ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 586 ใช้พู่กันวาดภูเขาและแม่น้ำ
ทหารรักษาการณ์สะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณเห็นคุณชายฉีและเทพครองดาวตะวัน แม้ว่าพวกเขาจะตกตะลึงกับความแข็งแกร่งของเทพครองดาวตะวัน แต่พวกเขาก็ไม่เข้าไปไต่ถามความเป็นมา ก็ในเมื่อมีเทพเจ้ามากมายในสันตินิรันดร์ และพวกเขาก็เข้ามาเรียนรู้ที่สวรรค์ไท่หวงบ่อยครั้ง
เทพเจ้าแห่งสวรรค์ไท่หวงมีกำลังฝีมือแข็งแกร่งกว่าเทพเจ้าแห่งสันตินิรันดร์มาก พวกเขาเพียงแต่ขาดพร่องในด้านพีชคณิตและทักษะเทวะ พวกเขาจำนวนหนึ่งได้อาศัยจังหวะที่การรบพุ่งสงบลงเพื่อไปเรียนรู้พีชคณิตและทักษะเทวะที่สันตินิรันดร์
“ผู้อาวุโสท่านนี้ โปรดลงทะเบียนนามของท่าน” ทหารผู้หนึ่งถือผู้กันก้าวออกมาข้างหน้า เขาโค้งคารวะก่อนที่จะเข้ามาใกล้
เทพครองดาวตะวันรับพู่กันมาและเขียนชื่อของเขาบนทะเบียนรายชื่อ จากนั้นเขาก็มองไปยังคุณชายฉีด้วยสายตาซักถาม “เขียนลงไป” คุณชายฉีกล่าวอย่างไม่ยี่หระ
เทพครองดาวตะวันรับคำ และเขียนชื่อของเด็กหนุ่มลงไปในใบลงทะเบียน ก่อนที่จะคืนพู่กันแล้วจากไป
แปลก เทพเจ้าตนนี้เหมือนจะฟังคำสั่งของคุณชายผู้นั้น เด็กหนุ่มดูไม่เห็นจะมีกำลังฝีมือสูงล้ำ เช่นนั้นเขาทำให้เทพเจ้าเป็นผู้ติดตามเขาได้อย่างไร
ด้วยความตกตะลึง ทหารรักษาการณ์ก้มหน้าลงมอง เขาเห็นคำว่า ‘คุณชายฉีเจี่ยวอี๋’ เขียนอยู่บนใบลงทะเบียน
ทุกคนได้แต่ฉงนฉงาย “ที่มาของฉีเจี่ยวอี๋นี้คืออะไรกันแน่”
…
ข้างๆ ทะเลเพลิงในเหวลึกของเมืองไร้โอหัง กิเลนมังกรและวัวเขียวจ้องหน้าซึ่งกันและกัน ระหว่างที่ใช้เวลาที่พวกเขามีในการฝึกวิทยายุทธ สัตว์ยักษ์ทั้งสองรู้ว่าพวกเขาเป็นคู่แค้นที่สามารถปราบตนเองได้ วัวเขียวนั้นกริ่งเกรงลูกแก้วกิเลนของกิเลนมังกร และกิเลนมังกรก็รู้ว่าประสบการณ์ต่อสู้และความอดทนของวัวเขียวดีเยี่ยมกว่าเขามาก ดังนั้นเขาจึงฝึกปรืออย่างขะมักเขม้น
วัวเขียวรู้ว่าไอ้อ้วนที่น่าตาย กิเลนมังกรผู้นี้เป็นนักวางแผนร้าย และคอยแต่คิดจะกำจัดเขามาตั้งนานแล้ว เมื่อเขาเห็นกิเลนมังกรฝึกปรืออย่างขยันขันแข็งและพ่นลูกแก้วกิเลนออกมาอันขยายใหญ่ขึ้นทุกทีๆ เขารู้สึกถึงอันตรายที่ขยายใหญ่มากขึ้น ดังนั้นเขาจึงพากเพียรหนักกว่าเดิม
