ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 625 คัมภีร์สักกะ
ฉินมู่และพุทธเจ้าท้าวสักกะมายังวัดในสวรรค์ชั้นสักกะ อันก็เป็นตำหนักของท้าวสักกะด้วย มีพุทธประเทศมากมายในสวรรค์ชั้นสักกะที่กราบไหว้บูชาพุทธเจ้าตนนี้ มีหลวงจีนมากมายเดินไปมาในวัด และพวกเขาก็ล้วนแต่คารวะทักทายเมื่อเห็นทั้งสองคนเข้ามาใกล้
พุทธเจ้าท้าวสักกะโบกมือให้พวกเขาออกไปได้ ระหว่างที่ตาก็จ้องไปยังฉินมู่ ด้วยสายตาอันกระตือรือร้น เขารอฟังคำตอบอยู่
เขาดูเหมือนเป็นคนประเภทที่เลือกทางเดินอันโดดเดี่ยว เขาไม่รับศิษย์ใดๆ และหลวงจีนที่อาศัยอยู่ที่นี่ก็น่าจะเป็นองค์ชายและองค์หญิงรัชทายาทจากพุทธประเทศทั้งหลายเสียส่วนใหญ่ ซึ่งมาที่นี่เพื่อเรียนธรรมะ
แม้ว่าพุทธเจ้าท้าวสักกะจะสอนธรรมะให้แก่พวกเขา แต่เขาก็จะทำเช่นนั้นก็ต่อเมื่อนึกอยากจะทำเท่านั้น
แต่ถึงอย่างไร แม้องค์หญิงและองค์ชายรัชทายาทเหล่านี้จะไม่ใช่ศิษย์ของเขา วรยุทธของพวกเขาก็ไม่ได้ต่ำต้อย พวกเขาไม่ด้อยไปกว่าพุทธบุตรทั้งหลายที่ฉินมู่ได้สังหารไปเลย นั่นก็น่าจะเพราะว่าความสำเร็จในธรรมะของพุทธเจ้าท้าวสักกะล้ำเลิศเหลือล้น อันทำให้แม้เขาจะสอนพวกเขาตามแต่อารมณ์ของตนเอง พวกเขาก็ยังคงได้รับความลึกซึ้งในวิชาฝึกปรือ
ฉินมู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าว “ข้าสามารถเปิดประตูน้อมสวรรค์และส่งท่านเข้าไปในแดนใต้พิภพ ด้วยกำลังฝีมือของพุทธเจ้า ท่านน่าจะสามารถข้ามผ่านประตูน้อมสวรรค์ไปด้วยกายเนื้อโดยไม่ถูกกระชากดวงวิญญาณดั้งเดิมออกไป หากแต่ว่า…”
เขาลังเลอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “ก่อนหน้านี้ข้าได้สังหารพุทธบุตรจำนวนมาก และตัวข้าอีกคนก็ถูกคลายผนึกออกมา ข้าสัมผัสได้ว่าตัวข้าอีกคนอาจจะซ่อนอยู่ข้างหลังประตู รอที่จะกินผู้คน พุทธเจ้าสามารถเอาชนะตัวข้าอีกคนได้หรือไม่”
พุทธเจ้าท้าวสักกะกะพริบตาปริบๆ และหวนนึกถึงสวรรค์ชั้นพรหมที่ถูกแปดเปื้อนไปหมด เขาคิดใคร่ครวญอย่างระมัดระวังอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถูฝ่ามือไปมา “ข้าเข้าใจแล้ว เพื่อที่จะปิดผนึกตัวเจ้าอีกคน ภูติบดีได้นำเอาก้อนแดนใต้พิภพออกมาและกักขังเขาไว้ข้างในนั้น ตัวเจ้าอีกคนมีพลังวัตรอันยิ่งใหญ่ ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนทักษะเทวะของเจ้าให้สลับสถานที่กับประตูน้อมสวรรค์ เชื่อมต่อไปยังสถานที่ที่ภูติบดีปิดผนึกเขาเอาไว้อยู่ และไม่ใช่ไปที่แดนใต้พิภพ ถ้าอย่างนั้น จิตวิญญาณดั้งเดิมของผู้ฝึกวิชาเทวะที่เจ้าสังหารไป ก็จะถูกดักจับเอาไว้และถูกเขากิน หากว่าข้าจะเข้าแดนใต้พิภพผ่านประตูน้อมสวรรค์ ข้าก็จะไปปรากฏตัวยังสถานที่ที่เขาถูกปิดผนึกเอาไว้ แทนที่จะเป็นแดนใต้พิภพ”
