ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 557 บ้าบิ่นเล็กน้อย ใช้ยาพิษนิดหน่อย
แสงกระบี่ขาวโพลนราวหิมะแผ่พุ่งออกไปราวกับดวงอาทิตย์ขนาดเล็กและขยายตัวออกไปอย่างรวดเร็ว!
เมื่อมันครอบคลุมพื้นที่รัศมีกว่าสิบวา มันก็หดตัวลงอย่างเร็วรี่ ในพริบตาถัดมา มันกลายเป็นไจกระบี่อยู่ตรงหน้าหว่างคิ้วของฉินมู่ มันสาดรังสีแสงอันเข้มข้น และแผดแสงของมันออกไปอีกครั้ง!
ฟิ้ววว!
แสงกระบี่ที่สาดส่องไปคราวนี้กินรัศมีเกินกว่าร้อยห้าสิบวา พวกเขาขับเคลื่อนทักษะวิชาทุกชนิดเพื่อขัดขวางแสงกระบี่อันน่าสะพรึงกลัว เสียงปะทะกันเคร้งคร้างดังมาอย่างถี่ยิบ
“ไม่ต้องไปกลัวเขา!” ยอดฝีมือมารที่ปากโป้งบอกให้ทำลายการตรึกตรองเต๋าของฉินมู่ตะโกนออกไป “ข้าก็เคยผ่านประสบการณ์ตรึกตรองเต๋ามาก่อน ระหว่างภวังค์สมาธิ ร่างกายจะเป็นหนึ่งเดียวกับเต๋า ทำให้ไม่ว่าอากัปกิริยาใดก็จะเต็มเปี่ยมไปด้วยแง่พิสดารแห่งเต๋า ทำให้ยากจะโจมตีโดนคนผู้นั้น แต่บัดนี้เมื่อเขาออกจากเต๋าแล้ว เขาก็คือปุถุชนธรรมดา พวกเราสามารถกำจัดเขาได้ง่ายดาย”
กระบี่บินแผ่ออกไป และทุกคนก็มีกระบี่บินเจ็ดสิบแปดสิบเล่มรอบๆ ตัว ร่ายรำท่วงท่ากระบี่พื้นฐานทุกชนิด แม้ว่ากระบวนท่าจะเรียบง่ายอย่างเหลือแสน แต่มันก็มีวิธีการแตกต่างกันนับพันในการโจมตี กระบี่บินแต่ละเล่มก็มีการประกอบแบบแผนที่แตกต่างกัน และกระบวนท่าที่ทุกคนต้องต้านรับก็ไม่เหมือนกัน
ในวินาทีนั้น ร่างกายฉินมู่เคลื่อนไหวราวเงาภูตพรายท่ามกลางกระบี่ทั้งแปดพันเล่ม และกาลเวลาเหมือนจะเชื่องช้าลง กระบี่บินทั้งหลายเหมือนกับกลีบดอกไม้ที่ลอยละล่องอยู่เบื้องหน้าสายตาของเขา ท่วงท่า การโจมตี และทักษะเทวะของยอดฝีมือมารแต่ละคนกลายเป็นเชื่องช้าจนถึงขีดสุด
เป็นดังเช่นที่ยอดฝีมือที่ทำลายการตรึกตรองของฉินมู่ได้กล่าวเอาไว้ เมื่อบุคคลใดถูกบีบให้ต้องออกจากเขตขั้นของการตรึกตรองเต๋า ผู้นั้นก็จะไม่อาจรักษาสภาพของคนและเต๋ารวมเป็นหนึ่ง แต่ทว่ายอดฝีมือผู้นั้นมิได้คาดคิดว่าที่ฉินมู่กำลังตรึกตรองไม่ใช่มรรคา วิชา และทักษะเทวะ
เขากำลังตรึกตรองวิชาฝึกปรือ
