ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 573 ลู่หลีจุติลงมา
ขณะที่ชิงเอี๋ยนพูดจบ มือของเขาก็พลันว่างเปล่าเมื่อผานกงสั่วร่วงลงไปกับพื้น กลายเป็นเงา!
ด้วยความตื่นตระหนก ชิงเอี๋ยนคว้าจับเงา แต่มันกระจัดกระจายไปด้วยเสียงฟุ่บกลายเป็นควัน ดังนั้นมือของเขาจึงคว้าจับได้แต่อากาศ!
ควันนั้นแยกออกเป็นสิบกว่าส่วน และลอยพุ่งไปเลียดพื้น ยอดฝีมือเยาว์แห่งหมู่บ้านมังกรเหินขึ้นไปบนอากาศ และกระโจนเข้าใส่พวกมันจากทิศทางต่างๆ แต่ละคนก็ไล่ตามควันส่วนหนึ่งไป พวกเขาเป่าไล่ควันทุกสายทาง แต่ไม่ปรากฏร่องรอยของผานกงสั่ว
ทันใดนั้น ฉินมู่ก็ยกมือขึ้นให้แสงกระบี่พุ่งออกไป แสงโลหิตสาดส่อง และขาข้างหนึ่งก็ร่วงลงบนพื้น ด้วยเลือดที่สาดกระเซ็นออกมาจากอากาศธาตุ
ฉินมู่ควบคุมกระบี่ด้วยปราณ และแสงกระบี่ก็พุ่งวาบ กระนั้นเขาก็โจมตีไม่โดนอะไรเลย
มีควันพุ่งกระจายออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกสารทิศ หลบหนีไปตามตรอกถนนต่างๆ เสียงอันตื่นตระหนกและโกรธเกรี้ยวของผานกงสั่วดังมาจากรอบทิศทาง “ไอ้เด็กแซ่ฉิน เจ้าและข้าไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกัน!”
สถานที่แห่งนี้มีผู้คนมากมายเดินกันขวักไขว่ ดังนั้นเมื่อควันปกคลุมไปหมดเต็มตรอกและถนน พวกเขาก็ต่างร้องออกมาด้วยความแตกตื่น
ฝูงชนมากมายทำให้ยอดฝีมือมังกรเสาะหาร่องรอยผานกงสั่วได้อย่างยากลำบาก
สีหน้าของชิงเอี๋ยนวูบไหวไปมา เขาเป็นมังกรเทพยดาแต่ก็ยังคงปล่อยให้ผานกงสั่วหลุดรอดไปได้ใต้จมูกของเขา เขารู้สึกละอายยิ่ง และเท่านั้นยังไม่พอ ผานกงสั่วก็ยังเป็นคนขาเป๋ที่ขาข้างหนึ่งยาวข้างหนึ่งสั้น ข้างที่สั้นนั้นเป็นขากวาง แต่กระนั้นเด็กหนุ่มก็ยังคงหลบหนีไปได้ ทิ้งให้เขาต้องขายหน้า
แต่ถึงอย่างไรจะโทษเขาก็ไม่ได้ เขาไม่มีความบาดหมางกับผานกงสั่ว ดังนั้นเขาจึงแค่ตบบ่าอีกฝ่ายแทนที่จะจับตัวเอาไว้ และในเสี้ยวจังหวะที่ฉินมู่ร้องเตือน ก็สายไปเสียแล้วที่เขาจะสกัดจุดชายผู้นี้
กำลังฝีมือการหลบหนีของผานกงสั่วนั้นไร้เทียมทานในโลกหล้า แม้แต่ฉินมู่ก็ยังต้องยอมรับว่าด้อยกว่าในเรื่องนี้ เมื่อซิงอ้านหมายจะจับตัวเขา ในท้ายที่สุดเขาก็ยังต้องเผชิญหน้ากับซิงอ้านตรงๆ ไม่เหมือนผานกงสั่ว
ฉินมู่เห็นว่าทุกคนจากหมู่บ้านมังกรคอตกด้วยความท้อแท้และกล่าว “พวกเจ้าไม่ต้องหงุดหงิดไปหรอก ข้ายังต้องยอมรับเลยว่าด้อยกว่าผานกงสั่วในด้านการหลบหนี ข้าได้ต่อสู้กับเขาหลายต่อหลายครั้งในขั้นวรยุทธเดียวกัน และข้าก็ไม่เคยจับตัวเขาไว้ได้เลย ความสำเร็จอย่างมากของข้าก็คือการสะบั้นขาของเขาออกไปข้างหนึ่ง”