ในส่วนลึกดวงตาที่สามของฉินมู่ แผ่นปฐพีปึกหนึ่งกำลังลอยอยู่ มันเป็นแผ่นปฐพีที่ภูติบดีนำออกมาจากเขาเก้าบิดของเขา หากว่าใครมองลงไปจากข้างบน ก็จะเห็นว่าแผ่นดินนี้มีรูปร่างเหมือนกับจี้หยกอันหนึ่ง และเส้นทางของยอดเขาอันทอดยาวต่อเนื่องกันนั้นก็ก่อขึ้นมาเป็นอักษร ‘ฉิน’
ทารกตัวยักษ์ถูกกักเอาไว้ใจกลางอักษรฉินและเขาก็ไม่อาจหลุดออกไปได้ บนท้องฟ้าเบื้องบน มีพุทธเจ้าใหญ่ลอยอยู่ลางเลือน สะกดข่มแผ่นปฐพีนี้เอาไว้
ทารกยักษ์นั่งอยู่บนพื้นด้วยแขนขาม่อต้อของตน เขาได้ยินเสียงของพุทธเจ้าท้าวสักกะอยู่แว่วๆ และอดไม่ได้ที่จะเดือดดาล “วายร้าย วายร้ายตัวใหญ่ ข้าจะเด็ดหัวแล้วกินเจ้า”
“แบบนี้นี่เอง!”
ฉินมู่ตระหนักขึ้นมาและร้องกล่าว “มิน่าล่ะ ทุกครั้งที่ข้าสังหารพุทธบุตรข้าก็รู้สึกได้ว่าวรยุทธข้าเข้มข้นขึ้น อันที่จริงเขากำลังหยิบยืมจิตวิญญาณดั้งเดิมของพุทธบุตรทั้งหลายเพื่อทลายเวทปิดผนึก! ปราณชีวิตที่เพิ่มพูนวรยุทธของข้าคงจะเป็นปราณชีวิตที่ไหลรั่วออกมาจากเขา!”
เมื่อเขาต่อสู้กับพุทธบุตรหลายร้อยคนด้วยกระบี่ เขาก็รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติแล้ว ในตอนนั้น ปราณชีวิตของเขาเต็มปริ่มอยู่ตลอดเวลา ไม่เพียงแต่มันจะไม่แห้งหายไป มันยังเพิ่มขึ้นทีละนิดอีกด้วย
เมื่อมาคิดดูแล้ว ก็มีสำนึกรู้อีกสำนึกรู้ของฉินเฟิงชิงที่ซ่อนอยู่ในร่างกายของเขา และซ่อนอยู่ข้างหลังประตูน้อมสวรรค์ รอให้พวกพุทธบุตรเหล่านั้นส่งจิตวิญญาณดั้งเดิมให้เขากินอย่างเปรมปรีดิ์
ในตอนนั้น ฉินมู่ได้เปิดประตูเอาไว้ระหว่างต่อสู้ ดังนั้นจิตวิญญาณดั้งเดิมของพุทธบุตรทั้งหลายก็คงจะต้องตกลงไปในปากของตัวเขาอีกคน
ดูเหมือนว่าข้าจะไม่สามารถเปิดประตูน้อมสวรรค์ได้โดยพละการ ไม่อย่างนั้น ข้าก็จะไม่อาจควบคุมตัวเมื่อปลดปล่อยตัวข้าอีกคนออกมา ฉินมู่คิดในใจ
พุทธเจ้าท้าวสักกะกล่าว “หากว่าข้าเข้าแดนใต้พิภพจากทางประตูน้อมสวรรค์ ข้าก็จะต้องไปปรากฏบนแผ่นปฐพีที่ถูกปิดผนึกนั่นอย่างแน่นอน เวทปิดผนึกของภูติบดีและศิษย์พี่ของข้าก็จะเข้ามาสะกดข่มข้าเอาไว้ด้วยเช่นกัน ในตอนนั้น ข้าอาจจะไม่สามารถเอาชนะเจ้าได้ วิธีนี้ใช้ไม่ได้หรอก เจ้ามีวิธีอื่นอีกไหม”
