบายออกมาเป็นภาษาของเขา เพราะว่ามนุษย์ไม่มีวลีที่คล้ายคลึงกัน แม้แต่ความหมายก็ไม่อาจถ่ายทอดออกมาได้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่ต้องกล่าวมันออกมาด้วยภาษาแดนใต้พิภพ
ฉินมู่เพียงอ่านประโยคแรก ดวงวิญญาณเขาก็สะท้านหวั่นไหว ปราณชีวิตในร่างกายของเขาแปรเปลี่ยนเป็นปราณมาร ทันใดนั้นคลื่นลมพยาบาทก็พัดผ่านและเมฆผีสางอันมืดหม่นก็ลอยขึ้นมาเหนือศีรษะของเขา บึงพรุเริ่มผุดนูนรอบๆ ตัว
ฉินมู่รีบหยุดทันทีและมองไปรอบๆ ทุกอย่างกลับเป็นปกติ
เขาอ่านต่อ และลมนั้นก็ย้อนกลับมา น้ำในบึงพรุก็ผุดนูนอีกครั้งราวกับเป็นหม้อน้ำอันเดือดพล่าน เมฆมืดหม่นจับตัวกันเหนือศีรษะของเขา และแปรเปลี่ยนเป็นวังน้ำวนที่หมุนเกลียวม้วนดูดเอาปราณมารมาจากรอบทิศทาง ส่วนหนึ่งของมันเหมือนกับมังกรไร้เขาที่มีหางตกห้อยลงมาขณะที่ลอยอยู่ในใจกลางวังน้ำวน
ฉินมู่จิตสั่นสะท้าน ปราณมารพลันเข้าไปในสมบัติเทวะทารกวิญญาณของเขาจากทางหว่างคิ้ว และเริ่มหลอมรวมเข้ากับทารกวิญญาณด้วยพลานุภาพของเสียงของเขา จากนั้นทารกวิญญาณก็ส่งปราณกลับคืนมา และปราณมารก็ไหลโคจรไปอย่างเชี่ยวกรากผ่านสมบัติเทวะห้าธาตุและหกทิศ แม้แต่ดวงตะวัน ดวงจันทร์ และดวงดาวก็แปดเปื้อนจากปราณมารของเขาและกลายเป็นมืดมัว
ขณะที่ฉินมู่อ่านหนังสือโบราณอีกต่อไป โครงกระดูกก็ลุกขึ้นยืนจากบึงพรุรอบกายของเขา และยังมีซากศพอีกจำนวนมากที่ปีนไต่ออกมาจากใต้น้ำ
เขารีบหยุดอ่านด้วยความตกใจ เขาปิดหนังสือโบราณและสลายร่างเทวาจำแลงเทพครองดาวเสาร์ จากนั้นก็มองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง
ในจังหวะที่เสียงของเขาหยุดลง ซากศพและโครงกระดูกก็ล้มร่วงลงไปตามเดิม
“พิลึกเกินไปแล้ว แดนลางร้ายนี่พิลึกเกินไปแล้ว…”
ฉินมู่ปลุกปลอบตนเองและตั้งใจว่าจะออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
หากว่าข้าออกไปจากแดนลางร้าย ถ้อยคำแดนใต้พิภพในหัวของข้าก็จะหายไป และข้าก็จะไม่สามารถอ่านนิพนธ์ในคัมภีร์โบราณได้อีก เอ๋ พลังวัตรของข้าเหมือนจะเพิ่มพูนขึ้นมานิดหน่อย…
เขาตรวจสอบดูพลังวัตรของตนเอง และอดไม่ได้ที่จะแตกตื่น ในระยะเวลาเพียงสั้นๆ มันถึงกับเพิ่มพูนขึ้นมาจำนวนหนึ่ง!
เขาได้สร้างการเชื่อมต่อระหว่างสมบัติเทวะหกทิศและสมบัติเทวะเจ็ดดาว อันทำให้พลังวัตรของเขาเข้มข้นอย่างถึงที่สุด และไม่ด้อยไปกว่ายอดฝีมือขั้นชาวสวรรค์เลย แต่ทว่า ความเข้มข้นของพลังวัตรของเขาก็เป็นเหตุให้เขาบรรลุขั้นวรยุทธต่อๆ ไปได้อย่างล่าช้า
กระนั้นเพียงเวลาสั้นๆ เขาก็รู้สึกว่าพลังวัตรของเขาเพิ่มพูนไปอย่างมาก ความรุดหน้าเช่นนี้ เรียกได้ว่าน่าแตกตื่นสะท้านขวัญ!
