ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 581 กายาจ้าวแดนดินแห่งเผ่ามาร
ในเมืองไร้โอหังมีผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงรวมตัวกันอยู่มากมาย และบางส่วนก็มาจากสันตินิรันดร์ ท่ามกลางคนเหล่านั้นก็มีบัณฑิตแห่งสถาบันนักบุญสวรรค์ เมื่อพวกเขาเห็นฉินมู่ ยายเฒ่าซี และคนอื่นๆ มายังหอคอยสังเกตการณ์ พวกเขาก็ทั้งประหลาดใจและยินดี พวกเขาก้าวเข้ามาข้างหน้าเพื่อคารวะทักทาย “อธิการบดี! อาจารย์ซี อาจารย์บอด!”
และยังคงมีบัณฑิตจำนวนหนึ่งแห่งสถาบันแม่น้ำหลี่ ดังนั้นพวกเขาจึงเข้ามาคารวะทักทายอธิการบดีป้าซาน สถานที่นี้กลายเป็นครึกครื้น
ป้าซานหัวเราะในคอ “ไอ้เด็กพวกนี้ พวกเจ้าวิ่งกันไวเหลือเกินนะ ถึงกับมาที่นี่ก่อนข้าอีก”
เขานั้นเป็นอธิการบดีแห่งสถาบันแม่น้ำหลี่ และเขามิได้มาเพื่อตามหาคนแล่เนื้อ แต่มาเสาะหาหนทางทลายขั้นวรยุทธในสวรรค์ไท่หวง มีก็แต่เมื่อเขาผ่านไปทางสถาบันนักบุญสวรรค์และเห็นคนแล่เนื้อกับคนอื่นๆ เตรียมตัวที่จะออกเดินทาง เขาถึงได้วิ่งไล่ตามมาด้วยความรีบร้อน
ธุระปะปังของสถาบันแม่น้ำหลี่ได้ถูกมอบหมายให้แก่จอมทัพมงกุฎทัพหม่าติ้งซานแล้ว เขาเป็นยอดฝีมือที่ไม่ด้อยไปกว่าป้าซาน และหลังจากที่ปราบปรามกองกำลังกบฎ จักรพรรดิก็ยังรักษาบรรดาศักดิ์ของเขาเอาไว้ และยังแต่งตั้งให้เขาเป็นคณบดีแห่งสถาบันแม่น้ำหลี่เพื่อสนับสนุนป้าซาน
และยังมีศิษย์จากสถาบันสุสานแม่น้ำ และสถาบันแม่น้ำหย่งอยู่ในบริเวณใกล้ๆ อธิการบดีของสถาบันสุสานแม่น้ำคือราชครูสันตินิรันดร์ ขณะที่อธิการบดีของสถาบันแม่น้ำหย่งคือขุนนางชั้นสูงซูอวิ๋นจือ อันมีอวี๋เยียนชูอวิ๋น และอวี๋เยียนชูอวี่เป็นผู้ช่วย
ซูอวิ๋นจือยังเคยส่งอวี๋เยียนชูอวี่ไปหาฉินมู่เพื่อยืมตัวราชามังกรแม่น้ำหย่งอันคือเทพครองแดนเลี้ยงมังกร และเทพภูเขาร้อยปีป๋ายซี่มาเพื่อให้พวกเขาไปสอนบรรยายในสถาบันแม่น้ำหย่ง
ฉินมู่ไม่ได้อยู่ที่สถาบันนักบุญสวรรค์ในตอนนั้น ดังนั้นจึงเป็นฮู่หลิงเอ๋อและซีอวิ๋นเซี่ยงที่รับรองต้อนรับอวี๋เยียนชูอวี่ และเรียกเก็บค่าสอนสำหรับเทพครองแดนเลี้ยงมังกร และเทพป๋ายซี่ พวกนางอนุญาตให้บัณฑิตทั้งหลายแห่งสถาบันแม่น้ำหย่งไปที่แม่น้ำหย่งและภูเขาร้อยปีบ่อยครั้งเพื่อจุดธูปและถวายของเซ่นไหว้ อันทำให้เทพป๋ายซี่น้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้ง
