ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 588 จริงและลวง
กองทัพนับล้านพุ่งเข้ามา และปะทะกับกองทัพสัตว์ประหลาดใต้พิภพ ในชั่วพริบตานั้น เลือดและเนื้อกระจุยว่อนท้องฟ้าในการต่อสู้อันดุเดือด มารพวกนี้รู้จักแต่จะเข่นฆ่าและไม่มีพยุหะกระบวนรบ พวกมันอาศัยกำลังฝีมือส่วนตนเพื่อต่อสู้ และไม่สนใจสหายร่วมรบเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นพวกมันจึงสูญเสียกำลังพลไปนับไม่ถ้วน
สถานที่ฆ่าฟันกันนั้นอยู่ห่างหลายสิบลี้ตรงหน้าเมืองไร้โอหัง ทหารจำนวนนับไม่ถ้วนจากโลกแห่งภาพวาดของเฒ่าหนวกถูกสังหาร เมื่อตายไป พวกเขาก็กลายเป็นก้อนหิน ไม่เหลือซากศพทิ้งไว้
แต่ทว่า มีทหารจำนวนนับไม่ถ้วนจากกองทัพทวยเทพกรูเข้าไปปะทะ ทดแทนกลับพวกที่ล้มตายไป พวกเขาสู้รบฆ่าฟันต่อไปด้วยจำนวนคนที่ไร้สิ้นสุด!
เหมือนว่าจะมีวายุบดีควบคุมอากาศอยู่บนท้องฟ้า และเขาได้รับการเสริมส่งจากนายแห่งฝน เทพฟ้าผ่า เทพีฟ้าแลบ อันล้วนแต่ระดมโจมตีกองทัพสัตว์ประหลาดใต้พิภพ
ทัพหน้าถูกขัดขวาง และเสียงคำรามของบรรพชนมารที่ตัวสูงเยี่ยมปานสิงขรก็กึกก้องออกมา พวกเขารีดเร้นพละกำลังเพื่อพุ่งทะยานเข้าไปในสนามรบเมื่อเท้าของพวกเขาเหยียบไปที่ใด ไม่ว่าจะมิตรหรือศัตรูก็ถูกเท้าอันใหญ่มหึมานี้บดขยี้ป่นกระดูก!
บรรพชนมารพุ่งไปยังสนามรบ และกวาดล้างๆ ทุกๆ พวกที่อยู่ตรงหน้าราวกับกิ่งไม้แห้งเปราะที่กักอยู่กลางอากาศ
ชิ้ง!
สายตาของบรรพชนมารเต็มไปด้วยไฟมารอันกวาดผ่านกองทัพเทพเจ้า เสาเพลิงสีดำสนิทหมุนทะลวงไปอย่างเกรี้ยวกราด และแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าให้เป็นเถ้าถ่าน แม้แต่เทพเจ้าที่เฒ่าหนวกวาดออกมาก็ไม่อาจหลีกลี้ทักษะเทวะอันน่าสะพรึงกลัวนี้
กายเนื้อของบรรพชนมารเป็นอาวุธทำลายล้างโดยธรรมชาติ เมื่อเขาแกว่งซัดอาวุธใหญ่ของพวกเขาออกไป ก็ไม่มีผู้ใดต่อต้านได้!
เทพในภาพวาดของเฒ่าใบ้ ไม่อาจขัดขวางบรรพชนมารพวกนี้ได้!
คนแล่เนื้อเต็มไปด้วยจิตหาญสู้ และคว้ากำมีดยักษ์ของเขา ด้วยสายตาอันแปลบปลาบดุจสายฟ้า เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม “ถึงตาพวกเราแล้ว! ป้าซาน ศิษย์ของข้า ให้ข้าชมดูหน่อยว่าหลายปีมานี้เจ้าก้าวหน้าบ้างหรือไม่!”