“มีบางอย่างผิดปกติ มีบางอย่างผิดปกติ…สถานที่แห่งนี้จะต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่ๆ และคัมภีร์โบราณเล่มนี้ก็จะต้องมีบางอย่างผิดปกติเช่นกัน…”
ฉินมู่สำรวจตนเองอย่างละเอียด และในที่สุดก็พบว่ามีอะไรผิดไป
มันถึงกับมีประตูที่ปิดตายอยู่ในร่างของเขา!
มันตั้งอยู่ตรงกันข้ามกับสมบัติเทวะทารกวิญญาณของเขา!
มันคือสมบัติเทวะทารกวิญญาณอีกอัน!
“นี่มันดูไม่ชอบมาพากล ไม่ใช่ว่าเขาว่ากันว่าทุกๆ คนจะมีสมบัติเทวะทารกวิญญาณแค่อันเดียวหรอกหรือ ทำไมข้าถึงมีอันที่สอง ข้าเองก็ไม่ใช่สองคน…แต่คิดดูอีกที ก็ไม่เห็นเคยมีใครบอกว่าคนคนหนึ่งจะมีสมบัติเทวะทารกวิญญาณสองอันไม่ได้ ใช่แล้ว นี่จะต้องเป็นข้อได้เปรียบของกายาจ้าวแดนดินแน่ๆ…”
ฉินมู่ผลักคำอธิบายของสมบัติเทวะทารกวิญญาณอีกอันไปให้กับกายาจ้าวแดนดินของเขา และเลิกกังวลเกี่ยวกับมัน
เขาเร่งเร้าปราณชีวิตของเขาเพื่อถล่มเข้าใส่ประตู และก็เกิดรอยแยกแง้มออกมา ปราณมารบริสุทธิ์หลั่งไหลออกมาและหลอมรวมเข้ากับปราณชีวิตของเขา ในช่วงจังหวะถัดมา เสียงมารอันแปลกประหลาดก็ดังมาจากประตูและผลักพลังวัตรของเขากลับไป
เขารีบหยุดทันที
ทารกวิญญาณนี้เป็นสมบัติเทวะแห่งมรรคามาร และไม่ใช่มรรคาเทพ ครั้งหนึ่งข้าเคยได้ยินเสียงเทพเจ้าอันลึกลับ และบัดนี้ก็เป็นเสียงของมารที่ผลักพลังวัตรของข้ากลับมา ไม่ปล่อยให้ข้าเปิดสมบัติเทวะทารกวิญญาณ…ข้าน่าจะถามผู้ใหญ่บ้านดู ก็ในเมื่อเขาเข้าใจกายาจ้าวแดนดินมากที่สุด เขาจะต้องสามารถตอบข้อสงสัยของข้าได้เป็นแน่!
ฉินมู่ละวางเรื่องนี้ไปชั่วคราว และเงยศีรษะขึ้นมองดูสภาพแวดล้อมรอบๆ ผู้บัญชาการที่ได้ชี้ทางให้กับเขาบอกว่าเขาเพียงแต่ต้องเดินไปยังทิศตะวันออก เพื่อจะได้ออกไปจากแดนลางร้ายนี้ได้ ปัญหานั้นก็คือ ความกว้างใหญ่ของบึงพรุแห่งนี้ มันไพศาลเกินกว่าจินตนาการของฉินมู่
เขาปลุกปลอบตนเองอีกครั้งและเริ่มเดินต่อไป หลังจากผ่านไปสักระยะเวลาหนึ่ง เขาก็เดินทางไปเป็นพันลี้ แต่กระนั้นก็ยังไม่พ้นออกไปจากบึงพรุใหญ่
ในเวลานั้น เขาเห็นทะเลสาบน้อยใหญ่มากกว่าหนึ่งร้อย มันเป็นร่องรอยของการรณยุทธในสมัยโบราณ
เมื่อฉินมู่เข้าใกล้ทะเลสาบหนึ่ง เขาก็สัมผัสได้ถึงการสั่นสะเทือนอันน่าสะพรึงกลัวออกมาจากน้ำในนั้น
“ทะเลสาบพวกนี้ึืคือร่องรอยการต่อสู้ระหว่างเทพและมาร”
ฉินมู่ระวังตัวและไม่เข้าไปใกล้ พลานุภาพทักษะเทวะของเทพและมารยังคงมีอยู่ กบดานอยู่ใต้ก้นบึ้งทะเลสาบ มันพร้อมที่จะทะลักทลายออกมาตลอดเวลา และเรื่องร้ายกาจก็จะเกิดขึ้นหากว่าเขาเหยียบลงไปบนทะเลสาบ