การแข่งขันระหว่างสัตว์พิสดารสองตนนี้ทำให้ฉินมู่สุขใจเป็นอย่างยิ่ง
ทันใดนั้น เสียงคำรามสายฟ้าก็ดังมาจากในร่างกายของเขา เมื่อเขาทลายฝ่ากำแพงหกทิศของสมบัติเทวะมรรคามาร นี่ทำให้ปราณชีวิตเขาเพิ่มพูนขึ้นเล็กน้อย
เขาขับเคลื่อนวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะอันแบ่งแยกออกเป็นมรรคาเทพและมรรคามาร พลังเทพชีวาและพลังมารชีวาไหลไปตามเส้นทางโคจรอันสอดคล้องสะท้อนซึ่งกันและกัน แต่ทว่า เพราะสมบัติเทวะเจ็ดดาวแห่งมรรคามารยังไม่ถูกเปิด พวกมันจึงไม่ได้เข้ากันอย่างเหมาะเจาะโดยสมบูรณ์เมื่อเขาขับเคลื่อนวิชาของเขา
หากว่ามันเข้ากันเหมาะเจาะ เขาก็จะคงจะโคจรวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะได้ง่ายขึ้นอีก บัดนี้ พลังมารชีวาของเขาจำเป็นต้องหยุดยั้งอยู่ที่สมบัติเทวะหกทิศ และรอให้พลังเทพชีวิตไหลเวียนผ่านสมบัติเทวะเจ็ดดาวก่อน ถึงจะโคจรให้ครบรอบได้
เพราะอย่างนี้จึงมีการเสียเวลาไปบ้าง แต่ไม่ใช่แค่นั้น มันยังง่ายที่จะเผลอไผลอีกด้วย การรุดหน้าของวรยุทธของเขาก็จะได้รับผลกระทบก็ในเมื่อเขามิได้ทุ่มเทกำลังทั้งหมดเพื่อทลายกำแพงวรยุทธสู่ขั้นชาวสวรรค์
หลังจากเปิดสมบัติเทวะเจ็ดดาวของมรรคามาร ข้ายังคงต้องสร้างการเชื่อมต่อระหว่างเจ็ดดาวและหกทิศ ก็ต่อเมื่อทำเช่นนั้น วรยุทธของข้าจะมั่นคงมีเสถียรภาพและมีโอกาสที่จะทลายไปสู่ขั้นชาวสวรรค์
ปราณชีวิตไหลเวียนไปอย่างต่อเนื่องในร่างกายของเขา และในดวงตาที่สามอันถูกเฒ่าบอดปิดผนึกเอาไว้ ท่านยายซีกล่าวว่าปิดผนึกไว้เพื่อประโยขน์ของเขาเอง แม้ว่าดวงตาของเขาจะถูกปิดผนึก แต่ฉินมู่ก็ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆ ปราณชีวิตของเขายังคงไหลเข้าไปในนั้นได้ และโคจรไปตามเส้นทางเพื่อเพิ่มพูนพละกำลังของดวงตา
เฒ่าใบ้ได้ใช้ใบหลิวทองคำ อันเขาใช้เวลานานในการหลอมสร้างขึ้นมา เพื่อปิดผนึกดวงตาของเขา เฒ่าบอด ยายเฒ่าซี คนแล่เนื้อ เฒ่าหนวก และคนอื่นๆ ได้คอยช่วยอยู่ข้างๆ หลอมสร้างส่วนประกอบที่จำเป็นในนั้นด้วยความอุตสาหะ เฒ่าบอดถึงกับเป็นผู้ออกแบบพยุหะปิดผนึกด้วยตนเอง และทุกคนก็ได้ประทับรอยพลังวัตรของพวกเขาเข้าไปในใบหลิวทองคำเล็กๆ เพื่อให้มันสำเร็จ