เขาได้เข้าสู่เขตขั้นเต๋าด้วยวิชาฝึกปรือ
วิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะนั้นเพริศแพร้วพิสดารมาตั้งแต่ไหนแต่ไร และได้ทำให้ฉินมู่บ่มเพาะพลังวัตรอันเข้มข้นอย่างเหลือล้ำ มันยังทำให้จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาเหนือกว่ารุ่นวรยุทธเดียวกัน ไม่เช่นนั้น ฉินมู่คงไม่อาจสังหารสี่ยอดฝีมือเผ่ามารได้ทั้งๆ ที่มีกายเนื้ออันด้อยกว่าอยู่ชัดๆ
ในตอนนี้เขาได้ตรึกตรองวิชาฝึกปรือของเขา และยกระดับมันขึ้นสู่เขตขั้นมรรคาเต๋า ซ่อมแซมปัญหานี้ของตน
กายเนื้อของเขาเข้าสู่สภาวะสมบูรณ์แบบ ทุกส่วนในร่างกายของเขาสามารถทั้งแยกใช้เดี่ยวๆ หรือร้อยรัดเข้าด้วยกัน ทำให้เขาผสานพลานุภาพและพลังงานในส่วนต่างๆ เหล่านั้น
ความเร็วของเขาบรรลุขั้นสุดขีดขั้ว และเหนือล้ำกว่าเดิมไปอักโข ยอดฝีมือแข็งแกร่งเผ่ามารผู้ซึ่งต้านรับกระบี่บินมากมาย ก็เห็นแต่เพียงแค่เส้นอันเกิดจากที่ฉินมู่วิ่งตะบึงไปข้างหน้า
ฉึก!
ฉินมู่คว้ากระบี่บินเล่มหนึ่ง แทงมันไปข้างหน้า โลหิตพลันพุ่งกระฉูดออกมาจากคอของยอดฝีมือมารคนหนึ่งผู้ซึ่งกำลังต้านรับการโจมตีของกระบี่บินรอบตัวเขา
ในเสี้ยววินาทีถัดมา ฉินมู่ได้ปล่อยกระบี่บินนั้นแล้ว และก้าวไปยังข้างหลังของมารคนที่สอง เขาหยิบกระบี่อีกเล่มหนึ่ง และใช้มันแทงหัวใจของเขาจากข้างหลัง ทะลุตลอดออกมาจนถึงหน้าอก
ตูม!
ฉินมู่ปะทะกันซึ่งๆ หน้ากับยอดฝีมือที่บุกตะลุยออกมาจากวงล้อมของกระบี่ และกำปั้นของพวกเขาก็ปะทะกัน พายุสายฟ้าเก้ามังกรระเบิดปะทุออกไปในเสี้ยววินาทีก่อนที่กำปั้นของพวกเขาจะกระทบกัน แต่แม้จะหลังจากนั้น พายุสายฟ้าเก้ามังกรก็ยังคงโจนทะยานต่อไปแม้ว่าจะบดขยี้ทั้งแขนและกระดูกทั้งหมดของยอดฝีมือมารสุดแกร่งคนนั้น ทะลุไปถึงหัวไหล่ของเขาและพวยพุ่งออกไปทุกทิศทาง
เมื่อฉินมู่ผละไป และแทงกระบี่เข้าไปยังหว่างคิ้วของยอดฝีมืออีกคน ผู้ฝึกวิชาเทวะคนก่อนหน้าถึงหน้าอกยุบเข้าไป ข้างหลังเสื้อของเขาระเบิดกระจุยเป็นผุยผงเมื่อมังกรสี่สิบห้าตัวมุดออกมาจากหัวใจของเขา กระชากปราณและโลหิตของเขาออกไปด้วย!