“บัดนี้เมื่อเขามีขั้นวรยุทธสูงกว่าข้าและเป็นยอดฝีมือในขั้นชาวสวรรค์ กำลังฝีมือของเขาก็รุดหน้าไปอย่างก้าวกระโดดอีกครั้ง เขานั้นสามารถขับเคลื่อนทักษะเทวะหลบหนีได้มากขึ้นกว่าเก่าก่อน ดังนั้นก็ยิ่งยากกว่าเดิมที่จะจับตัวเขาเอาไว้ การที่ข้าสามารถตัดขาเขาออกไปอีกข้างหนึ่งด้วยความช่วยเหลือของทุกๆ คน ก็นับว่าเป็นเรื่องน่ารื่นเริงอย่างไม่ธรรมดาแล้ว”
“มีกำลังฝีมือด้านการหลบหนีถึงเพียงนี้ในขั้นชาวสวรรค์ เขานั้นเหนือธรรมดาจริงๆ” ทุกคนในหมู่บ้านมังกรถอนหายใจด้วยความชื่นชมไม่รู้จบ
แต่ถึงอย่างไร ทุกคนก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก ผานกงสั่วเหลือขากวางเพียงข้างเดียวแต่ก็ยังคงสามารถหลบหนีออกจากเงื้อมมือของพวกเขาได้ ความสามารถในการหลบหนีของเขาน่าสะพรึงกลัวจริงๆ!
เมื่อพวกเขาออกมาจากหมู่บ้าน พวกเขาออกมาด้วยความหวังที่จะเลื่องชื่อโด่งดังหลังการศึกแรก แต่ไม่มีใครเลยที่จะคาดคิดว่าพวกเขาจะพบกับอัจฉริยะปีศาจระดับผานกงสั่วเข้าไปตั้งแต่แรก และประสบความล้มเหลวกลับมา
“ได้พบกับคนที่น่าสนใจขนาดนี้ตั้งแต่วันแรกที่พวกเราออกจากหมู่บ้าน โลกข้างนอกหมู่บ้านน่าสนใจมากกว่าที่ข้าเคยคิดฝันเสียอีก!” ชิงหยากล่าวด้วยความตื่นเต้น
แต่ทว่าคนอื่นๆ แห่งหมู่บ้านมังกรมิได้ตื่นเต้นเท่ากับนาง
ฉินมู่เห็นแล้วก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าไม่ได้มาติดต่อปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอกมาเป็นเวลานาน และมรรคา วิชา และทักษะเทวะของพวกเจ้าก็ค่อนข้างล้าสมัย ดังนั้นอย่าเพิ่งรีบกลับไปที่หมู่บ้านเลย ทำไมพวกเจ้าไม่ตามข้าไปที่สวรรค์ไท่หวงเพื่อฝึกฝีมือและเข้าไปสัมผัสกับมรรคา วิชา และทักษะเทวะของโลกในปัจจุบันสมัยเสียหน่อยล่ะ”
ทุกคนรับคำ
“เมื่อพวกเราออกจากหมู่บ้าน บรรพชนเฒ่าได้บอกเตือนพวกเราว่าอย่าเข้าไปใกล้เจ้ามากนัก…” ชิงเอี๋ยนกล่าวด้วยความลังเล
ฉินมู่หยิบขาของผานกงสั่วขึ้นมา และปิดผนึกส่วนที่ถูกตัด เขาหลอมปรุงยาเหลวจำนวนหนึ่ง และแช่ขาเอาไว้ข้างใน เขาแย้มยิ้มและกล่าว “ผู้เฒ่าชิงหวงระมัดระวังมากเกินไปแล้ว พวกเจ้าก็น่าจะเห็นว่าข้าไม่ใช่คนร้ายที่ไหน เมื่อพวกเจ้าไปถึงสวรรค์ไท่หวงก็ลองไปถามดูได้เลยเกี่ยวกับจ้าวลัทธินักบุญสวรรค์ฉินมู่ ข้ารับรองว่าชื่อเสียงของข้าดีเยี่ยมยิ่ง!”
