ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 613 ความเกลียดแค้นยากจะปัดเป่า
มรรคาแห่งนักบุญ
มักจะมีผู้คนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอุดมคติและความเชื่อที่ผู้คนในอายุและรุ่นสมัยของพวกเขาไม่มีในครอบครอง ผู้คนเหล่านั้นครอบครองความรู้สึกและจิตหาญสู้ พวกเขาเอ่ยวาจาและกระทำการที่ผู้คนในอายุและรุ่นสมัยของพวกเขาไม่อาจกระทำได้
บางทีในสายตาของคนอื่นๆ พวกเขาอาจจะดูโง่เขลา ที่ถวายชีวิตของตนเองให้แก่ความเชื่ออันดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้
แต่ทว่า พวกที่ขับเคลื่อนประวัติศาสตร์ และขับเคลื่อนรุ่นสมัยให้ก้าวหน้าไป ก็คือผู้คนเหล่านี้อันมีความเชื่อและอุดมคติหนักแน่นไม่หวั่นไหว
ในตอนนี้ ราชครูสันตินิรันดร์ได้กลายเป็นศิษย์ของนักบุญคนตัดไม้บนแท่นสังเวย นักบุญคนตัดไม้ยื่นมือของเขาออกไปเพื่อพยุงข้อศอกเขาให้ลุกขึ้น เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “บางทีความสำเร็จในภายภาคหน้าของเจ้าอาจจะยิ่งใหญ่และเลิศล้ำกว่าของข้า ในอนาคตเมื่อเจ้ามองมายังตัวข้าในบัดนี้ เจ้าก็จะกลายเป็นอาจารย์ของข้า”
ฉินมู่เดินขึ้นไปบนแท่นสังเวยและเห็นราชครูสันตินิรันดร์กำลังคุกเข่าคารวะฝากตัวเป็นศิษย์อยู่ เขาเดินเข้าไปยืนข้างหลังนักบุญคนตัดไม้ แล้วจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์ ศิษย์น้อง ข้ามาช้าไปก้าวหนึ่ง”
ราชครูสันตินิรันดร์สะดุ้ง ใบหน้าที่เคร่งขรึมของเขาคลี่ออกเป็นรอยยิ้ม “ศิษย์พี่สอง”
“ข้าว่าเทวราชควรเรียกข้าว่าจ้าวลัทธิฉินต่อไปจะดีกว่า ศิษย์พี่สองฟังประหลาดเกินไป” สีหน้าฉินมู่มืดดำทันที
ราชครูสันตินิรันดร์หัวเราะด้วยเสียงอันดัง ฉินมู่ตกตะลึงกับเสียงหัวเราะของเขา แล้วจึงเผยรอยยิ้ม
ช่วงเวลาที่เขาได้รู้จักราชครูสันตินิรันดร์นั้นไม่ยาวนานนัก เขาได้พบก็หลังจากเข้าไปในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิแล้ว และหลังจากนั้นทั้งคู่ถึงเริ่มสนทนากัน
ในอดีต ราชครูสันตินิรันดร์เป็นบุรุษที่ไม่ยิ้มหัว ไม่พูดจาตลก เขามีความเชื่ออันมั่นคงและจิตเต๋าอันสามารถทำได้ทุกสิ่งเพื่อสำเร็จเป้าหมายที่ต้องการ ความคิดของเขาลึกล้ำดุจมหาสมุทร และใบหน้าเขาก็นิ่งดุจบ่อน้ำเก่าแก่ ไม่มีสีหน้าใดเผยปรากฏบนใบหน้าสักนิด
เขาเหมือนกับเทพเจ้าผู้ไร้ที่ติซึ่งปราศจากอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์
แต่ทว่า หลังจากได้ติดต่อสัมพันธ์กับเขาเป็นเวลานาน ฉินมู่ก็ค่อยๆ ค้นพบอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ในตัวราชครูสันตินิรันดร์ เขาได้แปรเปลี่ยนจากเทพเจ้าเป็นมนุษย์ไปทีละเล็กทีละน้อย
ดังนั้นเมื่อราชครูสันตินิรันดร์หัวเราะด้วยเสียงอันดัง ฉินมู่ก็สัมผัสได้ว่าจิตเต๋าของเขาพลันกระโดดข้ามไปยังเขตขั้นอื่น เขตขั้นที่เขาไม่อาจเข้าใจได้ มันเหมือนกับเทพเจ้าแต่ก็ไม่เชิงจะเป็นเทพเจ้า เหมือนกับมนุษย์แต่ก็ไม่เชิงเป็นมนุษย์
เขายังคงอยู่ในเจ็ดอารมณ์และหกความปรารถนา แต่เขาก็อยู่ข้างนอกสิ่งเหล่านั้นด้วยเช่นกัน เขามีหลักเหตุผลอันสมบูรณ์แบบของเทพเจ้า แต่เขาก็ไม่มีมันไปในเวลาเดียวกัน
ฉินมู่ไม่อาจเข้าใจผู้คนแบบเขาได้
“ปฏิภาณของราชครูนับว่าเหนือกว่าข้าจริงๆ ถึงกับมีการยกระดับกรอบคิดจิตใจเป็นอย่างมากหลังจากได้พบกับนักบุญคนตัดไม้เพียงชั่วระยะเวลาอันสั้น สมแล้วกับที่เป็นอัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปี”
ฉินมู่ปลอบใจตนเอง “โชคยังดี ที่ข้ามีกายาจ้าวแดนดินตราบเท่าที่ข้าพากเพียรหนักพอ ข้าก็จะสามารถกระตุ้นศักยภาพทั้งหมดของกายาจ้าวแดนดินและก้าวล้ำเหนือเขาไปได้!”