ป้าซานหัวร่อด้วยเสียงอันดังและเรียกวัวเขียวเข้ามา เขากระโดดขึ้นไปบนหลังของมันและตะโกน “อาจารย์ ให้ข้าไปกับท่าน เพื่อแสดงให้เห็นว่าข้ารุดหน้าไปมากแค่ไหน!”
ทวนเทวะหลงถัวแปรเปลี่ยนเป็นมังกรดำ และเฒ่าบอดก็ยื่นมือไปคว้าจับมัน ด้วยการเขย่าอย่างรุนแรงหนหนึ่ง ทวนมังกรดำก็กลายเป็นเหยียดตรง และส่งเสียงคำรามต่ำเบาอันเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
หมู่ดาวสวรรค์คลุมนภาปรากฏข้างหลังยายเฒ่าซี และเพลิงไฟในเตาหลอมข้างหลังเฒ่าใบ้ก็พุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า เฒ่าเป๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะถล่าวด้วยเสียงอันยุ่งยากใจ “ข้าไม่มีเทพศาสตราที่ข้าใช้ได้ ดังนั้นข้าไม่ไปด้วย…”
นักปรุงยากระโดดขึ้นหลังเฒ่าเป๋ และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าคือเทพศาสตราของเจ้า พวกเราไปอาละวาดกันสักตั้ง!”
ใบหน้าแก่ๆ ของเฒ่าเป๋กลายเป็นมืดดำ และเขากล่าวอย่างโกรธขึ้ง “ไอ้นักปรุงยา เจ้าไม่กลัวผู้หญิงของเจ้าทั้งหลายจะเป็นม่ายหรืออย่างไร”
“บ๊ะ! คำพูดของตาเฒ่าปากพล่อย! อย่าได้เป็นจริง อย่าได้เป็นจริง”
จากตะกร้าที่หลังนักปรุงยา แมลงจำนวนนับไม่ถ้วนปีนไต่ออกมาและขยายขนาดกลางสายลม พวกมันแปรเปลี่ยนเป็นสัตว์ยักษ์ที่หากไม่วิ่งไปบนพื้นก็เหาะอยู่บนอากาศ พิษของพวกมันร้ายแรงขนาดว่าก่อพยับเมฆร้ายอยู่บนท้องฟ้า
“พวกเราไปล่าหัวไอ้บรรพชนมารพวกนี้กันเถอะ!” คนแล่เนื้อพุ่งเข้าไปในสนามรบพลางร้องตะโกน “มู่เอ๋อ ดูแล่เฒ่าหนวกด้วย หากว่าเจ้าเห็นสถานการณ์ย่ำแย่ ให้อุ้มเขาขึ้นแล้ววิ่งหนีไปเลย!”
ฉินมู่รับคำและมองไปยังอธิการบดีป้าซานที่ขี่วัวเขียวยักษ์เข้าไปในโลกในภาพเขียน ที่ตามเขาไปนั้นคือท่านยายซี เฒ่าใบ้ เฒ่าบอด และคนอื่นๆ พวกเขาทั้งหมดร่วมมือกันโจมตีบรรพชนมารทั้งหลาย
วัวเขียวโลดทะยานไปราวเหินบิน แม้ด้วยเรือนกายใหญ่โตของเขา เขาก็คล่องแคล่วอย่างถึงที่สุด เมื่อเขาเหยียบลงบนสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ กีบของเขาก็จะบดขยี้หัวของพวกมันให้เป็นแหลกเละพลางหลบหลีกการโจมตีไปด้วย เห็นได้ชัดจากความเร็วและไหวพริบของเขา ว่าเขาได้ประเมินพละกำลังในสถานการณ์นี้และเคลื่อนที่ไปได้ดั่งใจ
ฉินมู่มองไปที่กิเลนมังกรข้างๆ เขา อยากที่จะขี่มันเข้าไปต่อสู้กับสัตว์ประหลาดเหมือนกัน แต่เมื่อคิดดูอีกนิด เขาก็ข่มระงับเอาไว้