ทุกๆ คนโอภาปราศรัยกันอยู่พักหนึ่ง และฉินมู่ก็ถามคนแล่เนื้อ “ท่านปู่ วิชาฝึกปรือระดับบัลลังก์จักรพรรดิที่ท่านพูดถึงเมื่อครู่คืออะไรหรือ วิชาเทพยดายังมีการแบ่งระดับชั้นด้วยหรือ”
“หลังจากที่ข้าข้ามสะพานเทวะ และเข้าไปในปราสาทสวรรค์ ข้าก็ได้แต่ยืนอยู่ข้างนอกประตูสวรรค์ทักษิณ แต่ทว่าจากที่นั่น ข้าสามารถเห็นปราสาทสวรรค์ทั้งหลายทั้งปวง และแดนศักดิ์สิทธิ์ที่มีความยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขต ทั้งยังดูศักดิ์สิทธิ์อย่างเหนือธรรมดา เพราะอย่างนั้นข้าจึงคาดคะเนว่า ภายในเขตขั้นเทวะเองก็มีระดับขั้นต่างๆ อยู่ และพวกมันน่าจะแบ่งแยกจำแนกตามแดนศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ ที่สูงสุดและศักดิ์สิทธิ์ที่สุดคือบัลลังก์จักรพรรดิในโถงปราสาทสวรรค์แห่งตำหนักชิดฟ้า!”
ทุกคนเข้ามาออฟัง และคนแล่เนื้อก็รู้สึกถึงแรงกดดัน “จริงๆ แล้วข้าไม่เข้าใจเขตขั้นเทวะเลยสักนิด ดังนั้นข้าจึงไม่แน่ชัดว่าพวกมันจำแนกแยกแยะอย่างไร เฒ่าใบ้ เฒ่าใบ้ มานี่ก่อน พวกเขาเอาแต่จ้องมองข้าเหมือนกับฝูงกวางโรเซ่อซ่า! เจ้ารู้มากที่สุด ดังนั้นมาบอกพวกเขา!”
เฒ่าใบ้วางหีบลงบนพื้นและนำกล้องยาสูบออกมาซี้ดสองเฮือก เขากล่าวอย่างไม่รีบไม่ร้อน “อา อา อยา…”
เห็นได้ชัดบัณฑิตแห่งมหาวิยาลัยจักรวรรดิทั้งหลายรู้กฎดี ดังนั้นพวกเขาจึงมองไปยังเฒ่าหนวก เขากำลังจ้องไปที่เฒ่าใบ้ และเฒ่าใบ้ก็พ่นควันออกมาอันแปรเปลี่ยนเป็นประตู
“ขั้นวรยุทธแรกในเขตขั้นเทวะคือข้างนอกประตูสวรรค์ทักษิณ ผู้คนที่ไปถึงที่นั่นจะได้รับขนานนามว่าเทพกิตติมศักดิ์ และนี่เป็นเพียงก้าวแรกหลังจากข้ามสะพานเทวะมา เข้าไปในประตูสวรรค์ทักษิณนั้นคือขั้นวรยุทธที่สอง และผู้คนเช่นนั้นเรียกว่าเทพเที่ยงแท้ แต่ทว่า มีแต่เมื่อทุกแง่ของร่างกายได้ฝึกปรือจนถึงเขตขั้นเทวะ ผู้ฝึกจึงจะสามารถทานทนแรงกดดันจากประตูสวรรค์ทักษิณและเดินผ่านมันไปได้”
“เฒ่าใบ้ก็ยังนับว่ารู้มากที่สุด แล้วอย่างไรต่อ” เฒ่าบอดกล่าวด้วยความชื่นชม
เฒ่าใบ้พ่นวงควันอันแปรเปลี่ยนเป็นสระหยก เฒ่าหนวกกล่าวต่อ “ขั้นวรยุทธที่สามเรียกว่าสระหยก หรือรู้จักกันว่าสระสวรรค์ ศาลาหยก ผู้คนที่ไปถึงที่นั้นจะเรียกว่าเทพสวรรค์”
ควันของเฒ่าใบ้แปรเปลี่ยนเป็นลานประหาร มันก็เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน แต่รัศมีการเข่นฆ่าของที่นั้นเข้มข้นหนักหน่วง เพียงแค่มองดู ผู้คนทั้งหลายก็ตัวสั่นเทา