ยายเฒ่าซีแปะใบหลิวทองคำไว้ที่หว่างคิ้วฉินมู่ด้วยตนเอง ผู้เฒ่าแห่งหมู่บ้านพิการชราสั่งความและบอกเตือนเขาว่าอย่าปลดใบหลิวทองคำลงมาเป็นอันขาด เว้นแต่ว่าเขาตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง
รอยเส้นละเอียดเพริศแพร้วปรากฏอยู่บนใบหลิวทองคำ ทำให้มันดูงดงามมหัศจรรย์ ฮู่หลิงเอ๋อเห็นมันก็อิจฉาเป็นอย่างมาก นางร่ำร้องจะเอาใบหลิวด้วยอีกคน
เฒ่าบอด เฒ่าหนวก และคนอื่นๆ เอ็นดูนาง ดังนั้นพวกเขาจึงไปคุยให้เฒ่าใบ้หลอมสร้างใบหลิวทองคำอีกใบ แต่คราวนี้มันไม่มีผนึกอยู่ข้างใน ในทางตรงข้าม เฒ่าบอดและเฒ่าหนวกได้ประทับฝังเนตรเทวะและโลกในภาพเขียนเอาไว้บนนั้น พยุหะอันซับซ้อนอย่างเหลือแสนได้ประทับลงไปในใบหลิว
เฒ่าหนวกแปะมันลงบนหว่างคิ้วของฮู่หลิงเอ๋อ และนางก็ตื่นเต้นจนฉุดไม่อยู่ นางจะกระตุ้นการทำงานของมันเป็นระยะ และแสงก็จะยิงออกมาจากหว่างคิ้ว เฉือนตัดหินภูเขาและสร้างหลุมใหญ่บนพื้น
ฮู่หลิงเอ๋อได้เรียนเวทมนตร์จากเซียนจิ้งจอกแห่งห้าเซียน ดังนั้นวรยุทธของนางจึงไม่อ่อนแอ เซียนจิ้งจอกเป็นสหายเต๋าของผู้ใหญ่บ้านที่กำลัง ‘ตาย’ อยู่ และนางก็รับหน้าที่ควบคุมดูแลเผ่าปีศาจในจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ฉินมู่เคยเชื้อเชิญเซียนจิ้งจอกมาสอนบรรยายให้แก่บัณฑิตแห่งสถาบันนักบุญสวรรค์หลายครั้ง ดังนั้นไมตรีของพวกเขาจึงค่อนข้างดี
ยายเฒ่าซี คนแล่เนื้อ และคนอื่นๆ ได้จัดระเบียบวิชาฝึกปรือที่เหมาะแก่การฝึกปรือของพวกเขา พวกเขาปรึกษาอภิปรายเส้นทางโคจรปราณในร่างกายมนุษย์ และได้ก่อสร้างปราณชีวิตรูปทรงมนุษย์อันรวบรวมจุดแข็งของทุกคนเข้ามาเป็นหนึ่ง
แต่ทว่า แง่ถนัดในวรยุทธของพวกเขาแตกต่างกัน ดังนั้นแต่ละคนจึงปรับแต่งบนพื้นฐานนี้เพื่อให้เหมาะสมกับตนเองยิ่งขึ้น
ฉินมู่ขอแผนภาพการโคจรของร่างกายมนุษย์จากท่านยายซี ที่พวกเขาได้ก่อสร้างขึ้น จากนั้นก็เก็บมันไว้ด้วยความใส่ใจรักษา
“มู๋เอ๋อ เจ้ามีวิชาฝึกปรือที่ดีกว่าอยู่แล้ว ทำไมเจ้ายังต้องเก็บวิชาฝึกปรือของพวกเราด้วยล่ะ” ยายเฒ่าซีค่อนข้างฉงน