ความเร็วมังกรอ้วนนั้นดีอยู่ แต่ความอดทนของเขาไม่ได้เรื่อง ปฏิกิริยาตอบสนองก็ไม่ว่องไวเท่ากับของวัวเขียว และหากว่าเขาบุกตะลุยเข้าไป ข้าคงเอาชีวิตไปทิ้งอย่างรวดเร็ว มังกรอ้วนยังฝึกไม่มากพอ…
เขานำธงเคลื่อนย้ายระยะไกลออกมา สะบัดมือคราเดียว ธงพวกนั้นก็ปักรายล้อมรอบเฒ่าหนวก เขานำกิเลนมังกรและฮู่หลิงเอ๋อเข้าไปในอาณาเขตที่มีธงปักล้อมเช่นกัน เพื่อที่พวกเขาจะได้ออกไปจากที่นี่ได้ทุกเมื่อ
ข้างหลังกองทัพแห่งสัตว์ประหลาดใต้พิภพ มารเทวะมากมายกำลังนำกองทัพของเผ่ามารอันยาตรามาอย่างเป็นระเบียบ เห็นได้ชัดว่ากฎระเบียบในกองทัพนั้นเข้มงวด พวกเขาไม่ใช่พวกเละเทะโกลาหลอย่างสัตว์ประหลาดใต้พิภพ
มารเทวะเหล่านี้อาศัยสัตว์ประหลาดมาเป็นทัพหน้าเพื่อตีแนวป้องกันของเมืองหลี จากนั้นพวกเขาก็จะอาศัยโอกาสดังกล่าวเพื่อบุกชนะเมืองหลีและกองกำลังต่อต้านแห่งสวรรค์ไท่หวงได้ภายในรวดเดียว
แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ไม่คาดคิดเลยว่า ในเมืองไร้โอหังอันถูกทำลายล้างไปแล้ว และกลายเป็นซากโบราณแห่งเขตแดนมาร ทหารนับล้านก็จะโผล่ขึ้นมาจากที่ใดไม่ทราบ และถึงกับสามารถขัดขวางการรุกคืบของสัตว์ประหลาดใต้พิภพได้อีกด้วย!
เมื่อเทียบกับสัตว์ประหลาดใต้พิภพ ทหารราบของกองทัพมารเคลื่อนที่ได้ช้ากว่ามาก ระยะห่างระหว่างสองแนวทัพห่างกันเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อาจเข้ามาสนับสนุนแนวหน้าได้อย่างทันท่วงที
ทัพหลวงที่ใจกลางก็ยิ่งห่างออกไปอีก และฟู่ยื่อลัวมองไปที่สนามรบจากที่ไกลๆ ด้วยคิ้วที่ขมวดเล็กน้อย ใบหน้าทั้งสามของเขามมองไปรอบๆ ก่อนที่จะถามด้วยความตกตะลึง “ใครรู้บ้างว่ากองทัพเทพยดานี้โผล่ขึ้นมาจากที่ไหน”
มารเทวะรอบกายเขาส่ายหัวทั้งหมด
สัตว์ประหลาดใต้พิภพ และบรรพชนมารอาศัยสัญชาตญาณในการสังหารและกิน แต่เผ่ามารนั้นไม่ต่างกับเผ่ามนุษย์ เผ่าพันธุ์ทั้งสองมีสติปัญญาล้ำเลิศ มิเช่นนั้นคงไม่อาจสร้างอารยธรรมอันยิ่งใหญ่และระบบการฝึกวรยุทธขึ้นมาได้
กระนั้นแม้ด้วยสติปัญญาอันเหนือธรรมดา พวกเขาก็ยังคิดไม่ออกว่ากองทัพนับล้านนี้มาจากที่ไหน และทำไมมันถึงเข้าร่วมการศึก
แม้ว่าสันตินิรันดร์จะแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ยังอ่อนแอกว่าสวรรค์ไท่หวง กองทัพของสวรรค์ไท่หวงยังคงเป็นกองกำลังหลัก ในขณะที่ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสันตินิรันดร์เป็นกองกำลังสนับสนุน