ฉินมู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าว “ข้าสามารถก่อสร้างสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณเพื่อเชื่อมต่อกับสะพานในสวรรค์ไท่หวง สร้างการเชื่อมต่อระหว่างพุทธเกษตรและสวรรค์ไท่หวง ในกรณีนั้น พวกเราก็จะสามารถไปถึงสวรรค์ไท่หวงจากทางพุทธเกษตรได้ และยังคงธำรงความสมดุลของพลังงานระหว่างสองโลก แต่ถึงอย่างไร เพื่อป้องกันไม่ให้สภาสวรรค์สืบเสาะร่องรอยไปยังสวรรค์ไท่หวง พวกเราก็จะต้องทำลายสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณในสวรรค์ชั้นสักกะทันทีที่พวกเราเคลื่อนย้ายระยะไกลไปแล้ว”
พุทธเจ้าท้าวสักกะตาลุกวาบและก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่ง่ายดายมาก ข้าสามารถทิ้งทักษะเทวะเอาไว้ข้างหลัง อันจะระเบิดขึ้นมาเองหลังจากที่พวกเราออกไปจากสวรรค์ชั้นสักกะ ทำลายสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ”
“ยังมีอีกประเด็นหนึ่ง”
ฉินมู่คิดคำนวณและกล่าว “สำหรับสมการ การประมวลผลอักษรรูน และโครงสร้างทั้งหมด ข้ามีพิมพ์เขียวฉบับคัดลอกอยู่ที่นี่ แต่ทว่า สะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณเป็นโครงการใหญ่มหึมา ที่ข้าไม่มีวัสดุอยู่กับข้าในตอนนี้ ข้าเองก็ไม่มีกำลังคนที่จะหลอมสร้างมหาสมบัติชิ้นนี้ด้วย”
พุทธเจ้าท้าวสักกะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเพียงส่งพิมพ์เขียวมาให้ข้าก็พอ การก่อสร้างไม่ใช่เรื่องยากสำหรับข้า”
ฉินมู่นำกระดาษจำนวนหนึ่งและพู่กันออกมา “ข้าจะเขียนรายการวัสดุที่ต้องการเสียก่อน ขอให้พุทธเจ้าไปตระเตรียมมันเป็นอันดับแรก”
เขายกพู่กันขึ้นและเขียนรายการวัสดุสิบหน้ากระดาษ พุทธเจ้าท้าวสักกะชมดู แม้ว่าประเภทของวัสดุจะมีไม่มาก แต่ปริมาณที่แต่ละอย่างต้องใช้นั้นมหาศาล
“ข้ามีวัสดุพวกนี้อยู่ในสวรรค์ชั้นสักกะอยู่จำนวนหนึ่ง แต่ว่ามันไม่เพียงพอ ข้าจะต้องไปเอามาจากท้องพระคลังของพุทธประเทศทั้งหลายมาอีกส่วน”
พุทธเจ้าท้าวสักกะกล่าวเมื่อเขาจากไปอย่างเร่งรีบ “เตรียมพิมพ์เขียวเอาไว้ ข้าจะไปบอกประเทศทั้งหลายในสวรรค์ชั้นสักกะเพื่อให้พวกเขาบรรณาการวัสดุที่พวกเราจำเป็นต้องใช้”
ฉินมู่นำเอาพิมพ์เขียวฉบับคัดลอกชุดหนึ่งออกมาจากถุงเต๋าตี้ และซ้อนมันเข้าด้วยกัน
นี่คือนิสัยอันดีที่เขาสั่งสมมาในตลอดหลายปี มักจะเตรียมชุดสำรองของทุกสิ่งทุกอย่าง พิมพ์เขียวที่เขาและเทพเสือขนดำได้คำนวณออกมานั้นสำคัญเกินไป ทำให้ฉินมู่เก็บไว้ในถุงเต๋าตี้ของเขามากกว่าหนึ่งฉบับ
นอกจากพิมพ์เขียวที่อยู่กับเขาแล้ว ราชครูสันตินิรันดร์ก็คัดลอกไปอีกหนึ่งชุด นั่นก็เป็นนิสัยอันถี่ถ้วนที่เขาบ่มเพาะมาเช่นกัน
ไม่นานนัก พุทธเจ้าท้าวสักกะก็กลับมา เมื่อเขาเห็นกองพิมพ์เขียวหนาเป็นปึกๆ สูงถึงครึ่งกำแพง เขาก็กระโดดโหยงด้วยความตกใจและร้องออกมา “มากขนาดนี้เชียว?”