“ท่านยาย พวกท่านได้กระทำเรื่องอันยิ่งใหญ่ แผนภาพการโคจรของร่างกายมนุษย์ที่พวกท่านสร้างสรรค์ขึ้นมา สามารถกล่าวได้ว่าเป็นวิชาฝึกปรือรูปแบบหนึ่งที่สามารถฝึกปรือทุกแง่ของกายเนื้อและจิตวิญญาณดั้งเดิม” ฉินมู่กล่าวอย่างเที่ยงธรรม
“คนอื่นๆ จะพบว่าวิชาของข้ายากที่จะเรียนรู้ หากว่าผู้เรียนไม่ใช่กายาจ้าวแดนดิน พวกเขาก็ไม่สามารถเรียนรู้ได้ ดังนั้นมันจึงยากที่จะถ่ายทอดต่อไป ข้ารู้สึกว่าวิชาฝึกปรือนี้ที่รวบรวมจุดแข็งของทุกๆ คนในหมู่บ้านพิการชรานั้นง่ายต่อการฝึกปรือ ดังนั้นพวกเราสามารถแบ่งปันมันให้แก่ผู้ฝึกวรยุทธคนอื่นๆ ข้าอยากจะให้วิชาฝึกปรือนี้สืบทอดต่อไปรุ่นสู่รุ่น ดังนั้นบางทีในอนาคต เทพเจ้าทั้งหมดในสันตินิรันดร์ก็จะเป็นศิษย์และผู้สืบทอดของพวกท่าน”
ยายเฒ่าซีตกตะลึง นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเราไม่ได้คิดไปไกลขนาดนั้น”
ฉินมู่มีความพลุ่งพล่านอันบรรยายไม่ถูกในหัวใจ เมื่อแรกที่เขาก่อสร้างเส้นทางโคจรปราณของร่างกายมนุษย์ เขาไม่ได้คิดอะไรมาก ในสภาวะตรึกตรองเต๋า เขาได้แต่ใคร่ครวญว่าจะสร้างวิชาฝึกปรือที่เหมาะสมกับตัวเขาที่สุดได้อย่างไร ดังนั้นเขาจึงเข้าสู่เขตขั้นเต๋าด้วยวิชาฝึกปรือของตน
ในภายหลัง เขาได้ถ่ายทอดให้แก่ยายเฒ่าซี เฒ่าใบ้ คนแล่เนื้อ และคนอื่นๆ และพวกเขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายเช่นกัน พวกเขาเพียงแต่หมายที่จะรวบรวมจุดแข็งของทุกคนเพื่อชดเชยในสิ่งที่แต่ละคนขาดพร่อง เพื่อให้พวกเขามีพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้
กระนั้นด้วยการกระทำที่มิได้ตั้งใจ ก็ได้สรรค์สร้างวิชาฝึกปรืออันสามารถฝึกทุกแง่มุมของกายเนื้อและทุกแง่มุมของจิตวิญญาณดั้งเดิมขึ้นมา
นี่คือวิชาฝึกปรือแรกของสันตินิรันดร์ในระดับเทพเที่ยงแท้ที่สามารถสืบทอดต่อไปได้ทั้งกว้างและไกล!
ความสำเร็จและคุณงามความดีนี้สามารถกล่าวได้ว่าลึกเกินจะหยั่ง!
ยายเฒ่าซีและคนอื่นๆ อาจจะไม่ตระหนัก แต่ฉินมู่ตระหนัก
เมื่อวิชาฝึกปรือนี้แพร่หลายออกไป เทพเจ้าแทบทั้งหมดในอนาคตก็จะเป็นศิษย์ของยายเฒ่าซี คนแล่เนื้อ และผู้เฒ่าคนอื่นๆ นี่ก็จะนับได้ว่าพวกเขามีลูกศิษย์อยู่ทั่วทุกมุมโลก!