ฉินมู่รู้สึกเหมือนย่างเข้าไปในโลกอันเวลาเดินผ่านไปอย่างเชื่องช้า ความรุดหน้าของเขาเพิ่มพูนไปอย่างรอบด้าน
โลหิตระเบิดออกมาจากจุดตายของศัตรู ก่อนที่พลานุภาพทักษะเทวะของพวกเขาจะสามารถระเบิดออกไปได้เสียอีก แปรเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นบุปผาโลหิตที่ค่อยๆ เบ่งบานบนท้องฟ้า หลังจากที่พลานุภาพที่ทักษะเทวะพวยพุ่งออกไป ฉินมู่ก็มิได้อยู่ตรงนั้นแล้ว
ทักษะเทวะของศัตรูกลายเป็นเชื่องช้าราวหอยทากในสายตาของเขา และเขาสามารถมองเห็นปราณชีวิตแปรเปลี่ยนเป็นอักษรรูน ก่อนที่จะก่อรูปขึ้นมาเป็นเวทมนตร์ การระเบิดปะทุของพลานุภาพเวทมนตร์เหล่านั้นดูสวยงามเป็นพิเศษ
ผู้ฝึกวิชาเทวะมารเหล่านั้นล้วนแต่มิใช่ผู้ด้อยฝีมือ แต่เป็นศิษย์ที่ได้รับการสอนสั่งจากมารเทวะทั้งหลาย พวกเขาเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นชนชั้นยอดในหมู่มาร และนอกจากมีพลานุภาพอันมหาศาลแล้ว ทักษะเทวะของพวกเขาก็ยังคงเพริศแพร้วพิสดารเป็นอย่างยิ่ง ทุกๆ เสี้ยววินาทีที่ทักษะเทวะของพวกเขาแปรเปลี่ยนไปนั้นทั้งงดงามและตระการตา
ฉินมู่ชื่นชมความงามเช่นนี้เป็นอย่างยิ่ง ภายใต้เนตรเทวะสวรรค์เก้าของเขา กระบวนการเบ่งบานของทักษะเทวะนั้นช่างรื่นรมย์ต่อสายตา
ยิ่งเมื่อมีโลหิตสาดกระเซ็นกลางอากาศ ก่อรูปเป็นบุปฝาโลหิต มันก็ยิ่งน่าดูชม มันได้ประดับเสริมเข้าไปในทักษะเทวะของยอดยุทธมารนับร้อย ทำให้พวกมันยิ่งดูรุ่มรวยและวิลิศมาหรา
ในตอนนั้นเอง ฉินมู่ก็ได้เลือกเส้นทางอีกเส้นหนึ่ง และใช้วิธีการแปลกประหลาดเพื่อก่อสร้างเส้นทางการโคจรปราณให้กับวิชาฝึกปรือของเขา ก่อสร้างมันขึ้นมาใหม่ ด้วยการขัดเกลาวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะให้สมบูรณ์แบบ เขาก็ไม่เพียงแต่ยกระดับกายเนื้อของตนเอง แต่ยังคงเพิ่มพูนความเร็วในการโคจรปราณชีวิตอีกด้วย เพื่อทำให้พลานุภาพทักษะเทวะของเขาคูณเข้าไปทบทวี!