“ขั้นวรยุทธที่สี่เรียกว่าแท่นประหารเทพ และมันมีภยันตรายใหญ่หลวงในนั้น หากว่าใครไม่อาจผ่านมันไปได้ พวกเขาก็จะตาย”
ควันของเฒ่าใบ้แปรเปลี่ยนเป็นภาพที่ห้า และมันคือหมู่ปราสาทราชวัง
“แดนศักดิ์สิทธิ์นี้เรียกว่าอัครนครหยก เป็นเมืองจักรพรรดิอันจักรพรรดิฟ้าประทับอยู่ อัครนครหยกนี้เป็นขั้นวรยุทธที่ห้า”
เฒ่าใบ้พ่นวงควันออกมาอีกวง อันแปรเปลี่ยนเป็นตำหนักชิดฟ้า “นี่คือตำหนักชิดฟ้า อันคนแล่เนื้อได้เห็นมา ขั้นวรยุทธที่หกนี้น่าจะเรียกว่าชิดฟ้า” เฒ่าหนวกอธิบาย
ระหว่างที่ทุกคนชมดู เฒ่าหนวกก็พ่นควันอีกกลุ่มเข้าไปในตำหนักชิดฟ้า และแปรเปลี่ยนมันเป็นบัลลังก์จักรพรรดิ นี่คือขั้นวรยุทธที่เจ็ด
ป้าซานมองไปที่เฒ่าหนวก จากนั้นก็ที่เฒ่าใบ้ เต็มไปด้วยความสงสัย เขาถามด้วยเสียงเบา “ศิษย์น้อง อาจารย์อาใบ้พูดอะไรกันแน่”
“เหมือนกับที่ท่านปู่หนวกกล่าวเป๊ะๆ” ฉินมู่กระซิบกลับไป
ป้าซานเกาหัวแกรกๆ ยังคงเต็มมีความสงสัยล้นปรี่ “อาจารย์อาใบ้รู้มากมายขนาดนี้ได้อย่างไร แม้แต่ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงก็ดูเหมือนว่าจะไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับขั้นวรยุทธหลังบรรลุเป็นเทพเจ้า ดังนั้นทำไมเขาถึงรู้เรื่องนี้อย่างละเอียดยิบ”
ฉินมู่มองไปที่เขาด้วยสีหน้าจนปัญญา “ในหมู่บ้านของพวกเรา ท่านปู่ใบ้รู้มากที่สุด แต่ก็พูดน้อยที่สุด ส่วนใหญ่แล้วเขาไม่ค่อยชอบพูดคุย ข้าเดาว่าความลับที่เขารู้ส่วนใหญ่น่าจะมาจากมหานาวาปารมิตา ในเมื่อเขาเป็นทายาทของเผ่าเทพวิศวกรรม…”
เมื่อค่ำคืนมาถึง ผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งหลายก็ไปพักผ่อน ฉินมู่ตามยายเฒ่าซี เฒ่าบอด และคนอื่นๆ ออกไปจากหอสังเกตการณ์เพื่อตรวจดูซากเมืองไร้โอหัง
การต่อสู้ที่นี่ดูท่าจะขมขื่นเป็นอย่างยิ่ง สวรรค์ไท่หวงเคยมีเมืองเทพยดาหกสิบสี่เมือง อันได้ผ่านศึกรบพุ่งที่โหดร้ายทารุณ แต่กระนั้น เมืองส่วนใหญ่ก็ยังคงตั้งตระหง่าน ไม่ค่อยมีเมืองเทพยดาไหนที่ถูกทำลายจนราพณาสูรจากสงคราม แต่เมืองไร้โอหังคือหนึ่งในนั้น
กระนั้น แม้มีเพียงแค่ซากปรักหักพังและกำแพงซอมซ่อเกลื่อนกลาด ผู้ชมดูก็สัมผัสได้ถึงความเลิศล้ำเหนือธรรมดาที่เมืองเทพยดานี้เคยเป็นมาก่อน
มีเศษซากทักษะเทวะมากมายที่หลงเหลือไว้จากการต่อสู้ระหว่างเทพกับมารอันกบดานอยู่ พวกมันเหมือนกับฟองน้ำลอยที่มีแสงตะวันหลากสีอยู่ในนั้น สร้างแสงวาววามในความมืด เศษซากทักษะเทวะเหล่านั้นสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง ราวกับดอกบัวที่เปล่งประกายอยู่ท่ามกลางความมืด พวกมันส่องแสงอยู่ในซากปรักหักพังของการสู้รบ