แต่ในตอนนั้นเอง เขาก็เห็นภาพอันพิสดารพันลึกยิ่งกว่าเดิม แสงหลากสีฉายส่องขึ้นมาจากทะเลสาบและมีเสียงติ๊งๆ ดังมาจากในนั้น เสียงดังกล่าวชวนให้เขานึกถึงภาพของสมบัติเข้าไปกระทบกันอันเป็นสรรพสำเนียงที่รื่นหูเป็นอย่างยิ่ง
ฉินมู่หยุดเดินและมองไปรอบๆ เขาพบว่าแสงหลากสีนั้นยิ่งมาก็ยิ่งเข้มข้น เขามองเห็นกลีบดอกบัวหมุนวนอยู่รางๆ ข้างในนั้น และบัลลังก์บัวยักษ์ก็ลอยเลื่อนขึ้นจากใต้ทะเลสาบ แต่ทว่ามันดูพังภินท์ก็ในเมื่อกลีบบัวทั้งหลายร่วงหลุดไป กระนั้นบัลลังก์บัวก็ยังคงมีแรงดึงดูดอันแปลกประหลาดที่ทำให้กลีบบัวหลุดขาดเหล่านั้น หมุนวนไปรอบๆ มัน
ในขณะเดียวกัน ที่ใจกลางแสง เสียงหัวเราะระรื่นดังมาจากทะเลสาบ และเขามองไปยังแหล่งที่มาของเสียงก็เห็นเด็กสาวจำนวนหนึ่งซึ่งมีผ้าคลุมหน้า พวกนางกำลังละเล่นกันอยู่ริมทะเลสาบ บางนางก็กระโดดลงไปในน้ำ และที่เหลือก็นั่งอยู่บนผิวน้ำและเล่นสนุกกับคนอื่นๆ
ฉินมู่ตาเป็นประกาย และเขาก็นำพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกออกมาเพื่อเริ่มวาดภาพ ผ่านไปพักหนึ่ง เขาก็วาดภาพทะเลสาบและพวกสาวๆ ที่กำลังเล่นน้ำอยู่สำเร็จ มันมีบัลลังก์บัวอยู่ด้วยเช่นกัน
จากนั้นเขาก็กระโดดเข้าไปในภาพวาด เพื่อหยอกล้อเล่นสนุกกับพวกสาวๆ อย่างเริงรื่น
ภาพวาดนี้ตั้งอยู่ข้างๆ ทะเลสาบ ข้างในนั้น เด็กหนุ่มรื่นรมย์เสียยิ่งกว่าอะไร เขานั่งอยู่บนบัลลังก์บัวอันมีดรุณีมากมายเอนกายพิง เขากอดทั้งซ้ายและขวา และแม้กระทั่งเก็บเอาอาวุธวิญญาณอันเหนือธรรมดานี้เข้าไปในถุงเต๋านี้ นับว่าเขาถึงจุดสูงสุดของชีวิตแล้วจริงๆ
แสงสว่างเอ่อล้นบนทะเลสาบ และทันใดนั้นทุกอย่างก็มลายหายไป มันดูเหมือนกับมีสัตว์ประหลาดยักษ์เคลื่อนไหวอยู่ข้างใต้ทะเลสาบ เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว มันดูเหมือนเกาะเล็กๆ ที่กำลังเคลื่อนที่
ฟู่
ทะเลสาบแยกออกจากกัน และลูกตามหึมาก็กระโดดออกมาจากผิวน้ำ บนลูกตานั้นห่อหุ้มไปด้วยเพลิงไฟอันร้อนแรง ดังนั้นมันน่าจะเป็นลูกตาของมารเทวะตนหนึ่ง
สำนึกรู้ของมันคงจะตื่นขึ้นมาเองเมื่อเวลาผ่านไป หรือมิเช่นนั้นมันก็คงจะถูกสิงสู่โดยดวงวิญญาณแตกหัก กระนั้นที่ยิ่งแปลกกว่าก็คือมันมีแขนและขางอกเงยออกมา มันมีสี่แขนและสี่ขา ข้างหลังดวงตาก็ยังมีปีกอีกสองคู่ สัตว์ประหลาดนี้มายังภาพวาดและมองไปข้างใน ความอิจฉาริษยาฉินมู่ลุกโพลงในตัวมัน