นักบุญคนตัดไม้กล่าว “ฉินมู่ เจ้ากลับไปที่สวรรค์ไท่หวงได้แล้ว ข้าต้องใช้เวลาสนทนากับศิษย์น้องของเจ้านานสักหน่อย”
ฉินมู่ลังเลและถาม “แล้วศิษย์พี่เสือกับท่านยายล่ะ? เกิดอะไรขึ้นกับการต่อสู้ของพวกเขากับอวี้ลัวชาและมูถูลัว”
“มูถูลัวสวมใส่เสื้อของหญิงผู้นั้น และถูกเสือขนดำทุบตีจนตาย ส่วนอวี้ลัวชาถูกฟู่ยื่อลัวช่วยชีวิตเอาไว้ หญิงผู้นั้นและเสือขนดำกลับไปที่สวรรค์ไท่หวงแล้ว”
“อย่างที่ข้าคิด” ฉินมู่เผยยิ้ม
นักบุญคนตัดไม้เปิดช่องทางผ่านไปยังสวรรค์ไท่หวงให้กับเขา แต่ฉินมู่ยังอิดๆ ออดๆ ไม่อยากจะเข้าไปข้างใน “อาจารย์ ให้ข้านั่งฟังข้างๆ ข้าจะไม่พูดอะไรสักแอะ ในฐานะศิษย์พี่ หากว่ามีสิ่งใดที่ศิษย์น้องสงสัย ข้าจะได้ชี้แนะให้กับเขา ใช่ไหม ศิษย์น้–”
นักบุญคนตัดไม้หิ้วคอเสื้อของเขา และยัดเขาเข้าไปในช่องทางข้ามมิติ ฉินมู่กะที่จะวิ่งกลับเข้าไปฟัง แต่ช่องทางก็ปิดฉับลงไปแล้ว
ที่แท่นสังเวย ราชครูสันตินิรันดร์กล่าวด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์ ทำไมท่านถึงไม่ให้ศิษย์พี่ฉินรับฟังด้วยล่ะ”
“เขาไม่เหมาะสม”
นักบุญคนตัดไม้กล่าว “ธรรมชาติของเขาไม่เหมาะสมแก่มรรคาของพวกเรา เจ้าคิดว่าศิษย์พี่สองของเจ้าเป็นคนอย่างไรล่ะ”
ราชครูสันตินิรันดร์พึมพำอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าว “ชอบการละเล่น กระตือรือร้น และไม่อาจอยู่นิ่งได้ เขานั้นเอาแต่บุกไปข้างหน้าด้วยความหัวร้อน กระนั้นเขาก็กลอกกลิ้งและละเอียดรอบคอบ เขาปราดเปรื่องเฉียบแหลม และสามารถคิดในสิ่งที่ผู้คนอื่นไม่อาจคิดได้ เขามักจะมีความคิดใหม่ๆ ที่แม้แต่ข้าก็คาดไม่ถึง กระนั้นเขาก็เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีจิตใจอันกว้างขวาง เขายังคงมั่นใจในตนเองมาก และความมั่นใจนั้นแทบจะเรียกได้ว่าเสียสติ ในหัวใจของเขา เขามักจะรู้สึกว่าตนเองคืออันดับหนึ่งในโลกหล้า แม้ปากจะออกตัวว่าเป็นเพียงอันดับสอง แต่ทว่า ในแง่ความมั่นใจในตนเองแล้ว เขานั้นเป็นอันดับหนึ่งในโลกหล้าจริงๆ”
“นี่เป็นการสังเกตการณ์ที่ละเอียดจริงๆ”
นักบุญคนตัดไม้ถูมือไปมาและเอ่ยชม “เจ้าเข้าใจเขาดีกว่าข้าเสียอีก ข้าเองก็รู้สึกกับเขาทำนองเดียวกัน ในฐานะนักบุญ เขาไม่เหมาะสม”
ราชครูสันตินิรันดร์ผงกหัว “ศิษย์พี่สองไม่เหมาะสมจริงๆ นั่นแหละ แล้วศิษย์พี่ใหญ่ล่ะ?”
“ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าเป็นบุคคลอีกประเภทหนึ่ง”
นักบุญคนตัดไม้อธิบาย “เขาเป็นคนที่มีเจตจำนงกล้าแข็ง และมั่นคงเป็นอย่างยิ่ง ตราบเท่าที่เขาปักใจจะทำอะไร ก็ไม่มีใครฉุดเขากลับมาได้ ก็เพราะแบบนี้ที่ทำให้เขาเข้าใจผิดเล็กน้อยเกี่ยวกับมรรคาแห่งนักบุญ เมื่อมาถึงเรื่องมรรคาของนักบุญ ศิษย์พี่ทั้งสองของเจ้าล้วนแต่ด้อยกว่าเจ้า และข้าก็จะสอนทุกอย่างที่ข้าตรึกตรองมาได้ให้แก่เจ้า”
เขากล่าวอย่างแช่มช้า “จิตมุ่งมั่นของข้านั้นอ่อนแอ และข้าไม่อาจก้าวข้ามหลุมดำในหัวใจของข้าได้ ข้ามักจะตกลงไปในความทรงจำของยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง และหัวใจของข้าก็ถูกมัดเป็นปมจากการหลบหนีของจักรพรรดิก่อตั้ง เจ้านั้นต่างออกไป เพราะเจ้าไม่มีหลุมดำที่ว่านี้ เจ้าจะได้เรียนในสิ่งที่ข้าตรึกตรอง และเจ้าก็จะข้ามหลุมดำนี้ไปอย่างง่ายดาย เมื่อเวลานั้นมาถึง เจ้าก็จะสำเร็จเป็นนักบุญที่แท้จริง!”
สายตาเขากระจ่างจ้า และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในหลายปีถัดไปนี้ เพ่งจิตคิดของเจ้ากับการตรึกตรองทำความเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นสวรรค์ไท่หวงหรือสันตินิรันดร์ ก็อย่าเอามาคิดใส่ใจ อย่าไปเกี่ยวข้อง ให้เน้นก้าวข้ามหลุมดำ”
ราชครูสันตินิรันดร์รับคำ ไม่นานนัก ทั้งสองคนก็นั่งประจันหน้ากันบนแท่นสังเวย
…
ที่สวรรค์ไท่หวง เมืองเสื่อมทรามของเผ่ามาร
เมืองเสื่อมทรามเดิมทีเป็นหนึ่งในหกสิบสี่เมืองเทพยดาแห่งสวรรค์ไท่หวง มันได้ผ่านการบูรณะใหม่อย่างพลิกฝ่ามือหลังจากตกลงไปในเงื้อมมือของเผ่ามาร มารมากมายอาศัยอยู่ที่นี่ และพวกเขาก็ได้หลอมสร้างปราสาทมารและเทวรูปมารทุกชนิดทุกแบบ
เมืองนี้นับว่าเป็นจุดศูนย์กลางของเขตแดนเผ่ามาร และเป็นหนึ่งในสถานที่แรกๆ ที่ตกลงมาในเงื้อมมือพวกเขา เพราะอย่างนี้จึงมีมารอยู่อาศัยมากมาย และก็ยากที่มนุษย์จะเสาะหาหนทางมายังที่นี่
เผ่ามารอาศัยอยู่ที่นี่อย่างสงบสุข และทำงานของตนอย่างสุขสันต์ มีกระทั่งมารเทวะคอยพิทักษ์ปกป้องเมือง มนุษย์จำนวนนับไม่ถ้วนถูกใช้เป็นทาสที่นี่ รับใช้พวกมาร ดังนั้นมารทั้งหลายจึงมีชีวิตความเป็นอยู่ค่อนข้างดี