เขาเลื้อยเบนไปมาระหว่างผู้ฝึกวิชาเทวะมารนับร้อย และขับเคลื่อนท่วงท่ากระบี่อันเป็นพื้นฐานที่สุดโดยไม่มีกระบวนท่าเปล่าประโยชน์เลยแม้แต่น้อย ภายใต้การเพิ่มพูดความเร็วและพลังของเขา กระบวนท่าอันเรียบง่ายก็กลายเป็นทรงประสิทธิภาพอย่างถึงที่สุด
ในเนตรเทวะของเขา ทุกๆ คนกลายเป็นเชื่องช้า ไม่ว่าจะเป็นทักษะเทวะหรืออาวุธวิญญาณ หรือการเคลื่อนไหวร่างกายพวกเขา ทั้งหมดนั้นกลายเป็นแช่มช้า เขาสามารถมองเห็นช่องโหว่ของทุกๆ คนได้
ฉินมู่หยุด และกระบี่บินของเขาก็เหาะหวีดหวิวกลับมา พวกมันเข้าปะทะกับกระบี่ไร้กังวลในมือของเขาและหายวับไป ไม่ช้า กระบี่ทั้งแปดพันเล่มก็กลายเป็นหนึ่งเดียว
ข้างหลังเขา ทักษะเทวะจำนวนนับไม่ถ้วนระเบิดออก และอาวุธวิญญาณก็เริงระบำอยู่บนฟากฟ้า ทำลายต้นไม้ที่สูงที่สุดในป่าข้างล่าง เสียงครืนครันและเสียงระเบิดดังออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน
ผ่านไปสักครู่ ทุกสิ่งก็คืนสู่ความสงบ
จากนั้นก็มีเสียงตึงๆ เมื่อศพของยอดฝีมือมารทั้งหลายล้มตายลงไปทั้งซ้ายและขวา
ฉินมู่ถูและปั้นกระบี่ไร้กังวลในมืออย่างแผ่วเบา และมันก็กลายเป็นไจกระบี่ลูกหนึ่ง เขาหันกลับไปและมองยังยอดฝีมือมารเพียงคนเดียวที่ยังยืนอยู่บนสนามรบ
นั่นไม่ใช่ใครอื่น นอกเสียจากบุคคลที่เสนอให้ทุกๆ คนทำลายการตรึกตรองเต๋าของเขา
ในตอนนั้นเอง ขาของมารตนนั้นก็สั่นพั่บๆ และเหงื่อเม็ดเป้งก็ร่วงลงมาจากหน้าผากของเขา ทั้งใบหน้าเกลื่อนกล่นไปด้วยความกลัว
ฉินมู่เก็บไจกระบี่ และปราณชีวิตของเขาไหลออกมาเพื่อก่อสร้างเส้นทางโคจรปราณในเนตรเทวะใหม่อีกครั้ง แต่ทว่า ไม่ว่าเขาจะทำเช่นใด เขาก็ไม่อาจเข้าสู่สภาวะตรึกตรองเต๋าได้
ยอดฝีมือมารมองเขาด้วยความเซื่องเซ่อ ไม่กล้ากระดุกกระดิก
ยิ่งฉินมู่อยากเข้าสู่สภาวะตรึกตรองเต๋ามากเท่าไร เขาก็ยิ่งทำไม่ได้มากเท่านั้น ความหงุดหงิดขยายพองในตัวของเขา และเขาก็ต่อยทำลายเนตรเทวะที่ก่อขึ้นมาจากปราณชีวิตด้วยกำปั้น
ตูม ตูม ตูม ตูม!
เขากลายเป็นบ้าคลั่งขึ้นมาและซัดหมัดไปข้างหน้าอย่างเกรี้ยวกราด ในชั่วพริบตา เสียงฟ้าคำรามเป็นตับๆ ก็ดังติดๆ กัน เสียงของพวกมันกระชั้นเป็นอย่างยิ่ง อากาศตรงหน้าเขากลายเป็นกำแพงอันค่อยๆ หนาขึ้นและหนาขึ้นทุกที จนกระทั่งมันปรากฏเห็นด้วยตาเปล่า กำแพงนี้ถูกผลักออกไปด้วยลมจากหมัดของเขา ทำให้ต้นไม้ทั้งหลายหักโค่นและก้อนหินก็แหลกทำลาย ท่ามกลางทรายกระจุยและหินที่ปลิวว่อน กำแพงก็ถูกผลักกระเด็นไปไกลสิบลี้ และพื้นแหว่งขนาดมหึมาก็ถูกไถขึ้นมา
ฉินมู่ระบายความโกรธเสร็จและพลันหันหน้ากลับไป หางตาของเขาจ้องมองไปที่ยอดฝีมือมารคนนั้น “เจ้าคือคนที่บอกพวกเขาให้ทำลายการตรึกตรองเต๋าของข้างั้นหรือ เจ้าฉลาดเสียจริงนะ หรือว่าไม่ใช่!”