ดอกบัวอันเงียบงันนี้เบ่งบานและดึงดูดผู้คนที่เข้ามาในบริเวณให้ไปเด็ดพวกมันด้วยความเข้าใจผิด แต่หากว่าใครไปแตะต้องพวกมันเข้า พลานุภาพของทักษะเทวะที่เทพและมารหลงเหลือเอาไว้ก็จะถูกกระตุ้นให้ทำงาน
หากว่ามันระเบิดออกมา ก็จะเป็นเรื่องน่าสยดสยอง พวกมันสามารถป่นกระดูกของยอดยุทธในขั้นชาวสวรรค์และขั้นเป็นตายได้อย่างไม่ยากเย็น!
ทักษะเทวะที่หลงเหลือในซากเมือง ไม่เพียงอยู่ในรูปดอกบัวเท่านั้น แต่เป็นอะไรก็ตามสุดแต่ผู้คนจะนึกออก ขนาดของพวกมันก็ใหญ่น้อยไม่เท่ากัน มันมีแบบที่เป็นผืนป่า เป็นทุ่งหญ้าเขียวขจี เป็นสัตว์บกอย่างจิ้งจอกขขาวและสัตว์ปีกอย่างหงส์แดง และยังมีสิ่งของอย่างกระบี่บิน เจดีย์ และกระถาง
หากว่าใครไปแตะมันเข้า พวกเขาก็จะต้องตายอย่างน่าสังเวช
ฉินมู่มองไปรอบๆ รอยประทับอักษรรูนของเทพและมาร ก่อเป็นเศษซากของทักษะเทวะ ดังนั้นจึงยากที่พวกมันจะสลายไปเองตามเวลา นี่ทำให้อาณาบริเวณนี้อันตรายอย่างใหญ่หลวง
ฉินมู่เคยเห็นสิ่งที่คล้ายคลึงกันในแดนลางร้าย แต่โชคดีว่าเขาหลีกเลี่ยงพวกมันทั้งหมด
เมื่อมาคิดๆ ดูแล้ว เทพซังเย่ได้ทุ่มแรงกำลังไปอย่างมหาศาลเพื่อถางพื้นที่อันปลอดภัยในสถานที่แสนอันตรายเช่นนี้ และเขาก็จะได้ก่อสร้างหอสังเกตการณ์ได้ บัดนี้มันก็กลายเป็นสถานที่ที่อำนวยให้ผู้ฝึกวิชาเทวะสวรรค์ไท่หวงได้มาพักเท้า
ท่านยายซี เฒ่าบอด และคนอื่นๆ ศึกษาทักษะเทวะเหล่านั้นอย่างละเอียด ดูค่อนข้างจมจ่อมลงไปกับมัน เนตรเทวะของเฒ่าบอดสามารมองทะลุแง่อัศจรรย์ของทักษะเทวะทั้งปวง และเขาก็อธิบายมันให้แก่ทุกๆ คน
มรรคาแห่งการฝึกปรือของพวกเขาแตกต่างจากผู้ฝึกวิชาเทวะอย่างฉินมู่และซวีเซิงฮวา สำหรับยายเฒ่าซี คนแล่เนื้อ เฒ่าหนวกและคนอื่นๆ แล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องประจักษ์ทักษะเทวะในการต่อสู้ พวกเขาเพียงแค่ต้องศึกษาพิจารณาเศษซากของพวกมันเท่านั้น และก็จะสามารถไขแง่อัศจรรย์ของทักษะเทวะเหล่านี้ออกมาได้โดยไม่ลำบากลำบน จากนั้นพวกเขาก็จะดูดซับเนื้อหาใจความของทักษะเทวะเพื่อเสริมซ่อมในส่วนที่พวกเขายังขาดอยู่