ฉินมู่มองไปรอบๆ และเห็นว่าเมืองไร้โอหังได้ประสบความย่อยยับจากภัยพิบัติ อันเปลี่ยนแปลงมันให้เป็นเหวไฟขนาดมหึมา “พวกเราจะบอกกับเทพซังเย่ได้อย่างไร เขาบอกพวกเราให้ดูแลหอสังเกตการณ์แค่ไม่กี่วันแล้วเขาก็จะกลับมา แค่ตอนนี้ ขนาดเมืองไร้โอหังยังหายไปทั้งหมด อย่าว่าแต่หอสังเกตการณ์ พวกเราควรสร้างมันขึ้นมาใหม่ไหม…”
ร่างของเฒ่าบอดพลันสั่นเทิ้มขึ้นมา และเขาก็หลับตาลง ‘มอง’ ไปยังทิศตะวันตกพลางกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ตอนนี้พวกมารกำลังเคลื่อนทัพมุ่งหน้ามาทางนี้ ทัพหน้าอยู่ไม่ห่างจากที่นี่แล้ว!”
ฉินมู่รีบมองไปทางทิศตะวันตก อันเขาเห็นภูเขาและปราณมารอยู่รอบๆ สายตาของเขามองไปไกลได้เพียงไม่กี่ร้อยลี้ เขาไม่อาจเห็นกองทัพมารใดๆ
ยายเฒ่าซีและคนอื่นๆ มองดู และพวกเขาเองก็เห็นเพียงแค่ปราณมารเคลื่อนไหวไปมา พวกเขามองไม่เห็นสิ่งที่เฒ่าบอดเอ่ยถึง
“ทัพหน้าของเผ่ามารยังคงอยู่ห่างจากที่นี่ห้าพันลี้” เฒ่าบอดลืมตาขึ้นมาและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เนตรเทวะของเจ้ายังไม่บรรลุขั้นสมบูรณ์แบบ และเนตรจิตเทวะก็ยังไม่ได้บ่มเพาะขึ้นมา ดังนั้นพวกเจ้าจึงมองได้ไม่ไกลขนาดนั้น”
ฉินมู่รู้ว่าเนตรจิตเทวะของเฒ่าบอดแข็งแกร่งอย่างสุดขั้น ดังนั้นจึงมองเห็นในสิ่งที่เนตรเทวะมองไม่เห็นได้ แต่ไม่คาดคิดเลยว่าจะมองเห็นไปได้ไกลถึงห้าพันลี้
“ทัพหน้าประกอบไปด้วยทหารชั้นยอด สัตว์ประหลาดมารมากมาย ความเร็วของพวกเขาเร็วอย่างยิ่ง และกำลังฝีมือก็แข็งแกร่ง!” เฒ่าบอดกล่าวเร็วปรื๋อพลางหลับตาลงไปอีกครั้ง “มีมารเทวะมากมายกำลังบัญชาทัพ! พวกเขาน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง และจับได้ว่าข้าจ้องมองพวกเขา พวกเขากำลังสืบเสาะหาที่มาของสายตา! เร็วเข้า รีบไปแจ้งข่าวแก่ราชครูสันตินิรันดร์ ไม่อย่างนั้นพวกเราจะไม่มีเวลารับมือ!”
“ข้าจะใช้เคล็ดลับสามมหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิม เพื่อแจ้งข่าวธิดาเทพเซี่ยงและคนอื่นๆ ในเมืองหลี” ฉินมู่กล่าวทันที จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาฉายส่องออกจากร่างกายขณะที่เขาจากไปเพื่อติดต่อกับซีอวิ๋นเซี่ยง หลิงอวี้จิว และคนอื่นๆ
ที่ระยะห่างออกไปห้าพันลี้ บรรพชนมารสูงตระหง่านจำนวนมากมายยืดเหยียดตัวขึ้น และลำแสงเพลิงพวยพุ่งก็ยิงออกจากดวงตาของพวกเขาขณะที่พวกเขาเสาะหาที่มาของสายตาอันสัมผัสได้เมื่อครู่
เฒ่าบอดได้ใช้ทักษะเทวะของเนตรจิตเทวะเพื่อ ‘มอง’ ไปที่พวกเขา และพวกเขาก็รู้สึกจากสัมผัสอันเฉียบไวเพียงแค่ว่ามีศัตรูที่กำลังสอดแนมพวกเขาอยู่ แต่ทว่า ไม่อาจเสาะหาผู้สอดแนมคนนี้ได้ มารเทวะทั้งหลายจึงร้องคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว พวกเขาเร่งสัตว์ประหลาดใต้พิภพให้พุ่งโถมไปผ่านภูเขา มุ่งหน้ายังทิศตะวันตก
เฒ่าบอดยังคงสอดแนมต่อพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “มารเทวะมีจำนวนไม่น้อย และกำลังฝีมือของพวกเขาก็ล้วนแต่แข็งแกร่ง พวกเราไม่มีฐานทัพที่นี่ จะต้องถอยไปให้เร็วที่สุด! ความเร็วของพวกเขาเร็วเกินไป!”