ฉินมู่ยิ้มแป้นให้แก่เขาและกล่าว “พุทธเจ้า ถ่ายทอดคัมภีร์เที่ยงแท้ตำหนักชิดฟ้าให้ข้าและให้ข้าตรึกตรองมันก่อนสิ ในระหว่างเวลานั้น ท่านก็สามารถศึกษาพิมพ์เขียวพวกนี้ได้ เมื่อวัสดุทั้งหลายเตรียมพร้อมหมดแล้ว ท่านก็จะได้หลอมสร้างสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ”
พุทธเจ้าท้าวสักกะเข้าไปศึกษาพิมพ์เขียวเหล่านี้ด้วยหัวใจหวาดหวั่น เขานำเอาหนังสือบางๆ และโยนให้แก่ฉินมู่ “นี่คือคัมภีร์สักกะของข้า อ่านมันก่อนสิ ข้าจะศึกษาพิมพ์เขียวพวกนี้”
ฉินมู่พลิกมันดู มันมีแค่สิบกว่าหน้าเท่านั้น เขาก็ร้องออกมา “มีแค่นี้หรือ”
“วิชาฝึกปรือของข้าออกมาจากหัวใจ ดังนั้นจึงไม่มีหลักเหตุผลที่สาธยายขยายความมากนัก ที่ข้ามุ่งหมายนั้นคือการถนอมคำพูดประดุจมุกประดุจหยก”
เมื่อพุทธเจ้าท้าวสักกะกล่าวจบ เขาก็นำเอาอรรถกถาอันก่ายกองเท่าภูเขาและโยนมันให้แก่ฉินมู่ “พวกเหล่านี้คืออรรถกถาที่อธิบายขยายความแต่ละถ้อยคำในวิชาฝึกปรือของข้า”
ฉินมู่มองไปที่ภูเขาหนังสือและรู้สึกเวียนศีรษะ เขาหันหัวกลับไปมองยังพุทธเจ้าหนุ่ม และพุทธเจ้าท้าวสักกะก็มองไปยังพิมพ์เขียวอันก่ายกองครึ่งกำแพงตรงหน้าเขา เขาเองก็หันหน้ามามองฉินมู่เช่นกัน
ฉินมู่ถามหยั่ง “พุทธเจ้า หากว่าพวกเราแทงกันไปแทงกันมาแบบนี้ พวกเราคงไม่อาจออกไปจากพุทธเกษตรได้ทั้งเป็นๆ”
เขาเลือกเอาพิมพ์เขียวสิบกว่าแผ่นออกจากผนังพิมพ์เขียวและกล่าว “นี่คือตัวเรือนหลักของสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ หลังจากที่ท่านก่อสร้างตัวเรือนหลักเสร็จแล้ว ข้าสามารถประทับรอยอักษรรูนด้วยกันกับท่าน นั่นก็จะง่ายกว่าเดิมมาก”
พุทธเจ้าท้าวสักกะหัวเราะและสะบัดแขนเสื้อ ภูเขาหนังสือหายวับไปและเขาก็นำเอาาร้อยประคำออกมาคล้องไว้ที่คอของฉินมู่ “หากว่าเจ้าอ่านอรรถกถาทั้งหมด เจ้าก็จะใช้เวลาหลายสิบปีในการตรึกตรองเข้าใจมันทั้งหมด แต่ทว่า ข้าได้ฝึกปรืออยู่เป็นประจำทุกวัน ข้าได้สร้างสร้อยประคำนี้ขึ้นมา พวกมันถูกขัดเกลาด้วยปัญญาญาณของจ้า เจ้าจะสามารถเข้าใจคัมภีร์สักกะได้โดยไม่ต้องอ่านอรรถกถาพวกนี้”
ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอก พวกเขามองหน้ากันและหัวร่อฮาๆ
เมื่อฉินมู่มองไปที่หนังสือเล่มบาง แต่ละสันสกฤตก็แปรเปลี่ยนเป็นข้อมูลอันสลับซับซ้อนที่ไหลเข้าไปในสมองของเขา ข้อมูลในแต่ละถ้อยคำเหมือนกับภาษามังกรในรังจ้าวแห่งมังกรแท้ ปริมาณของข้อมูลที่บรรจุไว้มีจำนวนมหาศาล!