“ครั้งหนึ่งท่านลุงเอี๋ยนเคยไปที่สันตินิรันดร์ และเมื่อเขากลับมาเขาก็บอกเล่าเกี่ยวกับลัทธินักบุญสวรรค์อันถูกเรียกว่าลัทธิมารฟ้า ชื่อเสียงของมันไม่ค่อยดีนัก” ชิงหยากล่าว
ฉินมู่ใบหน้าเกลื่อนยิ้ม “มันต้องเป็นความเข้าใจผิดแน่ๆ บัดนี้เมื่อความเข้าใจผิดเหล่านั้นถูกสะสาง ทุกๆ เสียงในสันตินิรันดร์จะต้องแซ่ซ้องสรรเสริญลัทธินักบุญสวรรค์ของข้าอย่างแน่นอน!”
จ้าวลัทธิฉินผู้ยิ่งใหญ่หันกายไปและเดินเข้าไปในสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณพลางครุ่นคิดกับตนเอง ไอ้พวกที่กล้าเรียกลัทธินักบุญสวรรค์ว่าลัทธิมาร ก็ถูกข้าอัดจนนอนหยอดน้ำข้าวต้มกันหมดแล้ว แต่ก็ยังอาจจะมีผู้คนที่ซุบซิบนินทาข้าอยู่ลับหลัง ดังนั้นไปสวรรค์ไท่หวงน่าจะดีที่สุด ที่นั่นชื่อเสียงของข้าและลัทธิบุญสวรรค์ดีวิเศษ และหากว่าพวกเขาได้ยิน ก็คงไม่นานเดี๋ยวก็เข้าร่วมลัทธิ…
ชิงเอี๋ยนนำหนุ่มสาวทั้งหลายเดินเข้าไปในสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณพร้อมกับฉินมู่ และท้องฟ้าก็พลันหมุนวน พวกเขารู้สึกถึงการไหลผ่านของกาลและอวกาศ และต่างโลกมิติอันกว้างใหญ่ไพศาลก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าพวกเขา!
ทุกคนเดาะลิ้นด้วยความทึ่ง
ฉินมู่มองไปที่ไกลๆ และสีหน้าของเขาก็กลายเป็นเครียดกังวล
บนท้องฟ้า ช่างฝีมือแห่งสันตินิรันดร์กำลังประกอบดวงตะวันดวงที่สองที่เสร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง กระนั้นแสงจากดวงตะวันทั้งสองก็ยังไม่อาจส่องสว่างให้แก่ทั้งสวรรค์ไท่หวงได้
ห่างออกไปที่ไกลๆ ท้องฟ้ามืดหม่น ปราณมารที่นั่นเหมือนกับหมอกที่คลี่คลุมสวรรค์และพิภพ
มันเป็นเขตแดนของเผ่ามาร และแท่นสังเวยอันใหญ่เท่าภูเขาเลากาก็กำลังแผดพุ่งออกมาด้วยแสงสีดำอันเข้มข้นในดินแดนของพวกเขา แสงสีดำนั้นเหมือนกับควันที่พุ่งตรงไปยังชั้นเมฆ
ผ่านแสงดำพวกนั้น เรือนกายใหญ่มหึมากำลังจุติลงมาเป็นระยะ!