ราชครูสันตินิรันดร์ไม่สำเหนียกเลยสักนิดถึงการจู่โจมฉับพลันนี้ ดังนั้นเขาไม่มีทางนำไพร่พลจำนวนมหาศาลมาเพื่อขัดขวางกองทัพสัตว์ประหลาดใต้พิภพได้
ถ้าเช่นนั้น กองทัพเทพยดานี้มาจากที่ใด
ฟู่ยื่อลัวมองไปที่ลู่หลี แต่ว่าสาวงามสะคราญฟ้าก็งุนงงเช่นกัน นางส่ายหัวและกล่าว “มหาราชา ข้าเองก็ไม่รู้ว่าพวกเขามาจากที่ไหน สันตินิรันดร์ไม่มียอดฝีมือมากมายขนาดนี้ แต่แดนโบราณวินาศมี หรือว่าพวกเขาจะมาจากที่นั่น…”
ด้วยความตกตะลึง ฟู่ยื่อลั่วตะโกนออกไป “ถ่ายทอดคำสั่งของข้า กองทัพจงยับยั้งเพื่อตั้งค่าย ก่อสร้างเมือง และจัดตั้งแนวป้องกันการโจมตีของศัตรู! ส่งหน่วยสอดแนมออกไปสืบข่าวว่ากองทัพเทพยดานี้มาจากที่ใด!”
เมื่อเขากล่าวจบ กองทัพแรกของเผ่ามารภายใต้การนำของมารเทวะผู้หนึ่งก็ไปถึงซากเมืองไร้โอหังแล้ว พวกเขาอยู่ห่างจากสนามรบราวสี่ร้อยลี้เมื่อได้ยินคำสั่งให้ตั้งค่ายและไม่เข้าไปร่วมการต่อสู้
ทหารมารมากมายและยักษ์แรงงานเคลื่อนย้ายภูเขาและตั้งหินเพื่อสร้างกำแพงเมืองอย่างรวดเร็ว จากนั้นพวกเขาก็เชือดสัตว์ยักษ์และใช้โลหิตของมันวาดอักขระมารทั่วไปหมดทั้งกำแพงเพื่อเพิ่มพูนพลังป้องกันเมือง
เหล่ามารในเมืองก่อสร้างหอสังเกตการณ์และหอธนู พวกเขางานล้นมือ
มารเทวะนั้นตะโกนไปคราหนึ่งและนำแม่ทัพจำนวนไม่มากออกไปจากเมืองเพื่อมุ่งหน้าไปยังแนวรบ พวกเขาสังเกตการณ์เพื่อหาความเป็นมาของกองทัพฝั่งสวรรค์ไท่หวงซึ่งกำลังต่อสู้อยู่ข้างหน้า
เมื่อพวกเขามาถึงยอดเขาตรงหน้าสนามรบ มารเทวะก็ยกกระจกบานใหญ่อันสูงกว่าสิบห้าวาขึ้นมาเพื่อสะท้อนดูสถานการณ์ข้างหน้า
ผ่านไปสักพัก ฟู่ยื่อลัวก็นำกระจกออกมาบานหนึ่ง และส่องมองดูสิ่งที่มันเผยแสดง เมื่อเห็นสถานการณ์ศึกปรากฏตรงหน้าเขา สีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความสงสัยพิรุธ
สายตาของเขาคมกล้า และเขาสามารถมองเห็นเบาะแสบางอย่าง กองทัพเทพยดาที่จู่ๆ ก็ปรากฏนั้นมิได้ประกอบขึ้นมาจากสิ่งมีชีวิตจริงๆ แม้ว่ากำลังฝีมือของพวกเขาจะแข็งแกร่ง แต่ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเทพเจ้าที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยศาสตร์แห่งการเสกสรร
แต่ทว่า เขายังสังเกตพบว่ามีมากกว่ากองทัพเทพยดาในสนามรบ มันยังมีผู้คนที่แข็งแกร่งอย่างสุดขีดขั้วที่คอยฉวยความปั่นป่วนในสมรภูมิเพื่อลอบสังหารบรรพชนมาร!