แม้ว่าวิชาฝึกปรือในคัมภีร์สักกะจะด้อยกว่าวิชามังกรบรรพกาลบรมปริศนา แต่มันก็ยังเหนือธรรมดาและเป็นวิชาฝึกปรือที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งยวด
วิชาฝึกปรือเช่นนี้มีจุดเด่นล้ำเลิศในด้านการขัดเกลาจิตวิญญาณดั้งเดิมและเพิ่มพูนปัญญาญาณ!
ยิ่งไปกว่านั้น วิชาสำหรับการต่อสู้ด้วยกายเนื้อก็ยิ่งโดดเด่นเหนือธรรมดา!
วิชามังกรบรรพกาลบรมปริศนานั้นเป็นวิชาฝึกปรือระดับบัลลังก์จักรพรรดิ และคัมภีร์สักกะก็เป็นวิชาฝึกปรือระดับตำหนักชิดฟ้า แต่ถึงอย่างไร เพราะว่าวิชามังกรบรรพกาลบรมปริศนาเป็นวิชาฝึกปรือสำหรับเผ่ามังกร มันจึงไม่ค่อยมีประโยชน์กับฉินมู่เท่าใดนัก ในทางตรงข้าม ผลลัพธ์ของคัมภีร์สักกะนั้นไม่ธรรมดาเลยสักนิด!
ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือ วิชาฝึกปรือนี้เป็นเหมือนกับที่พุทธเจ้าท้าวสักกะกล่าวไว้ไม่มีผิด มันเรียนได้ง่าย ห้าวหาญ และทรงอานุภาพ เป็นการทำงานด้วยแรงเพียงครึ่งเดียวแต่ได้ผลลัพธ์สองเท่า การเพิ่มพูนในพลังวัตรของเขาเป็นไปรวดเร็วอย่างยิ่ง!
ฉินมู่ตรึกตรองทำความเข้าใจมัน และลูกประคำปัญญาก็หมุนวนไปอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่นาน เขาก็เรียนรู้เค้าโครงของวิชาฝึกปรือและขับเคลื่อนมันออกมาทันที ในไม่ช้า วงรัศมีแสงก็ค่อยๆ ปรากฏข้างหลังศีรษะของเขาและค่อยๆ หมุนไป
เขาพลันรู้สึกได้ถึงอักษรรูนธรรมทุกประเภทกำลังประทับรอยลงไปในกายเนื้อของเขา ในกระดูก ในสมบัติเทวะ และในจิตวิญญาณดั้งเดิม ซึ่งทำให้กายเนื้อและจิตวิญญาณดั้งเดิมยกระดับพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อผสานวิชานี้เข้าด้วยกันกับแปดสุรเสียงมังกรบรรพกาล มันก็สามารถเพิ่มพูนพลานุภาพของกายเนื้อและจิตวิญญาณดั้งเดิมได้เร็วขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น!