ยอดฝีมือมารมองไปที่เขาด้วยสายตาเหม่อลอย แต่ทันใดนั้นแรงดิ้นรนเอาชีวิตรอดก็มีชัยชนะเหนือความกลัวของเขา เขาหวีดร้องออกมาและพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า แปรเปลี่ยนเป็นเส้นสายปราณมารเพื่อหลบหนี
ฉินมู่เขย่าหัว และชั้นต่างๆ ของวงจรพยุหะก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา ทางช้างเผือกในแก้วตาหมุนเกลียววนไปอย่างดุเดือด
ชิ้ง!
ลำแสงสองลำยิงพุ่งออกไปจากดวงตาเขา สกัดขัดขวางปราณมารนั้น หนึ่งศีรษะ สองแขน และครึ่งร่างร่วงหล่นลงมา
“พูดอีกสิ!” ฉินมู่สะบัดหน้าจากไปด้วยความเดือดดาล และทำลายก้อนหินอันสูงเท่าตัวมนุษย์ด้วยลูกเตะ
ผ่านไปพักหนึ่ง ก็มีเงาร่างใหม่เหาะลงมาจากท้องฟ้า และเหยียบลงบนสนามรบ ผู้ที่นำมาคือมารเทวะที่มีรัศมีอันแรงกล้า
“อาจารย์ ศิษย์ของมารสิจิ่วเสียชีวิตแล้ว!”
“ศิษย์ของราชาเอี้ยนก็ถูกสังหาร!”
“ศิษย์ราชามารโหย่วก็เช่นกัน!”
“ศิษย์ของจุ้ยฉีอยู่ที่นี่!”
“ศิษย์ของราชาหลิวเย่!”
“อาจารย์ ศิษย์น้องหกก็ถูกเคราะห์ภัย!”
…
มารเทวะอ้าปากคำรามด้วยโทสะ และลมอันรุนแรงโหมกระพือผ่านป่า หมอกบนท้องฟ้าสะเทือนสะท้านก่อนที่จะหายวับไปในพริบตา
“เจ้าได้สังหารชนชั้นยอดแห่งเผ่ามารข้าไปมากมายเกินไปแล้ว และสร้างช่องโหว่ในยอดฝีมือขั้นหกทิศและเจ็ดดาว ในเมื่อเจ้ากล้าทำเรื่องโหดเหี้ยมต่อผู้คนของข้า เจ้าก็ลืมไปได้เลยว่าจะได้เดินออกไปจากเขตแดนมาร! ถ่ายทอดคำสั่งของข้า ปล่อยสุนัขเทพใต้พิภพไปไล่ล่ามัน ตามหาตัวมันให้ได้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม!”
ยอดฝีมือมารขั้นชาวสวรรค์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “อาจารย์ คำสั่งของฟู่ยื่อลัวคือว่าหากพวกเราสามารถจับตัวเขามาทั้งเป็นๆ ได้ เราก็ควรจับมาเป็นๆ แต่หากว่าเราทำไม่ได้ ก็จะต้องให้มีสภาพร่างที่สมบูรณ์ มหาราชากล่าวว่า ร่างกายของมนุษย์ผู้นี้มีความลับใหญ่หลวง…”
มารเทวะกวาดสายตาเยียบเย็นไป และยอดฝีมือมารพลันหุบปาก เขารีบถ่ายทอดคำสั่ง
ฉินมู่ได้ยินเสียงคำรามจากไกลๆ และหัวใจเขาก็สั่นสะท้าน เขาอดไม่ได้ที่จะพึมพำว่ามารพวกนี้มีแต่ห้าวหาญและเก่งการต่อสู้ พวกเขาเหมือนคนคลั่งศึกที่ชอบจะโอ้อวดพลังการต่อสู้ วิธีที่ดีที่สุดคือสังหารยอดฝีมือที่แข็งแกร่งเสีย ดังนั้นท่ามกลางหมู่พวกที่ไล่ล่าฉินมู่มา พวกที่กระตือรือร้นที่สุดก็คือยอดฝีมือขั้นเจ็ดดาว