พวกมารเทวะกำลังทำพิธีบูชายัญโลหิตอีกแล้ว หรือว่าพวกเขากำลังอัญเชิญบรรพชนเฒ่ามาจากแดนใต้พิภพ มารเทวะที่ถือกำเนิดขึ้นมาจากการสะสมรวมตัวกันของสันดานมารและความอาฆาตแค้น
ฉินมู่ปลุกปลอบตนเอง หลังจากที่เขาถูกฟู่ยื่อลัวลักพาตัวไป เขาก็เห็นแท่นสังเวยอันยิ่งใหญ่ตระหง่านมากมายในรังเก่าของเผ่ามาร จากปากของฟู่ยื่อลัว เขารู้ว่าแท่นสังเวยเหล่านั้นจะใช้เพื่ออัญเชิญมารเทวะจากแดนใต้พิภพ!
เมื่อครั้งนั้น ฟู่ยื่อลัวได้กระตุ้นคำสาปในจี้หยก และถูกคำสาปนั้นทำให้พ่ายแพ้ไป เขาได้รับบาดเจ็บ และแท่นสังเวยจำนวนมากก็ถูกทำลาย
แต่จากที่เห็นในตอนนี้ เผ่ามารได้ก่อสร้างแท่นสังเวยขึ้นมาใหม่ในเวลาอันสั้น!
สถานการณ์กำลังร้ายแรงขึ้น…
ฉินมู่ปลุกปลอบตนเองและเรียกทหารรักษาการณ์ของสวรรค์ไท่หวงที่กำลังดูแลป้องกันสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณมา “หากว่าเจ้าเห็นเด็กหนุ่มที่มีขากวางข้างเดียวเข้ามาผ่านทางสะพาน สังหารเขาไปเลย อย่าปล่อยให้เขามีโอกาสต่อปากต่อคำ!”
ทหารรักษาการณ์รับภาพวาดจากมือของฉินมู่ และส่งข้อความไปยังทหารคนอื่นๆ “จ้าวลัทธิไม่ต้องกังวล หากว่าเด็กหนุ่มขากวางนี้เดินผ่านเข้ามาทางสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณจริงๆ เขาไม่มีทางหลบรอดความตายได้แน่!”
“ข้าหวังว่าพวกเจ้าคงกำจัดเขาได้…”
ฉินมู่นำทุกคนรีบรุดไปยังเมืองหลี
สถานที่นี้ดูเหมือนว่าเพิ่งเผชิญกับศัตรูอันยิ่งใหญ่ ในเมื่อมีการหลอมสร้างอาวุธอยู่ทุกหนทุกแห่ง ราชครูสันตินิรันดร์ ผางอวี้ และเทพเจ้าตนอื่นๆ ยืนอยู่บนป้อมปราการเมืองและมองไปยังแสนไพร่พลหมื่นทหารม้าที่กำลังแปรเปลี่ยนพยุหะกระบวนทัพข้างล่างพวกเขา ฉินมู่นำชิงเอี๋ยนและคนอื่นๆ ไปหาพวกเขา เพราะถึงอย่างไรมันก็เป็นสถานที่พักของเมือง
“จ้าวลัทธิฉิน ผู้คนเหล่านี้คือ?” ราชครูสันตินิรันดร์ถามพลางเพ่งพิศมองชิงเอี๋ยน ชิงหยา และคนอื่นๆ ด้วยความตกตะลึง
เขาสามารถเห็นได้ว่าผู้คนสามสิบเจ็ดคนข้างหลังฉินมู่นั้นไม่ธรรมดา และนอกจากเจียงเหมี่ยวแล้ว แต่ละคนก็มีพลังวัตรอันเข้มข้นสุดจะหยั่ง สองในนั้นอาจจะเป็นเทพเจ้าเสียด้วยซ้ำ
เขานึกไม่ออกว่าฉินมู่ไปเสาะหายอดฝีมือกลุ่มใหญ่แบบนี้มาจากที่ไหน
“ราชครู พวกเขามาจากหมู่บ้านมังกรแห่งแดนโบราณวินาศ อันตั้งอยู่ค่อนข้างห่างไกลจากหมู่บ้านพิการชราของข้า แต่ข้าสามารถเชื้อเชิญพวกเขาให้มาช่วยพวกเราได้อย่างยากลำบาก”