“ทักษะเทวะของเทพและมารเหล่านี้ยังคงหยาบกร้านอยู่มากและยังต้องพัฒนายกระดับต่อ” ยายเฒ่าซีตรวจดูเศษซากหนึ่งตรงหน้านางก่อนที่จะส่ายหัว “เพราะว่าผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสันตินิรันดร์ไม่มีหนทางบรรลุเป็นเทพเจ้ามาตลอดสองหมื่นปี พวกเราจึงใช้เวลาเหล่านั้นเพื่อพัฒนายกระดับทักษะเทวะแต่ละประเภทจนเพริศแพร้วพิสดารถึงที่สุด พวกเราได้สร้างสรรค์ทักษะเทวะใหม่ๆ ออกมาตลอดเวลา ดังนั้นทักษะเทวะของพวกเราจึงประณีตอัศจรรย์ยิ่งกว่าสวรรค์ไท่หวงมาก”
“กระนั้นวิธีการฝึกวรยุทธของพวกเขาก็แข็งแกร่งกว่าพวกเรามาก และวิชาฝึกปรือของพวกเขาก็สามารถฝึกฝนทุกส่วนของกายเนื้อ” เฒ่าบอดกล่าวหลังจากตรวจสอบดูอีกอัน “การที่เทพและมารขับเคลื่อนทักษะเทวะที่หยาบกร้านแบบนี้ และยังคงสามารถปลดปล่อยพลานุภาพอันเกินจินตนการได้ กายเนื้อ จิตวิญญาณดั้งเดิม และความเข้มข้นของพลังวัตรของพวกเขาจะต้องแข็งแกร่งกว่าผู้คนจากสันตินิรันดร์มากนัก มู่เอ๋อ อย่าประเมินพวกเขาต่ำไปเพียงเพราะว่าเจ้าคือกายาจ้าวแดนดิน”
ฉินมู่ผงกหัวอย่างเคร่งขรึมและกล่าวอย่างนอบน้อม “ไม่ต้องห่วง ท่านปู่บอด ข้าไม่เคยประเมินใครต่ำไป”
ฮู่หลิงเอ๋อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ปริปาก
เฒ่าบอดและคนอื่นๆ เพิ่งมาถึงสวรรค์ไท่หวง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้ว่าฉินมู่ได้ก่อวีรกรรมอะไรไปบ้าง หลังจากการศึกที่เมืองหลี เขาก็ได้กลายเป็นผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นเจ็ดดาวที่แข็งแกร่งที่สุดในสวรรค์ไท่หวง เขาถึงกับผ่านประสบการณ์หนีตายตลอดแสนลี้ระหว่างที่สังหารศิษย์ของมารเทวะในขั้นหกทิศและเจ็ดดาวจนเกือบหมด ไม่มียอดฝีมือขั้นชาวสวรรค์เผ่ามารทั่วๆ ไปคนไหนที่กล้าบุ่มบ่ามสู้กับเขา
แค่ลองถามใครดู พวกเขาก็จะรู้ถึงกิตติศัพท์ชื่อเสียงของฉินมู่
ทันใดนั้น เขาก็ยืนนิ่งขึงขณะที่มองไปยังเงาหนึ่งในซากเมือง มันเคลื่อนที่ไปมาในซากเมืองราวกับว่าทักษะเทวะเหล่านั้นไม่มีผลกับมัน
“มู่เอ๋อ เจ้ากำลังมองอะไร” เฒ่าหนวกถามด้วยความสงสัย
ฉินมู่ร่างสั่นเทิ้มเล็กน้อย และเขาพลันผละไปจากทุกๆ คนเพื่อวิ่งตรงไปยังเงานั้น ผู้เฒ่าทั้งหลายแห่งหมู่บ้านพิการชราตื่นตระหนกเมื่อตรงนั้นมีเศษซากทักษะเทวะของเทพและมารเต็มไปหมด หากว่าเขาไปสัมผัสกับอันไหนโดยบังเอิญ ก็คงจบไม่สวย
หากว่าเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ขึ้น และทักษะเทวะทั้งหมดในเมืองไร้โอหังระเบิดขึ้นมาพร้อมๆ กัน ตอนนั้น แม้แต่พวกเขาก็คงไม่อาจบุกเข้าไปตรงๆ ได้
เฒ่าบอดรีบไล่ตามพลางตะโกน “พวกเจ้ารอนี่ ข้าจะไปตามตัวเขา!”