พวกเขาเป็นยอดฝีมือในเขตขั้นเทวะ หนึ่งในนั้นเป็นคนแล่เนื้อที่มีร่างกายกำยำแข็งแกร่ง อีกหนึ่งนั้นเป็นช่างตีเหล็กเฒ่า และคนที่สามนั้นเป็นชายแก่ร่างเตี้ยที่กำลังควงทวนกระดูกมังกร สามคนนี้น่าสะพรึงกลัวที่สุด เมื่อพวกเขาร่วมมือกัน แม้แต่บรรพชนมารก็จะถูกลอบสังหารในความโกลาหล!
ข้างๆ เขา ยังมีสาวงามไร้ปานเปรียบ ชายกำยำที่ขี่วัว และชายแก่ในชุดเขียวที่กำลังแบกชายในหน้ากากทองแดงวิ่งซิกแซกไปมาในสนามรบ สัตว์พิษจำนวนมากกำลังพ่นพิษไปทั่วทุกหนแห่ง และสังหารสัตว์ประหลาดใต้พิภพให้ตายกันเป็นเบือ
ชายหน้ากากทองแดงน่าสะพรึงกลัวที่สุดในคณะ ไม่ว่าเขาจะผ่านไปที่ใด พิษของเขาก็จะสังหารสัตว์ประหลาดมารระลอกแล้วระลอกเล่า ความเสียหายที่เขาก่อแก่กองทัพโดยรวมนั้นสูงล้ำกว่าที่ยอดฝีมือคนอื่นๆ จะทำได้ สัตว์ประหลาดมารมากมาย หากว่าไม่ติดพิษจนถึงตาย ก็แหลกสลายเป็นกองน้ำหนอง วิธีการของเขายิ่งร้ายกาจน่าสยองกว่าเทพเจ้า!
ขนาดว่าสัตว์ประหลาดใต้พิภพจะถูกอัญเชิญมาจากแดนใต้พิภพ พวกมันก็ไม่อาจต้านทานพิษของคนผู้นี้ได้!
“ผู้คนพวกนี้มาจากที่ไหน กองทัพเทพยดาที่ถูกเสกสรรขึ้นมาพวกนี้มาจากที่ไหน”
ฟู่ยื่อลัวมองที่มาของพวกเขาไม่ออก ดังนั้นเขาจึงกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ลู่หลี กองทัพเทพยดาฝั่งตรงข้ามมีทั้งจริงและลวง มันมีเทพที่แท้จริงซ่อนอยู่ท่ามกลางมายาภาพ และข้าไม่รู้ว่ามีพวกเขาเท่าไรที่อยู่ที่นั่น ไม่ทราบว่าท่านที่นับถือจะสามารถเรียกสัตว์ประหลาดมารกลับมาได้หรือไม่ เพื่อที่พวกเราจะได้ไต่ตรองถึงขั้นตอนต่อไป!”
ลู่หลีเคลื่อนกายไปอย่างแช่มช้อยทรงเสน่ห์ และเลิกคิ้วอันงดงาม นางดูสวยสะคราญ แต่เสียงของนางหยาบกร้านเป็นอย่างยิ่ง “ฟู่ยื่อลัว เจ้าน่าจะมองเห็นได้ว่ากำลังฝีมือของศัตรูมิได้สูงล้ำขนาดนั้น มีเทพตัวจริงเพียงแค่ห้าหกคนอยู่ท่ามกลางพวกเขา เจ้าเพียงแต่ต้องสังหารเทพตัวจริงเหล่านั้น และกองทัพมารของเจ้าก็จะสามารถบดขยี้ฝั่งตรงข้ามได้! หากว่าเราถอยทัพไปตอนนี้และให้เวลาหายใจแก่สวรรค์ไท่หวง จะไปบดขยี้พวกเขาใหม่อีกครั้ง ก็จะยิ่งยาก!”