นักปรุงยาส่ายหัว “แต่ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงและสันตินิรันดร์ล้วนแต่กำลังฝึกฝนฝีมืออยู่ในบริเวณรอบข้าง พวกเราอาจจะออกจากที่นี่ได้ แต่พวกเขาทำไม่ได้ พวกเราปล่อยให้ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงเอาตัวรอดกันเองก็ได้ แต่ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสันตินิรันดร์ส่วนใหญ่ บัณฑิตของวิทยาลัยและสถาบัน หากว่าพวกเขาตายกันไปเสียที่นี่ พวกเราก็จะสูญเสียหัวกะทิในชนรุ่นเยาว์ไปครึ่งหนึ่ง!”
อธิการบดีป้าซานขมวดคิ้ว “หากว่าเราปล่อยให้กองทัพมารบุกเข้ามา ราชครูสันตินิรันดร์ก็จะไม่มีเวลาจัดทัพ และก็จะตั้งตัวไม่ติด พวกเราจะต้องช่วยเขาถ่วงเวลาสักพัก!”
ฉินมู่เรียกจิตวิญญาณดั้งเดิมกลับมา และกล่าวอย่างเคร่งขรึม “พวกเรามีฐานทัพ! และมันก็คือเหวลึกของเมืองไร้โอหังนี้!”
คนแล่เนื้อหัวเราะร่า “จริงด้วย จริงด้วย พวกเราจะสกัดกั้นไอ้ลูกเต่าเผ่ามารที่นี่!”
“อาจารย์ พวกเราจะทำสำเร็จได้อย่างไร” อธิการบดีป้าซานถาม
ทุกคนพลันหันไปมองที่เฒ่าหนวก
“ครั้งหนึ่งราชครูสันตินิรันดร์กล่าวว่ามีบุคคลผู้หนึ่งที่สามารถประชันขันแข่งกับกองทัพไพร่พลนับล้าน เขาเรียกเขาว่าศิลปากรศักดิ์สิทธิ์ และได้ก่อตั้งศาลานักบุญศิลป์เพื่อยกย่องบูชาคนผู้นั้น!” คนแล่เนื้อกล่าวอย่างเคร่งขรึม
สายตาเขาวูบวาบและจับจ้องที่เฒ่าหนวก “คนผู้นี้ไร้เทียมทานทั้งอักษรวิจิตรและภาพเขียน และครั้งหนึ่งเขาก็เคยสังหารกองกำลังนับแสนในสันตินิรันดร์ บัดนี้ รัชทายาทภาพสวรรค์ กำลังฝีมือเจ้าเพิ่มพูนไปมากขนาดไหนนับตั้งแต่ครั้งนั้น”
เฒ่าหนวกหยิบพู่กันของเขาออกมา และสะบัดเบาๆ พู่กันพลันขยายใหญ่เท่าลำเสา และเขาก็กล่าวอย่างเยือกเย็น “ใช้พู่กันวาดภูเขาและแม่น้ำ เสกสรรโลกหล้าและเทพยดา ข้าจะทำได้หรือไม่”