เมื่อชื่อซีถูกเคลื่อนย้ายระยะไกลมา เมืองเสื่อมทรามก็กำลังจัดงานเฉลิมฉลองเทศกาลประจำปี เทศกาลบูชายัญ มันมีหนุ่มสาวเผ่ามารมากมายที่แบกเอาวัวควายแพะแกะ ขณะที่คนอื่นๆ ก็ตีกลองและฆ้อง พวกเขาเต้นระบำด้วยท่วงท่าอันแปลกประหลาด ประกอบกับท่วงทำนองอันพิลึกพิสดาร มีทั้งมารหญิงหลายคนที่มีสี่หน้าสี่แขน และนมสี่เต้า เต้นอยู่บนรถแห่ พวกนางดึงดูดความสนใจด้วยท่วงท่าอันยั่วยวน
พวกเขาจะต้องแห่แหนไปทั่วเมืองเพื่อบูชายัญ
กลุ่มที่ทำหน้าที่บูชายัญยกปศุสัตว์ขึ้นเหนือหัวพวกเขา และเต้นระบำไปพลางเดินแห่หนึ่งรอบรอบเมืองนี้ หลังจากนั้น พวกเขาจึงจะยกวัวควายเหล่านี้ไปยังแท่นสังเวยใจกลางเมือง บนแท่นสังเวย มารเทวะหลายตนกำลังแย้มยิ้มและมองไปยังสหายร่วมเผ่าที่กำลังเฉลิมฉลอง
ในตอนนั้นเอง เด็กหนุ่มมารกำยำผู้หนึ่งกำลังนำปศุสัตว์ขึ้นไปบนแท่นสังเวย และมอบวัวของเขาให้แก่มารเทวะ
การที่เป็นผู้มอบเครื่องสังเวยเป็นคนแรกนั้นถือเป็นเกียรติอย่างสูง ดังนั้นจึงไม่ใช่มีแค่กลุ่มหนึ่งเท่านั้นที่ต่อสู้แย่งชิงกันจะเป็นผู้ถวายเครื่องสังเวยคนแรก มันเป็นการแข่งขันกันระหว่างตระกูลเผ่ามารเป็นสิบหมื่นตระกูลในเมือง ทำให้เทศกาลทั้งคึกคักและโลดโผน
เส้นแสงกรีดวาบลงจากท้องฟ้า และชื่อซีก็ร่วงลงมายังหนึ่งในแท่นสังเวย
“จิ้งจอกเฒ่า! กล้าดีอย่างไรถึงเล่นตลกกับข้า!”
เสียงของเขาราวกับสายฟ้าฟาด กึกก้องสะท้อนไปทั่วงานเทศกาล มารทั้งหมดนิ่งตะลึงและสายตานับไม่ถ้วนก็จับจ้องมายังชื่อซี
บนแท่นสังเวย มารเทวะที่กำลังหัวเราะร่า รอรับเครื่องสังเวยจากมารหนุ่ม การปรากฏตัวของชื่อซีทำให้เขาไม่ทันตั้งตัว
ข้างใต้เท้าของชื่อซี อักษรรูนเคลื่อนย้ายระยะไกลที่ก่อขึ้นมาจากแสงอันฉายส่องก็ค่อยๆ จางหาย เขาเงยหัวทั้งสามมองไปรอบๆ อย่างเชื่องช้า
“เผ่ามาร!”
เพชฌฆาตแห่งยุคแสงฉานผู้นี้พลันเดือดดาลขึ้นมา ศีรษะทั้งสามของเขาคำรามไปอย่างเกรี้ยวกราด “เผ่ามาร–”
“สหายร่วมเผ่าของข้าได้เดินทางข้ามดวงดาวนับพันล้านและข้ามแดนอันตรายจำนวนนับไม่ถ้วน ในที่สุดก็มาถึงชายเขตของดินแดนบรรพชนด้วยความอุตสาหะ! มันเป็นเผ่ามาร…”
“มันเป็นเผ่ามารที่บุกฆ่าฟันมายังดาวของพวกข้า พวกมันสังหารสหายร่วมเผ่าของข้า และทำลายล้างเผ่าพันธุ์ข้า!”