ฟู่ยื่อลัวส่ายหัว “ศัตรูถูกแหวกหญ้าให้ตื่นแล้ว พวกเราไม่มีเวลาพอที่จะไปจู่โจมเมืองหลีอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวอีกต่อไป เช่นนั้นทำไมเราไม่จัดทัพใหม่และฉวยโอกาสนี้เพื่อทำให้กระจ่างว่าอะไรจริงอะไรลวง ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามีเทพเจ้าเพียงห้าหกตนท่ามกลางพวกนั้น หากว่ามีซ่อนอยู่อีกล่ะ? พวกเราก็มีแต่จะสูญเสียกำลังไปอีกถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าไม่อาจเอาอนาคตของเผ่ามารไปเดิมพัน!”
ด้วยความจนปัญญา ลู่หลีจึงกู่ร้องด้วยเสียงอันดัง หวีดไปด้วยภาษามารแดนใต้พิภพ
ในแนวหน้า บรรพชนมารมากมายได้ยินเสียงของนางและก็ร้องออกมาเช่นกัน เรียกกองทัพสัตว์ประหลาดให้ล่าถอย
ฉินมู่ได้ยินเสียงของลู่หลีและจิตวิญญาณเขาก็คึกคักขึ้นมาเล็กน้อย “นี่คือ…ภาษามารแดนใต้พิภพ? ข้าก็รู้เหมือนกัน!”
โดยไม่ได้คิด เขาก็ใช้ภาษามารแดนใต้พิภพ อันระเบิดขึ้นบนท้องฟ้าเหนือสนามรบ เสียงของเขาสามารถได้ยินก้องไปในรัศมียี่สิบสามสิบลี้
บรรพชนมารที่ได้ยินเสียงของเขาหยุดชะงัก และหันหัวของพวกมันกลับ ภาษามารอันทึมทึบออกมาจากปากพวกมันตอบไปยังเขา
ฉินมู่ตะโกนออกไปด้วยเสียงกัมปนาทอีกสองสามวลี และบรรพชนมารทั้งหลายก็หันกลับมา จากนั้นคุกเข่าลงด้วยเข่าข้างเดียวและก้มศีรษะ
คนแล่เนื้อ เฒ่าใบ้ และคนอื่นๆ เลือดโชกไปหมด พวกเขากำลังกะว่าจะไล่ล่าไป แต่ก็หยุดลงเมื่อเห็นภาพดังกล่าว พวกเขาทำอะไรไม่ถูก
ไกลออกไปนั้น ฟู่ยื่อลัวเห็นสัตว์ประหลาดมารและบรรพชนมารหยุดชะงัก และเขาก็รู้ทันทีว่ามีสิ่งผิดปกติ เขามองไปยังลู่หลี
เหงื่อเย็นเยียบไหลลงจากหน้าผากของลู่หลี พลางหัวเราะเบาๆ “ฟู่ยื่อลัว เจ้าจะไม่ไร้ประโยชน์ไปหน่อยหรือ ที่ปล่อยให้เจ้าตัวกระจ้อยเช่นนี้รอดชีวิตไปได้ เจ้าตัวกระจ้อยนั่นอยู่ในค่ายทัพศัตรู! เจ้าตัวกระจ้อย คิดจะแย่งชิงสิทธิบัญชาการไปจากข้างั้นรึ ฝันไปเถอะ!”
เสียงของนางกลายเป็นโหยหวน และภาษามารของนางก็กึกก้องไปราวสายฟ้าที่ระเบิดขึ้นเหนือสนามรบ เสียงของนางครอบทับฉินมู่จนคำที่เขาพูดไม่ได้ยินเลยสักคำ
ฉินมู่แค่นเสียงหนึ่งที และพยายามที่จะพูดภาษามารแดนใต้พิภพดังขึ้นอีก แต่เสียงของเขาเดินทางไปได้ไม่ไกล
บรรพชนมารทั้งหลายเผยสีหน้าว่างเปล่าและลุกขึ้น พวกเขาควบคุมสัตว์ประหลาดใต้พิภพและถอยทัพ