“คุคุ!” ดวงตามารนี้ยิ่งกว่าตื่นเต้น
ทันใดนั้น มันก็ย่อขนาดร่างกายให้เหลือเท่าอ่างล้างหน้า และกระพือปีกของมันพุ่งทะยานเข้าไปในภาพวาด มันหลุดเข้าไปในนั้นด้วยเสียงปุ๊บ
ในจังหวะที่ดวงตามารเข้าไปในภาพวาด ดวงตาของมันก็เปิดอ้าออกเผยให้เห็นปากอันใหญ่กว้าง ข้างในนั้นเต็มไปด้วยเขี้ยวคมกริบราวมีดโกน “คุคุ!” สัตว์ประหลาดคำราม
ฉินมู่ตะเกียกตะกายลงไปจากบัลลังก์บัวด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง และรีบหนีเอาชีวิตรอด
ดวงตามารกระหยิ่มยิ้มย่องและกระโดดขึ้นไปบนบัลลังก์บัว มันลากพวกสาวๆ เข้ามาใกล้และกอดซ้ายกอดขวา พลันรู้สึกว่ามันได้ขึ้นมาสู่จุดสูงสุดของชีวิตสัตว์ประหลาดของมัน
ฉินมู่กระโดดออกไปจากภาพวาด และลบฝีพู่กันออกเส้นหนึ่ง ทันใดนั้นพวกสาวๆ และสัตว์ประหลาดดวงตามารก็ถูกตรึงค้างไว้กับที่
สัตว์ประหลาดตัวนี้น่าสนใจจริงๆ กำลังฝีมือของมันแข็งแกร่งกว่าข้ามากนัก แต่มันค่อนข้างโง่เซ่อและไม่รู้ว่าหัวใจมนุษย์นั้นกลอกกลิ้งชั่วร้ายขนาดไหน มันพยายามใช้สมบัติวิเศษและสาวงามมาล่อลวงข้า แต่กลับถูกข้าล่อลวงแทนและส่งตัวเองเข้าไปในกับดัก
ฉินมู่นำตราประทับของเขาออกมา และเป่าไอหมอกร้อนลงไปบนนั้น เขาประทับตราลงไปที่มุมทางขวาล่างของภาพวาดและปิดผนึกมัน จากนั้นก็ม้วนภาพวาดเอาไว้และเก็บในถุงเต๋าตี้
กำลังฝีมือของสัตว์ประหลาดตัวนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย หากว่าข้าเผชิญกับศัตรูที่สู้ไม่ได้ ข้าก็จะสามารถปล่อยมันออกมาให้สู้แทนข้า
ฉินมู่เดินต่อไปข้างหน้าพลางเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น หากว่าข้าสามารถพบเจอวัตถุลางร้ายแบบนี้อีกในดินแดนเห่งนี้ ข้าก็จะมีวิธีใช้สอยมันเป็นอย่างดี! พวกมันล้วนแต่เป็นสมบัติล้ำค่าอันเหนือธรรมดา หากว่าเป็นซิงอ้าน เขาจะต้องหลงรักสถานที่นี้แน่ๆ มาคิดๆ ดูแล้ว ก็นานโขที่ข้าไม่ได้เห็นหน้าเขา…
เขาเดินออกไปจากบึงพรุในที่สุด และมายังซากปรักหักพังของเมือง มันมีสิ่งก่อสร้างพังทลายไปทุกหนทุกแห่ง สิ่งก่อสร้างพวกนี้ดูเหมือนจะไม่มีใครเข้ามารบกวนความสงบของมันเป็นเวลานาน โครงกระดูกแตกหักดารดาษไปทั่วตรอกถนนอันรกร้าง ลมเย็นเยือกพัดมา และหัวกะโหลกแตกๆ ก็ส่งเสียงกรอกแกรก กลิ้งไปมารอบๆ
ทันใดนั้น ถนนก็ปริแยกออกจากกระดูกสันหลังยาวเหยียดอันผงาดขึ้นมาเหมือนมังกรตัวหนึ่ง ซี่โครงของมันตะกายไปข้างหน้าเหมือนกับขา วิ่งตะบึงเข้ามาโจมตีฉินมู่อย่างเกรี้ยวกราด