เส้นผมเหลืองซีดแห้งผากของเขาชูชัน มันกวาดออกไปรอบทิศทางราวกับกระบี่เหลืองนับพันๆ เล่ม ในรัศมีร้อยห้าสิบวา มารทั้งหมดกุมคอของตนเอง การโจมตีนี้ใช้เวลาเพียงชั่วพริบตา
มารบางคนยกมือของเขาขึ้นมา และเห็นโลหิตมารอุ่นๆ บนฝ่ามือที่เพิ่งกุมไปที่คอ
บางคนก้มหัวลง และหัวของเขาก็เลื่อนหลุดจากคอ
ที่ตรงหน้าแท่นสังเวย ร่มฉัตรตระการตาของรถแห่ค่อยๆ ร่วงลงมาจากเสาอันประดับด้วยดอกไม้ รอยตัดบนเสาร่มนั้นเรียบกริบและตรงแหน็ว หลังคาของบ้านเรือนใกล้ๆ แทบจะเลื่อนตกลงมา และถล่มลงไปกับพื้นด้วยเสียงโครมคราม
สูงเหนือพวกเขาขึ้นไป หลังคาของราชวังทั้งหลายเริ่มจะเลื่อนตกลงมาตามๆ กัน หลังคาของบ้านเรือนต่างๆ ก็เลื่อนไถลด้วยเช่นกัน
ภายในรัศมีร้อยห้าสิบวา ศีรษะทั้งหลายร่วงลงกับพื้น และโลหิตก็พุ่งกระฉูดไปทุกหนทุกแห่ง
ปราณและโลหิตมากมายแปรเปลี่ยนเป็นเส้นสายสีแดง และไหลลอยไปยังชื่อซีจากเส้นเลือดที่คอของพวกเขา
บนแท่นสังเวยที่ชื่อซีร่วงลงมา มารเทวะบนนั้นหลบหลีกกระบวนท่าอันเลือดเย็นของเขาได้ และจิตพังทลายจากภาพที่เห็นทั้งหมด ด้วยเสียงคำรามอันโกรธเกรี้ยว เขายื่นมือออกไปและคว้ามารศาสตราเพื่อโจมตีชื่อซี
แขนทั้งหกของชื่อซีราวกับพายุ ฟาดออกไปนับครั้งไม่ถ้วนภายในเสี้ยวพริบตา เขาบดขยี้มารศาสตราและร่างของมารเทวะตนนั้นไปพร้อมๆ กัน!
เมื่อสำเหนียกถึงการจู่โจมของชื่อซี มารเทวะตนอื่นๆ ก็เหาะมาจากแท่นสังเวยรอบๆ หนึ่งในนั้นจดจำชื่อซีได้ และเขาร้องโหยหวน “นั่นมันเขา! เขาคือคนที่พาดาวเคราะห์นั้นลงมา และทำลายล้างสวรรค์หลัวฝูของพวกเรา! เขาคือคนที่สังหารมหาราชาคนก่อน…”
“ตายซะ!”
เสียงมากมายดังออกมาจากเมืองเสื่อมทราม ตามมาด้วยกองกำลังของยอดฝีมือมารที่กรูกันเข้าไปหาชื่อซีด้วยโทสะอันพวยพุ่งถึงชั้นฟ้า
ไม่นานนัก เมืองเสื่อมทรามก็เงียบสนิท
ดวงตาทั้งหกของชื่อซีเป็นสีแดงเลือด พลางหายใจเข้าออกอย่างหนักหน่วง ในตอนนี้เขาเต็มเปี่ยมไปด้วยปราณและโลหิต เขาได้ฟื้นฟูกลับมายังจุดสูงสุด และตามหลักเหตุผลแล้ว เขาก็สามารถหยุดการเข่นฆ่าและจากไปได้ แต่ทว่า เขายังคงฆ่าล้างต่อไป สังหารทุกๆ คนในเมืองมารแห่งนี้ จนกระทั่งไม่มีชีวิตใดที่ลุกขึ้นยืนได้นอกเสียจากเขา!
“ข้าได้พาสหายร่วมเผ่าล่องลอยอยู่ในอวกาศเป็นพันๆ ปี พวกเราใช้เวลาเป็นพันๆ ปีเพียงเพื่อจะเสาะหาแผ่นดินบรรพชน! แต่เป็นพวกเจ้าที่เข่นฆ่าสหายร่วมเผ่าของข้า เหลือแต่ข้าเพียงคนเดียว ฮี่ๆ เหลือข้าแค่คนเดียว…”
แขนทั้งหกของเขาอ้ากว้างและยื่นออกไปในทุกทิศทาง พวกมันคว้าจับมารศาสตราทั้งหลายที่เขาเพิ่งบดขยี้ และพวกมันก็ปะทะกันในบริเวณโดยรอบ ก่อขึ้นมาเป็นทรงกลมขนาดใหญ่
หัวทั้งสามของชื่อซีพ่นไฟและหลอมสร้างชิ้นส่วนแตกหักของมารศาสตราเหล่านี้ หลอมและตีมันให้เป็นมีดเทวะอันวาววามหกเล่ม
ด้วยมีดทั้งหกในมือของเขา เขาก็มองไปยังทิศไกลๆ มารเทวะจำนวนมหาศาลจากเมืองอื่นๆ กำลังมุ่งหน้ามา