ฉินมู่จึงแนะนำพวกเขา “พี่ชิงเอี๋ยน พี่ชิงเหอ นี่คือราชครูแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ อัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปี”
“อัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปีจะเทียบเทียมกับกายาจ้าวแดนดินอันหาได้ยากในโลกหล้าได้อย่างไร จ้าวลัทธิฉิน หมู่บ้านทั้งหลายในแดนโบราณวินาศของเจ้าล้วนแต่ซุ่มมังกรซ่อนพยัคฆ์จริงๆ ทีแรกก็เป็นเก้าผู้เฒ่าแห่งหมู่บ้านพิการชรา บัดนี้ยังมีสามสิบเจ็ดวีรบุรุษแห่งหมู่บ้านมังกร แผ่นดินเกิดของเจ้าช่างลึกลับและยากจะคาดคะเนเสียจริง”
ราชครูสันตินิรันดร์จึงทักทายชิงเอี๋ยน ชิงเหอ และคนอื่นๆ ที่เหลือ ก่อนที่จะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ากำลังกังวลอยู่เลยว่า พวกเราจะสู้ศึกนี้อย่างไร แต่ด้วยการสนับสนุนๆ ของทุกๆ ท่าน แรงกดดันที่ข้ารู้สึกก็เบาบางลงไปอย่างมาก”
ชิงเอี๋ยนรีบคารวะกลับไปและกล่าว “ข้าได้ยินชื่อเสียงกิตติศัพท์ของราชครูมานานแล้ว และบัดนี้ก็ได้มาพบพานตัวจริง ตำนานของอัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปีนั้นมาจากยุคสมัยเมื่อนานมาแล้ว ข้าเคยได้ยินมันในระหว่างยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง ส่วนพี่ฉินนี่เป็นกายาจ้าวแดนดินจริงๆ น่ะหรือ”
เขามองไปที่ฉินมู่และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จะว่าไปแล้ว ข้าก็เคยได้ยินตำนานกายาจ้าวแดนดินมาจากผู้เฒ่าชิงหวงมาก่อน!”
ราชครูสันตินิรันดร์ตื่นตระหนกและคิดในใจ มีกายาจ้าวแดนดินอยู่ในโลกนี้จริงๆ น่ะหรือ ข้ายังคงติดใจสงสัยอยู่…
เขาปลุกปลอบตนเองและกล่าว “ทุกท่าน เผ่ามารได้เรียกกำลังเสริมมาอย่างมากมาย และครูบาสวรรค์ก็ยังไม่กลับจากการเดินทางไปยังโลกของเผ่ามาร พวกเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา แม้ว่าสวรรค์ไท่หวงจะได้รับการหนุนเสริมจากสันตินิรันดร์ แต่จำนวนเทพเจ้าของเขาก็น้อยนิด ดังนั้นคงไม่อาจเทียบได้กับสิ่งที่เผ่ามารกำลังอัญเชิญมา…”
เทพเที่ยงแท้ผางอวี้และคนอื่นๆ มีสีหน้าเครียดขรึม เทพซังเย่กล่าาว “มารเทวะแดนใต้พิภพเป็นบรรพชนของเผ่ามาร และพวกเขาก็รู้จักแต่เข่นฆ่า พวกเขายิ่งชั่วร้ายเสียกว่าเผ่ามาร และพวกเขายังถึงกับนำสัตว์ประหลาดมากมายที่น่าสะพรึงกลัวอย่างสุดขีดมาด้วย กำลังฝีมือของสัตว์ประหลาดพวกนั้นยังแข็งแกร่งกว่าเผ่ามารชั้นสูง และพวกมันก็ยังมีรูปแบบที่หลากหลาย พวกเราอาจจะไม่สามารถป้องกันสวรรค์ไท่หวงได้อีกต่อไป…”
ทุกคนเงียบงัน