ที่ปลายยอดของกระดูกสันหลังนี้เป็นหัวกะโหลกอันดุร้ายที่น่าจะเคยเป็นของมารเทวะตนหนึ่ง บนหัวของกะโหลกมีหนามกระดูกแหลมมากมาย โดยไม่มีเส้นผมเลยสักนิด ทำให้สัตว์ประหลาดนี้ดูดุร้ายอย่างถึงที่สุด และมันก็อ้าปากกว้างขณะที่กระโจนเข้าขย้ำ
ฉินมู่เลือกที่จะวิ่งหนี ขณะที่เขาทำเช่นนั้น เขาก็เห็นสนามรบตรงหน้าเขาอันมีโครงกระดูกมากมายต่อสู้กันอยู่ อาวุธวิญญาณแตกหักจำนวนมากเข้าไปปะทะกัน ทำให้ทรายและผงคลีฟุ้งตลบไปหมด
ฉินมู่หมายที่จะอ้อมไป แต่กระดูกสันหลังมหึมานั้นเหินทะยานขึ้นไปบนอากาศ พลางไต่ไปบนไฟมาร ดังนั้นเขาจึงได้แต่กัดฟันแล้วพุ่งตัวเข้าไปในสนามรบ
ในจังหวะที่เขาทำเช่นนั้น เขาก็รู้ทันทีว่าเป็นการตัดสินใจที่ย่ำแย่สุดๆ โครงกระดูกแต่ละโครงนั้นแข็งแกร่งอย่างมหันต์ โครงกระดูกที่อ่อนแอที่สุดก็อ่อนแอกว่าเขาไม่มาก!
ตึง ตึง ตึง!
เสียงของกลองดังสะท้านไปทั่วสนามรบเมื่อโครงกระดูกขาวขนาดยักษ์สองตัวที่สูงร้อยห้าสิบวาดึงเอากระดูกขาออกมาและส่ายหัวไปมาด้วยความตื่นเต้น พวกมันใช้กระดูกของตนเองทุบตีกลองศึก แต่ละครั้งที่ตีลงไปก็สร้างเสียงฟ้าคำราม และโครงกระดูกทั้งหลายที่กำลังต่อสู้ใกล้ๆ กับพวกมันก็ยิ่งโรมรันกันอย่างบ้าคลั่งเข้าไปอีก
ฉินมู่พุ่งตะลุยผ่านนักสู้ทั้งหลายพลางเหลือบตามองกะโหลกมารเทวะกับกระดูกสันหลังของมันที่เข้ามาบดขยี้ทุกอย่างอันขวางทางมัน
“เว่ยเหลียวอยู่ที่นี่แล้ว แค่พวกภูตผีและปีศาจ อย่ามาสะเออะอาละวาด!”
ฉินมู่มองไปยังทิศทางเสียงและเห็นเทพครองดาวเจ็ดสังหารพร้อมกับขวานศึกของเขากำลังนำทัพโครงกระดูกและซากศพจำนวนนับไม่ถ้วน ด้วยเสียงดังสนั่น กองทัพใหม่นี่ก็กรูเข้ามาในสนามรบ และไม่ว่าพวกเขาจะผ่านไปที่ใด หัวกะโหลกแตกหักก็ปลิวว่อนกระเด็นขึ้นไปบนท้องฟ้า
เว่ยเหลียวเหวี่ยงขวานศึกของเขา ทุบทำลายกะโหลกมารเทวะที่ไล่ล่าฉินมู่ จากนั้นเขาก็ตะโกนออกไปด้วยเสียงอันดัง “มีชีวิตก็เป็นวีรชน ตายก็ต้องเป็นผีห้าวหาญ! จงทำลายล้างไอ้มารพวกนี้และยึดครองแดนลางร้าย! พวกเราจะเป็นผู้ปกครองดินแดนคนใหม่ของที่นี่!”
ฉินมู่เบิกตากว้างเมื่อเว่ยเหลียวนำทุกๆ คนพุ่งทะยานไปทั่วสนามรบ ในเวลาไม่นาน กระดูกก็ก่ายกองไปทุกหนทุกแห่ง ขณะที่กองทัพชนะศึกกำลังฉีกยิ้ม พวกเขาเลือกเอาชิ้นกระดูกที่สมบูรณ์ดีบนพื้นมาสับเปลี่ยนกับชิ้นที่แตกหักของตน
เว่ยเหลียวก้าวอาดๆ เข้ามาและกล่าว “แดนลางร้ายนี้อันตรายอย่างสุดกู่ สหายน้อย ให้พวกข้าส่งเจ้าออกไปเถอะ!”
………………