แต่ทว่า ในการศึกเพียงครั้งเดียว ศิษย์ของมารเทวะในขั้นเจ็ดดาวเกือบทั้งหมด ได้ตกตายในน้ำมือของเขา
ถ้าเช่นนั้น ยอดฝีมือขั้นไหนกันที่จะไล่ล่าเขามาอีกในตอนนี้
เขานับว่าอยู่ไม่ห่างไกลจากแนวหน้าสนามรบ และจำนวนของเมืองและกองกำลังยุทธศาสตร์ก็เพิ่มมากขึ้นมาเห็นได้ชัด จากนี่ฉินมู่ก็ได้เห็นว่าเผ่ามารนั้นแข็งแกร่งมากเพียงใด
สุนัขดำตัวใหญ่กระโจนผ่านภูเขามาข้างหลังเขาราวกับว่าเหินบิน มันแบกเอายอดยุทธฝีมือแกร่งเผ่ามารมาห้าหกคนพลางดมฟุดฟิดหาร่องรอยเขาดูไปรอบๆ จากที่ไกลๆ มันดูเหมือนเนินเขาเล็กๆ ที่มีสองหัว ดวงตาของมันราวกับโคมไฟสีแดงดวงใหญ่ และร่างกายก็เต็มไปด้วยมัดกล้าม
พวกมันมิได้มีเพียงแค่สองตาต่อหนึ่งหัว แต่เป็นดวงตาสามดวง ดวงที่อยู่บนหน้าผากนั้นถึงกับยิงลำแสงสีแดงออกมาเป็นระยะๆ ส่องสำรวจบริเวณโดยรอบ
สีหน้าของฉินมู่กลายเป็นมืดครึ้ม สุนัขมารมากมายได้เสาะพบกลิ่นของเขาแล้ว และกำลังรวมตัวกันเพื่อมุ่งหน้ามายังเขา
ข้าจะต้องวางยาพิษพวกมัน ไม่อย่างนั้นคงหนีไม่รอด!
เขาพลิกคุ้ยถุงเต๋าตี้และพบสมุนไพรจำนวนหนึ่ง คราวนี้เขาไม่ใช้ปราณชีวิตก่อขึ้นมาเป็นเตาหลอมยาเพื่อหลอมปรุงยา แต่เขานำเอาเตาหลอมผนึกกลิ่นออกมาและหลอมปรุงพิษในนั้น
ฉินมู่กลั้นลมหายใจและปิดผนึกรูขุมขนทั้งหมด หลังจากคิดอยู่สักพัก เขาก็ถอดรองเท้าออกมาและเปิดฝาเตาผนึกกลิ่น เขานำยาพิษจำนวนหนึ่งออกมาอย่างระมัดระวัง และโรยลงมันลงไปบนรองเท้าของตนพลางคิด แม้ว่าข้าจะไม่มีเวลาหลอมปรุงพิษที่สามารถทำอันตรายมารเทวะได้ แต่แค่วางยาพิษสุนัขมารนี่ก็คงไม่ใช่ปัญหา
เขาโยนรองเท้าทิ้งไว้ และจากไปด้วยตีนเปล่า
ผ่านไปสักพัก เสียงพยัคฆ์คำรามก็สะท้านสะเทือนแผ่นดิน และฉินมุ่รีบหันกลับไปมอง เขาเห็นรัศมีเทพสาดส่องออกมาเมื่อเทพเสือขนดำฉีกทึ้งสุนัขมารและยอดฝีมือแกร่งมารที่อยู่บนหลังของพวกมัน
“พี่เสือ! ข้าได้กลิ่นจ้าวลัทธิ!” เสียงของกิเลนมังกรดังมาจากที่ไกลๆ และเต็มไปด้วยความยินดี “ตามข้ามา…รองเท้าจ้าวก็อยู่ที่นี่ด้วย รองเท้าเหม็นอะไรอย่างนี้…บัดซบ…ข้าโดนพิษ…”
………….