แง่อัศจรรย์ที่เหนือล้ำไปกว่านั้นก็คือ เขาสามารถรู้สึกได้ถึงความคิดทั้งหมดของตนเอง ความคิดเฉไฉของเขาดูราวจะกลายเป็นลูกประคำเล็กๆ ที่หมุนวนไปมาในจิตคิด นี่ทำให้เขาสามารถตัดสินแยกแยะดีและแย่ได้อย่างชัดเจน
หากว่าข้าฝึกปรือเช่นนี้ ข้าก็อาจจะสำเร็จเป็นพุทธเจ้าได้ในเวลาไม่กี่สิบปี แต่ทว่า ข้าไม่ต้องการเป็นหลวงจีน ข้าทำได้เพียงใช้คัมภีร์สักกะเพื่ออ้างอิงประเด็นที่เป็นประโยชน์ และผนวกรวมมันเข้ากับวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะของข้า! ฉินมู่คิดในใจ
หลังจากครึ่งวัน พุทธประเทศมากมายในสวรรค์ชั้นสักกะก็ได้ส่งวัสดุที่ต้องใช้สร้างสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ พุทธเจ้าท้าวสักกะยื่นมืออกไปเพื่อโบกสะบัด และหินหยกมากมายก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า พวกมันขัดตนเองให้เรียบกลางอากาศ จากนั้นก็ลอยลงมาซ้อนทับกันและกันเพื่อก่อสร้างแท่นสังเวยขนาดมหึมา
พุทธเจ้าท้าวสักกะหลอมสร้างชิ้นส่วนอื่นๆ ให้เป็นรูปทรงที่ต้องการ และก่อรูปตัวเรือนหลักของสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ
ฉินมู่นั้นกำลังศึกษาค้นคว้าว่าจะผนวกรวมคัมภีร์สักกะเข้าไปในวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะของเขาได้อย่างไร และพลันเห็นภาพนี้ ร่างของเขาสั่นเทิ้มเล็กน้อยเมื่อเขามองไปยังวิชาหลอมสร้างของพุทธเจ้าท้าวสักกะ
วิชาหลอมสร้างของเขามีจุดคล้ายคลึงกับของท่านปู่ใบ้มากมายหลายส่วน แต่เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมีการติดต่อปฏิสัมพันธ์กับท่านปู่ใบ้ ถ้าอย่างนั้น พุทธเจ้าท้าวสักกะที่มีมาอย่างไร หรือว่าเขาก็จะเป็นบุคคลจากยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง
ฉินมู่เหม่อมอง พุทธเจ้าท้าวสักกะหลอมสร้างตัวเรือนหลักอย่างรวดเร็ว เขายื่นมือออกไป และหยกของแท่นสังเวยก็ขยายออกไปข้างนอกเมื่อพวกมันแยกออกจากกันและกัน ในเวลาเดียวกันนั้น ตัวเรือนหลักของสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณก็ลอยเคลื่อนเข้าไปในใจกลางของแท่นสังเวย หยกเหล่านั้นจึงกลับเข้ามาปิดเอาไว้ตามหลัง จากภายนอก มันดูเหมือนแท่นสังเวยทั่วๆ ไป มองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน
พุทธเจ้าท้าวสักกะก่อสร้างตัวเรือนหลักเสร็จแล้ว เขาจึงหันหน้ากลับมามอง และเห็นฉินมู่กำลังจ้องมาที่เขา เขาอดไม่ได้ที่จะถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้ามองข้าทำไม”
“ไม่มีอะไรมาก”
ฉินมู่ส่ายหัวและก้าวเข้าไปเพื่อช่วยเขาประทับรอยอักษรรูน เขาถามอย่างไม่ได้คิด “แซ่ในอดีตของพุทธเจ้าคือแซ่อะไรหรือ”
พุทธเจ้าท้าวสักกะชะงักมือไปครู่หนึ่ง และนิ่งขรึมไปหลายอึดใจ ผ่านไปสักพัก เขาก็แย้มยิ้ม “ข้าลืมไปแล้ว”