ฉินมู่มองไปที่ไกลๆ ยังคงมีมารเทวะแดนใต้พิภพที่ถูกอัญเชิญมาด้วยลำแสงสีดำ ในสมบัติเทวะของซิงอ้าน หญิงผู้นั้นเรียกตนเองว่าลู่หลีจากแดนใต้พิภพ แต่ทว่าทำไมนางถึงตามหาข้าล่ะ ข้าสงสัยว่านางจะอยู่ในบรรดามารเทวะแดนใต้พิภพที่ฟู่ยื่อลัวอัญเชิญมาหรือไม่…
…
ในมหานครหลวงของเผ่ามาร ฟู่ยื่อลัวลูบอกของตนและมองไปยังแท่นสังเวยตรงหน้าเขา แสงมารหมุนวนไปอย่างดุเดือด และทหารมารมากมายก็กำลังเข่นฆ่ามนุษย์และมารชั้นต่ำ ใช้พวกเขาเป็นเครื่องบูชายัญแก่การสังเวยโลหิต
ผู้ที่มานั้นต้องใช้เครื่องสังเวยมากมายนัก อันแสดงว่ามารเทวะแดนใต้พิภพที่กำลังถูกอัญเชิญมา มีกำลังฝีมืออันล้ำเลิศอย่างสุดขีดขั้ว
หากมิเช่นนั้น ฟู่ยื่อลัวคงไม่ตื่นตระหนกจนออกมาเฝ้ารอ
ผ่านไปสักครู่หนึ่ง แสงมารบนท้องฟ้าก็พลันรวมเข้าด้วยกันและตกลงมา เมื่อแสงกระจายออกไป สาวงามหยาดฟ้าก็ยืนอยู่ตรงกลางแท่นสังเวย
เมื่อฟู่ยื่อลัวเห็นนาง ใบหน้าเขาก็แปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง กลายเป็นเต็มไปด้วยความลิงโลดยินดี เขาหัวเราะร่าและกล่าว “ลู่หลีแห่งสี่ผู้บัญชาการใหญ่แห่งแดนใต้พิภพ ทำไมท่านถึงตอบรับการอัญเชิญของข้าและลงมาที่นี่ด้วยตนเองล่ะ”
สาวงามหยาดฟ้าเดินมาอย่างแช่มช้าลงตามขั้นบันไดของแท่นสังเวย พลางมองไปรอบๆ กายนาง เสียงของบุรุษเพศดังมาจากปากนางเมื่อนางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ามาที่นี่เพื่อหาคนผู้หนึ่ง เด็กหนุ่มอายุสิบแปดปี เขามีจี้หยกที่มีคำว่าฉินเขียนอยู่บนนั้น และจะห้อยจี้หยกติดตัวไว้เสมอ”
ฟู่ยื่อลัวครางหนักหนึ่งทีและรู้สึกว่าบาดแผลที่หน้าอกของเขารวดร้าวขึ้นมาอีกครั้ง มันเป็นบาดแผลที่ฉินมู่ได้ฝากเอาไว้บนตัวเขา
“ลู่หลี ข้าได้พบเห็นเด็กหนุ่มผู้นี้ที่ท่านต้องการค้นหา” ฟู่ยื่อลัวกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “จี้หยกของเขาแปลกประหลาด แต่ตัวเขาก็ยิ่งประหลาดพิสดาร”
“เจ้าคงจะได้ดึงจี้หยกของเขาออกและพยายามหยั่งเวทปิดผนึกข้างในนั้น” ลู่หลีหัวเราะเบาๆ “บาดแผลที่เจ้ายังไม่หายดีนั้นมาจากเขา ใช่ไหมล่ะ ช่างโง่เสียจริง”
ฟู่ยื่อลัวสีหน้ากลายเป็นมืดดำ แต่ลู่หลีแย้มยิ้มให้แก่เขา “หากว่าเจ้าจับตัวเด็กหนุ่มแซ่ฉินผู้นี้ได้ ข้าจะช่วยเจ้ายึดครองสวรรค์ไท่หวง”
ฟู่ยื่อลั่วฉีกยิ้มให้แก่นาง มุมปากเขาแทบจะฉีกไปถึงใบหู “ผู้บัญชาการลู่หลี พวกเรารู้สึกเป็นเกียรติแก่การมาเยือนของท่าน มันได้นำแสงสว่างมายังสถานที่ต่ำต้อยของพวกเรา!”
……….