ฉินมู่กระตุ้นการทำงานวิชาปลุกเนตรสวรรค์เก้าตลอดทาง เพื่อหลบหลีกเศษซากทักษะเทวะ พลางเคลื่อนที่เข้าใกล้เงานั้นมากขึ้นทุกทีๆ
มันปรากฏให้เห็นอย่างรางเลือนในเขตอันตราย ราวกับว่ามันคือทรายที่ไหลไป แตกกระจายและเข้ามารวมกันใหม่เป็นระยะๆ แต่ทว่า เงานั้นก็ดูจะสังเกตเห็นเขา ในเมื่อจู่ๆ มันก็หยุดชะงัก
ฉินมู่หลบหลีกเศษซากทักษะเทวะสุดท้ายที่กั้นระหว่างพวกเขา และไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเงาดำ มองไปที่อีกฝ่ายด้วยดวงตาสุกใสและใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
เงาดำเองก็จ้องกลับมาที่เขาด้วยความสงสัยใคร่รู้
ทั้งสองคน ไม่มีใครที่สามารถมองเห็นรูปลักษณ์ของแต่ละฝ่ายได้ มีก็แต่ร่างกายที่เหมือนกับทรายดำ
ฉินมู่ยื่นมือออกไป และเงาก็ทำเช่นเดียวกัน ฝ่ามือสองฝ่ามือแตะกัน จากนั้นทะลุผ่านกันไปโดยไม่รู้สึกถึงสิ่งกีดขวาง
ฉินมู่ร่างสั่นเทิ้ม และเขายืนแข็งทื่อระหว่างที่มองไปยังเงาร่างนั้นอย่างเงียบงัน
เฒ่าบอดมาข้างกายเขาและดึงเขาไป พลางกล่าวอย่างเคร่งขรึม “มู่เอ๋อ เงานี้น่าจะเป็นเศษซากทักษะเทวะของเทพหรือมาร ทำไมเจ้าถึงเลินเล่ออย่างนี้ ทำไมเจ้าถึงบุกเข้ามาในเขตอันตราย”
เสียงแสกสากราวกับสัตว์ประหลาดกำลังกระซิบกระซาบอยู่ในความมืดมาถึงพวกเขา และทั้งสองคนก็มองไปยังเงานั้นด้วยความตื่นตระหนก
มันเป็นเสียงของเงา!
“ท่านปู่บอด เขามิใช่เศษซากทักษะเทวะ แต่เป็นบุคคล” ร่องรอยแห่งความแตกตื่นยังไม่จางหายไปจากใบหน้าของฉินมู่ระหว่างที่เขาพึมพำ “เหมือนกับข้า เขาสามารถเดินทางในความมืดแห่งแดนโบราณวินาศได้ เขาเหมือนกับข้า…มีก็แต่มารที่หลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งกับความมืดถึงจะปรากฏให้ผู้คนแห่งสวรรค์ไท่หวงมองเห็นได้! ข้าคิดว่าข้าได้พบพานกับกายาจ้าวแดนดินแห่งเผ่ามารแล้ว! แปลกจริง ทำไมมันถึงปรากฏตัวในแดนโบราณวินาศ…”
………………….